หมิงเวยสอดปิ่นเข้ากับผมตนเอง นางยังอยู่ในชุดไว้ทุกข์ มีปิ่นทองประดับผมเช่นนี้จึงดูไม่ค่อยเข้ากันสักเท่าใดนัก
แต่หยางชูมองด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “หญิงงามก็คือหญิงงาม ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพใดก็งามไปเสียหมด”
หมิงเวยไม่สนใจเพียงถามกลับไปว่า “แม่นางอาหว่านล่ะ ต้องกลับไปกับข้าด้วยหรือไม่”
“แน่นอนว่าต้องกลับไปด้วย” หยางชูพูด “แม้แต่คนอย่างเกิงซานยังถูกฆ่าตาย หากให้ท่านอยู่ในจวนตระกูลหมิงผู้เดียวผู้ใดจะรู้ว่าจะตายเมื่อใดกัน คนอย่างข้าไม่มีทางยอมให้หญิงงามตายอยู่แล้ว”
“วรยุทธ์ของแม่นางอาหว่านแข็งแกร่งกว่าเกิงซานหรือ” ไม่รอให้เขาตอบ นางพูดต่อไปว่า “ท่านไม่กังวลว่าข้ากับนางจะตายไปด้วยกันหรือ”
หยางชูถอนหายใจและยอมรับด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ ข้าส่งคนคอยดูท่านอยู่ตลอดเวลา หากมีผู้ที่คิดแตะต้องพวกท่าน พวกเขาจะบุกเข้าไปในจวนตระกูลหมิงทันที”
หมิงเวยมองเขาอยู่สักพักแล้วหัวเราะ “คุณชายหยางช่างใจดีกับแม่นางอาหว่านเสียจริง”
หยางชูหัวเราะแล้วขยิบตาให้นาง “ท่านตกไหน้ำส้ม[1]หรือ”
หมิงเวยจัดแขนเสื้ออย่างช้าๆ “ผู้ที่ตกไหน้ำส้มไม่ใช่แม่นางอาหว่านหรอกหรือเจ้าคะ”
หยางชูกล่าวด้วยความจริงใจ “แม่นางหมิง เรายังต้องพึ่งพากันท่านอย่าโกรธนางไปเลย รอให้นางโตกว่านี้อีกหน่อยนางจะเข้าใจเอง”
หมิงเวยยิ้มแต่ไม่พูดอันใด
นางยิ้มอย่างมีความหมายจนหยางชูต้องกลับมาคิดอีกรอบ คำพูดที่เขาพูดไปเมื่อครู่มีช่องโหว่อันใดหรือเปล่า
“แม่นางยิ้มอันใดหรือ” แล้วเขาก็ตัดสินใจถามออกไป
หมิงเวยไม่ตอบคำถาม แต่กลับตอบไปว่า “ให้ข้าพยากรณ์โชคชะตาให้คุณชายดีหรือไม่”
หยางชูชะงักแล้วยิ้ม “เสวียนชื่อพยากรณ์โชคชะตาได้ด้วยหรือ”
“ปรมาจารย์แห่งชีวิต” เหมือนกับครั้งก่อนนางแก้ไขคำพูดของเขา จากนั้นก็อธิบาย “นักทำนาย ผู้มีวิชา หมอผี นักบวช ล้วนเป็นเสวียนชื่อ นักทำนายไม่จำเป็นต้องดูโหงวเฮ้ง ผู้มีวิชาไม่จำเป็นต้องจับผี หมอผีนักบวชล้วนมีข้อดีเป็นของตนเอง แต่ปรมาจารย์แห่งชีวิตจำเป็นต้องมีความสามารถทุกด้าน เพราะว่า…”
“ผู้นำของเสวียนชื่อในใต้หล้าก็คือปรมาจารย์แห่งชีวิต”
“คุณชายรู้คำพูดนี้ดีท่านพบบันทึกที่เกี่ยวข้องแล้วงั้นหรือ” หมิงเวยเม้มปากแล้วพูดว่า “การทำนายดวงชะตาของข้ามีราคาแพงมากเงินจำนวนมหาศาลก็ไม่สามารถซื้อได้ วันนี้เห็นแก่คุณชายที่ปกป้องชีวิตของข้า ข้าจะไม่คิดเงิน คุณชายต้องการให้ข้าทำนายหรือไม่”
หยางชูหัวเราะ “ปรมาจารย์แห่งชีวิตบอกว่าจะทำนายดวงชะตาให้ข้าด้วยตนเอง หากข้าไม่รับไว้ก็น่าเสียดายแย่”
หมิงเวยหยิบกระดาษกับพู่กันขึ้นมาไว้ในมือ “ช่วงเวลาตกฟากของวัน เดือน ปี และเวลาเกิดของคุณชาย”
คุณชายหยางบอก จากนั้นหมิงเวยก็เขียนลงบนกระดาษ
หยางชูเขย่าพัดในมือ “ข้าบอกแม้แต่ช่วงเวลาตกฟากของตนเอง ถือว่าให้โอกาสท่านบังคับให้ข้าแต่งงานด้วยแล้ว! แม่นางไม่คิดจะคว้าโอกาสนี้เลยหรือ”
หมิงเวยไม่สนใจเขา นางเอาแต่นับนิ้วดวงชะตาปาจื้อของเขาแล้วจู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา
“ถ้านี่เป็นดวงชะตาของคุณชายจริงๆ นับว่าเป็นโชคชะตาของความมั่งคั่ง นอกจากดวงชะตาภรรยาที่ไม่ค่อยดีแล้ว ชีวิตนี้ของท่านเป็นไปอย่างราบรื่นไม่มีอันใดต้องกังวล”
หยางชูเลิกคิ้ว “ที่แม่นางหมิงพูดมาก็น่าสนใจ แต่คำว่าถ้าของท่านหมายความว่าอย่างไร ดวงชะตาปาจื้อของข้าเป็นเท็จงั้นหรือ”
หมิงเวยตอบช้าๆ “คุณชายอาจไม่ทราบว่าชีวิตและโชคชะตามีความเกี่ยวพันกัน ในชีวิตมีโชคชะตา ในโชคชะตามีชีวิต ทั้งสองต่างเสริมซึ่งกันและกัน หากโชคชะตาและชีวิตไม่เข้ากัน นั่นหมายความว่ามีอย่างใดอย่างหนึ่งผิดปกติ ซึ่งข้าน้อยค่อนข้างมั่นใจในการดูดวงชะตาของตนเอง”
นั่นหมายความว่าดวงชะตาปาจื้อของเขาเป็นเท็จ ถือว่าน่าสนใจทีเดียว นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางได้พบกับผู้ที่บอกดวงชะตาปาจื้อที่เป็นเท็จให้
ปรมาจารย์แห่งชีวิตผู้สง่างาม การทำนายของนางครั้งนี้ เงินมหาศาลก็แลกไม่ได้ คงกลัวว่านางจะบังคับให้แต่งงานด้วย หรือกังวลว่าจะมีความลับรั่วไหลกันแน่
“ดวงชะตาปาจื้อเช่นนี้ไม่ง่ายเลย ขอเพียงอายุต้องตรง เหมาะสมกับชาติกำเนิด และต้องคล้ายกับชะตาชีวิตเดิมด้วย” หมิงเวยพยักหน้า “ต้องเชี่ยวชาญจริงๆ!”
นางเปิดกระถางไฟ และเผากระดาษที่มีอักขระแปดตัวอยู่
หยางชูกะพริบตา “แม่นางหมิงหมายความว่าอย่างไร ข้าไม่เข้าใจ”
หมิงเวยมองจุดชาดตรงหว่างคิ้วของเขาก่อนพูดว่า “ผู้คนที่เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตข้าเห็นมาเยอะ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นการเปลี่ยนอย่างกรณีของคุณชาย ไฝนี้ท่านแต้มมาเป็นเวลาหลายปีแล้วใช่หรือไม่ ดวงชะตาปาจื้อเท็จจะทำนายอันใดได้ แม้แต่ใบหน้ายังเปลี่ยนไปเลยถือว่าเป็นเซียนของเซียนจริงๆ มันทำให้ข้าสงสัยว่าต้องมีชีวิตเช่นใดถึงจะคุ้มค่ากับการกระทำที่เปลืองสมองเช่นนี้”
“ฮ่าๆๆ” หยางชูโบกพัด
“นี่เป็นโอกาสที่ดีสำหรับการบังคับแต่งงาน แต่แม่นางหมิงกลับไม่ต้องการ มันทำให้ข้าเจ็บปวดจริงๆ!”
คนที่เต็มไปด้วยคำโกหกหมิงเวยก็ขี้เกียจที่จะพูดเยอะกับเขา “ข้าไม่ชอบเป็นหนี้บุญคุณใคร การทำนายให้คุณชายหยางนี้ข้าให้เวลาสักระยะ หากวันใดคุณชายอยากให้ทำนายให้จริงๆ ค่อยมาหาข้า”
เมื่อเดินไปถึงประตูนางก็หยุดฝีเท้าลง “จริงสิ รูปลักษณ์หน้าตาของแม่นางอาหว่านน่าสนใจ พวกท่านทั้งสองมีโชคชะตาที่เกี่ยวพันกันดูอันตรายอย่างยิ่ง แต่ก็มีโอกาสรอดชีวิตซ่อนอยู่ โชคชะตาเช่นนี้ ไม่ใช่คู่สามีภรรยา แต่เป็นญาติ”
นางเปิดประตูแล้วเดินออกไป หยางชูได้ยินเสียงของอาสวน “แม่นางจะไปแล้วหรือ”
“เจ้าค่ะ รบกวนท่านด้วย”
“คุณชายเจ้าคะ!” อาหว่านเดินเข้ามา และมองเขาอย่างคาดหวัง “ข้าน้อยต้องไปด้วยหรือไม่”
หยางชูตบหัวนางเบาๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “พิธีศพจัดไม่ได้ชั่วคราว เจ้าไม่ต้องทานข้าวต้มหรือหมั่นโถวอีกแล้ว” กล่าวอีกนัยหนึ่งคือนางยังต้องไป
อาหว่านถอนหายใจอย่างผิดหวัง
หยางชูตอบว่า “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าต้องการหาเสวียนชื่อสักคนเพื่อเรียนรู้วิชา ข้าคิดว่าไม่จำเป็นต้องไปหาที่ไหนไกลเลย แม่นางหมิงเก่งกาจถึงเพียงนี้ เจ้าสามารถเรียนรู้บางสิ่งได้ตามต้องการ และนั่นก็น่าจะเพียงพอแล้ว”
“ข้าน้อยไม่อยากเรียนกับนางเจ้าค่ะ!”
หยางชูปลอบโยนนาง “อย่าเพิ่งหัวเสียสิ เจ้าต้องเรียนรู้ทักษะทั้งหมดของนาง และหลังจากนั้นเราก็ไม่ต้องพึ่งนางแล้ว”
อาหว่านยิ้มด้วยความดีใจ “งั้นข้าน้อยจะตั้งใจเรียนเจ้าค่ะ”
“เด็กดี”
มีเสียงดังมาจากชั้นล่างหยางชูก็เปิดหน้าต่าง และเห็นรถม้าคันงามสองสามคันจอดอยู่หน้าโรงเตี๊ยม
สาวใช้ที่ลงจากรถม้าแต่ละนางสวยหยาดเยิ้ม แต่ฮูหยิน และคุณหนูที่ลงตามมานั้นดูสูงส่งมากกว่าหลายเท่า การปรากฏตัวของหญิงสาวเหล่านี้ช่วยเพิ่มสีสันให้กับฉากถนนที่ทอดตัวยาวได้ดึงดูดสายตาผู้คนมากมายให้มองมา
แน่นอนว่าพวกนางไม่รอให้ผู้คนมองนานไปมากกว่านี้จึงรีบเดินเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว
จากนั้นก็เดินขึ้นบันไดแล้วเสียงอ้อนดั่งวิหคของเด็กสาวก็ดังขึ้น
มีเสียงหนึ่งในนั้นดังขึ้นอย่างชัดเจน “เอ๋ นั่นอาสวนองครักษ์ของเปี่ยวเกอไม่ใช่หรือ หรือว่าเปี่ยวเกอก็อยู่ที่นี่ด้วยงั้นหรือ”
หยางชูเปิดประตูและเดินออกไปอย่างช้าๆ สายตาของเขามองหญิงสาวที่มีกลิ่นอายต่างกันแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ที่แท้ก็ท่านอาสะใภ้กับน้องหญิงนี่เอง”
“เปี่ยวเกอจริงๆ ด้วย!” ฉีตงจวิ้นอ๋องมีบุตรสาวที่เกิดจากภรรยาเอกสองคน คนที่พูดอยู่นั้นก็คืออันเซียงเสี้ยนจู่[2]
ส่วนอีกคนคือจินหลินเสี้ยนจู่ นางเงยหน้าขึ้น และมองเข้าไปในห้อง จากนั้นยิ้มและถามไปว่า “เปี่ยวเกออยู่ที่นี่มาพบผู้ใดหรือเจ้าคะ”
พอนางพูดจบก็ถูกจวิ้นหวังเฟยตีเบาๆ “เจ้าพูดจาอันใดไร้สาระ พวกเราออกมาเดินเล่นที่ชานเมือง แวะพักที่โรงเตี๊ยม ท่านพี่ของพวกเจ้าจะมาพักผ่อนไม่ได้เลยหรือ”
ทางด้านจวิ้นหวังเฟยกำลังพูดคุยกับหยางชูก็ไม่รู้ว่าฮูหยินตระกูลใดพูดเสียวเบาขึ้นมาว่า “คุณชายหยางดูค่อนข้างจริงจังเช่นนี้ เหตุใดถึงได้มีชื่อเสียงเช่นนั้นกัน”
“อาจเป็นเพราะเขาเกิดมารูปงามเกินไปหรือไม่ ดวงตาคู่นั้นพอยิ้มแล้วก็ดูเล่นหูเล่นตาอยู่กระมัง”
อาสวนได้ยินเช่นนั้นภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยเขาคิดในใจว่า นั่นเพราะเขาไม่สนใจพวกท่านอย่างไรเล่า
……………………………………
[1] ตกไหน้ำส้ม : หึงหวง
[2] เสี้ยนจู่ : ตำแหน่งองค์หญิงหรือท่านหญิง ขึ้นอยู่กับการสืบสายเลือดทางบิดากับจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน เป็นตำแหน่งเชื้อพระวงศ์หญิงลำดับที่ 4 ผู้ที่ได้รับตำแหน่งนี้ต้องเป็นพระธิดาในจวิ้นอ๋องกับพระชายาเอก หรือพระธิดาในผู้สืบทอดชินอ๋องกับพระชายาเอก