นายท่านสองขยับถ้วยชาในมือเชื่องช้า “เสี่ยวชีไม่ได้บอกท่านหรือ ว่าพวกเขาไปเจอเรื่องใดมาตอนไปดูการตรวจลาดตระเวน”
ฮูหยินสามมองเขาอย่างระวังตัว “ท่านหมายความว่าอย่างไร”
“ช่างเป็นลูกที่กตัญญูเสียจริง!” นายท่านสองกล่าวด้วยความชื่นชม แต่คนฟังกลับรู้สึกตึงเครียด “นางคงกลัวท่านเป็นกังวล เลยไม่พูดอันใดออกมาสักคำ เมื่อก่อนผู้คนต่างบอกว่าท่านเลี้ยงเด็กโง่เขลา สั่งสอนไปก็ไร้ประโยชน์ ดูจากตอนนี้แล้ว เสี่ยวชีไม่ได้ทำให้ความยากลำบากของท่านในหลายสิบปีที่ผ่านมาเสียเปล่าเลย”
“หมิงอิง!” ฮูหยินสามกรีดร้องเรียกชื่อของเขา “ท่านมีอะไรจะพูดก็พูดมา อย่ามาเล่นลิ้นกับข้า!”
ถึงแม้จะมองเล่ห์เหลี่ยมของนายท่านสองออก แต่ความแข็งกร้าวของนางแสดงให้เห็นถึงความหวาดกลัวที่อยู่ในใจ นายท่านสองหัวเราะ ใบหน้าที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี อีกทั้งริ้วรอยบนใบหน้าทำให้เขาดูเป็นผู้ใหญ่ที่ดูภูมิฐานมากยิ่งขึ้น
คนในตระกูลหมิงล้วนหน้าตาดี แม้เขาจะรูปงามไม่เท่าน้องสามหรือน้องสี่ แต่เขาก็สง่างามไม่แพ้กัน ผู้ใดที่เห็นเขาเป็นครั้งแรกคงมองว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษ
“ดูเจ้าสิ จะรีบไปไหน ข้ายังบอกเจ้าไม่ได้”
นายท่านส่องชื่นชมสีหน้ายามโกรธอันมีเสน่ห์ของฮูหยินสาม เขาแอบถอนหายใจ ใบหน้านี้ช่างเป็นที่รักของพระเจ้าจริงๆ อายุสามสิบกว่าแล้ว ไม่เพียงแต่ไม่เห็นสีหน้าซีดเซียว แต่ในทางกลับกันนางมีเสน่ห์มากกว่าตอนที่ยังเยาว์เสียอีก
“ครั้งนี้เจี่ยงเหวินเฟิงเดินทางมาตรวจสอบแต่ละเมือง ฝ่าบาทมีรับสั่งอีกอย่างหนึ่ง เจ้ารู้หรือไม่”
ฮูหยินสามจะไม่รู้ได้อย่างไร ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ฮูหยินสี่ก็มาพูดให้นางฟัง
เมื่อนึกถึงคำพูดของฮูหยินสี่สีหน้าของนางก็ซีดเผือด “จวนโป๋หลิงโหว คุณชายหยางงั้นหรือ”
นายท่านสองพยักหน้า “ใช่”
“เขาเห็นเสี่ยวชีหรือ”
นายท่านสองจ้องมองนาง “เสี่ยวชีโตมาเหมือนท่าน มีโครงคิ้วคล้ายน้องสาม แม้จะไม่ได้สดใสนุ่มนวลเหมือนท่าน แต่ก็โดดเด่นอย่างเห็นได้ชัด เด็กคนนี้ยิ่งสะอาด และสูงส่งมากเท่าไรยิ่งดึงดูดให้อยากดึงลงมากเท่านั้น เชื่อว่าท่านคงมีประสบการณ์โชกโชนพอ”
ใบหน้าของฮูหยินสามบิดเบี้ยวเล็กน้อย นางหลับตาเพื่อสงบสติลง
“ท่านอยากให้ข้าทำอะไร พูดมาตรงๆ!”
นายท่านสองยิ้มจางๆ “อันที่จริงเรื่องนี้ท่านเคยรับปากไปก่อนหน้านี้แล้ว เพื่อเสี่ยวชี ท่านคงต้องตั้งใจมากกว่าเดิมหน่อย”
ฮูหยินสามขมวดคิ้ว “ผู้ที่ท่านพูดถึงก่อนหน้านี้ คือคุณชายหยางท่านนั้นงั้นหรือ”
นายท่านสองพยักหน้า “ใช่”
“เรื่องนี้เป็นเรื่องเข้าใจยาก พวกคนก่อนหน้านั้นไม่มีใครมีอำนาจอยู่ในมือเลย คุณชายหยางถึงแม้จะเป็นที่ชื่นชอบ แต่จวนโป๋หลิงโหวก็ถอนตัวจากอำนาจศูนย์กลางมานานแล้ว เขามีอะไรให้ท่านสนใจขนาดนั้น”
สถานะของนางนั้นพิเศษ ความคิดอันสกปรกของนายท่านสองที่น้อยคนนักที่จะเห็น หนึ่งปีอาจไม่มีเลยสักคน
นายท่านสองหัวเราะ “ท่านคิดว่าเขาเป็นแค่คุณชายแห่งจวนตระกูลโหวธรรมดาๆ งั้นหรือ อย่าลืมสิตำแหน่งที่เขาได้รับประดับติดตัวมาก็คือขุนนางแห่งสำนักหวงเฉิงซือ”
“แล้วอย่างไร เขาเหลวไหลเช่นนี้ ฝ่าบาทจะมอบหมายงานสำคัญให้เขาจริงๆ หรือ”
นายท่านสองส่ายหน้า “หวงเฉิงซือ คือพระเนตรพระกรรณของฝ่าบาท จะมอบตำแหน่งนี้ให้คนซี้ซั้วได้อย่างไร ฝ่าบาทให้เขามาที่ตงหนิงพร้อมเจี่ยงเหวินเฟิง แน่นอนว่าไม่ได้เป็นข้ออ้างให้เขามาเที่ยวเล่น”
“ท่านพูดมาขนาดนี้ จะบอกว่าคุณชายหยางผู้นี้ซ่อนความสามารถที่แท้จริงเอาไว้งั้นหรือ”
นายท่านสองยิ้มบางๆ ใช้สายตาอันอ่อนโยนจนน่าขนลุกมองนาง “ในเรื่องนี้ ข้าอยากให้ท่านไปสืบข่าวดู”
ฮูหยินสามกัดฟันพยายามระงับความโกรธ “นี่มันไร้สาระเกินไปแล้ว คุณชายหยางอายุเท่าใดกัน อายุข้าสามารถเป็นแม่เขาได้แบบนี้ ท่านยังจะให้ข้าไป…ถึงข้าจะทนได้ แต่เขาคงไม่ชอบหรอก”
นายท่านสองยิ้มจนนางคาดเดาไม่ได้ “ถึงแม้เจ้าจะมีความคิดล้ำเลิศและว่องไวแค่ไหน แต่เจ้าคาดเดาความคิดของผู้ชายไม่ได้หรอก สำหรับหญิงสาวมีอายุแต่ยังคงความงดงามและเสน่ห์ ใครบ้างที่จะไม่มีความคิดชั่วร้าย ยามเป็นเด็กหากรักมารดามากๆ จนอยากได้รับความรักจากมารดา
พอโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจะเผยตัวตนให้ผู้อื่นได้เห็นมากน้อยแค่ไหนกัน เขาอยู่ที่เมืองหลวงได้เห็นสาวงามวัยเยาว์มามากแล้ว คงแค่กลัวที่จะเห็นสิ่งแปลกใหม่กว่าเช่นนี้”
ฮูหยินสามพยายามอดทนแล้ว แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว “สกปรก!”
“ฮ่าๆๆๆ!” นายท่านสองลุกขึ้น “ผู้ชายเป็นคนสกปรกเช่นนี้อยู่แล้ว สิบปีแล้วท่านยังมองไม่ออกอีกหรือ”
เขาเดินไปถึงประตูแล้วหยุด “ท่านมีหน้าตาคล้ายเสี่ยวชี หากท่านทำได้ดี ไม่แน่ความคิดของเขาที่มีต่อเสี่ยวชีอาจลดลง มิเช่นนั้นหากเขาไม่สามารถคว้านางมาได้ คงมีหลายพันวิธีที่จะทำให้พวกเราทุกข์ทรมาน แล้วเราก็ทำได้เพียงกล้ำกลืนต่อไป”
นายท่านสองไปแล้ว แสงเทียนส่องสะท้อนใบหน้าของฮูหยินสามอย่างไม่มีท่าทีที่จะดับ จากนั้นไม่นานประตูก็เปิดออกอีกครั้ง และแม่นมถงก็ปรากฏตัวขึ้น “ฮูหยินเจ้าคะ”
ฮูหยินสามรีบเก็บความคิดแล้วเดินไปหาอย่างรวดเร็ว “แม่นม ลมแรงกลางดึกเช่นนี้ มาได้อย่างไร”
แม่นมถงมองนาง “บ่าวเป็นห่วงท่านเจ้าค่ะ”
ฮูหยินสามหัวเราะเยาะตนเอง “ข้ามีอะไรให้เป็นห่วงเล่า หลายปีมานี้ผ่านมาได้หมดเลยไม่ใช่หรือ แค่ต้องทนต่อไปอีกนิด”
แม่นมถงอยากพูดแต่พูดไม่ได้ “แม่นม ท่านมีอะไรก็พูดออกมาเถอะ หลายปีนี้เราต่างพึ่งพาอาศัยกัน เป็นคนที่สนิทด้วยที่สุด”
แม่นมถงพูด “เมื่อครู่บ่าวคอยเฝ้าอยู่ข้างนอก ที่ฮูหยินกับนายท่านสองพูดคุยกัน บ่าวได้ยินทั้งหมดเลยเจ้าค่ะ ฮูหยินเจ้าคะ พวกเรารีบไปเมืองหลวงให้เร็วที่สุดกันเถอะเจ้าค่ะ เราอยู่ที่ตระกูลหมิงไม่ได้แล้ว!”
ฮูหยินสามถอนหายใจ “ทำไมข้าจะไม่รู้ เพียงแค่อยากไป แล้วพวกเขาเต็มใจปล่อยไปก็ดีน่ะสิ”
แม่นมถงมีสีหน้าไม่พอใจจับมือนางไว้แล้วบอกว่า “ทันทีที่จดหมายจากนายท่านมาถึง ฮูหยินเอาข้ออ้างเรื่องคุณหนูออกเรือนมาพูดแล้วรีบเข้าเมืองหลวงเถิดเจ้าค่ะ คุณหนูตอนนี้หายดีแล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าพวกเขาจะมีความคิดที่น่ารังเกียจเช่นนี้”
“แม่นมจะบอกว่า” ฮูหยินสามกดเสียงต่ำ “เพื่อเสี่ยวชีแล้ว ข้าไม่ควรอยู่ที่ตระกูลหมิงต่อไปสินะ”
………
ค่ำคืนที่เงียบสงบ นายท่านสองเดินออกมาจากสวนอวี๋ฟางเข้าไปในทางเดินที่มีกำแพงขนาบอยู่สองข้าง
โคมไฟกะพริบพลิ้วไหวจากปลายอีกด้านหนึ่ง ทางเดินที่ยาวและแคบ หนีอย่างไรก็ไม่พ้น
นายท่านสองยืนหยุดอยู่ข้างทาง ทำสีหน้าจริงจัง เสียงประหลาดใจดังผ่านข้างหูของเขา “ท่านลุงสอง”
นายท่านสองมองหมิงเวยและสาวใช้เดินเข้ามาใกล้ ในมือของตัวฝูถือกล่องอาหาร พวกนางไปที่ไหนมาคงไม่จำเป็นต้องเดา
“เอาอาหารไปให้ลิ่วเกอกับอาเซียงใช่ไหม” น้ำเสียงของเขาราบเรียบ
หญิงสาวที่อยู่ภายใต้แสงไฟยามค่ำคืนยิ้ม มองหน้าเขาอย่างเขินอายแล้วตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “น้องหกกับน้องแปดถูกลงโทษไปแล้ว แต่หลานยังไม่ถูกทำโทษ หลานรู้สึกผิดมาก ท่านลุงอย่าโกรธไปเลย ขอแค่ครั้งนี้ ครั้งหน้าหลานจะไม่ทำอีกแล้ว…”
เด็กที่คิดว่าตนเองทำสิ่งที่ไม่ดีและกังวลที่จะถูกผู้ใหญ่ดุด่า นายท่านสองอดไม่ได้ที่จะนึกถึงใบหน้าที่สงบของนางยามเผชิญหน้ากับงูเมื่อตอนกลางวัน
หรืออาจเป็นเพราะว่าเพิ่งหายจากอาการป่วย ปฏิกิริยาตอบสนองถึงได้ช้าเลยลืมที่จะกลัวงั้นหรือ
คงจะเป็นอย่างนั้น โง่มาสิบปี เลี่ยงไม่ได้ที่จะแตกต่างจากคนทั่วไปเล็กน้อย ส่วนเรื่องที่ว่ารับใช้เสวียนหนี่เหนียงเหนียง…จิตวิญญาณของนางอยู่กับเสวียนหนี่เหนียงเหนียงจริงแล้วอย่างไรล่ะ ไม่เคยใช้ชีวิตบนโลก จะไปเข้าใจจิตใจของผู้คนได้อย่างไรกัน
นายท่านสองพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “เรื่องนี้ลุงยกเว้นให้ แต่ต่อไปอย่าไปซนกับพวกเขาอีก คิดถึงท่านแม่ของหลานไว้ เพื่อหลานแล้วกว่านางจะผ่านมาได้ไม่ง่ายเลย”
“เจ้าค่ะ”
“เจ้ากลับไปเถอะ” นายท่านสองหลีกทางให้ และกล่าวเตือนเหมือนผู้อาวุโสที่ห่วงใยนาง “ถึงแม้จะเป็นบ้านของตัวเอง แต่พอเข้ากลางคืนแล้วควรรีบเข้าห้องนะ”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ หลานจะรีบไปพักผ่อนให้เร็ว” หมิงเวยก้มหัวทำความเคารพและเดินผ่านเขาไป เมื่อเดินไปจนสุดทางแล้วจึงหมุนตัวกลับมา ความเขินอายบนใบหน้าของนางก็หายไปในทันที
นางเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้าด้วยแววตาล้ำลึก กลางดึกเช่นนี้ นายท่านสองมาทำอะไรที่สวนอวี๋ฟางกัน
…………………………………………………………….