แสงไฟสลัวๆ สะท้อนใบหน้าของหยางชู
ใบหน้าที่เดิมทีงดงามอยู่แล้ว พอมองในเวลานี้กลับงดงามขึ้นจนอธิบายไม่ถูก
หมิงเวยเช็ดหน้าแล้วพูดกับตนเอง “ตอนนี้ก็ยามสาม แล้ว ง่วงจังเลย! ถึงเวลากลับไปนอนแล้ว” แต่ก็ถูกพัดงาช้างกดเอาไว้ไม่ให้นางขยับ
“….” หมิงเวยถอนหายใจ
ปกติกับนางแล้วหยางชูเป็นคนพูดง่ายมาโดยตลอด บางครั้งก็พูดได้น่ารังแกมาก ซึ่งนั่นทำให้ผู้คนคลายความระมัดระวังลงจนนางลืมไปแล้วว่า ครั้งแรกที่พบกัน เขาบีบคอนางแล้วบังคับให้นางบอกตัวตนของตนเองออกมาได้อย่างไร
ที่เขาดูไม่เป็นอันตรายก็เพราะว่าเขาเต็มใจ แต่ตอนนี้เขาไม่เต็มใจแล้ว
“อยากฟังความจริงงั้นหรือ” หมิงเวยถาม
หยางชูดึงพัดกลับแล้วคลี่มันออก “ท่านอยากยืมมือข้าเพื่อจัดการกับกลุ่มดาวพวกนั้น ท่านจะไม่แสดงความจริงใจออกมาหน่อยเลยหรือ แม้แต่ตัวตนที่แท้จริงและที่มาของตนเองท่านยังไม่คิดจะพูด แล้วข้าจะเชื่อได้อย่างไรว่าท่านจะไม่แทงข้างหลังข้าน่ะ”
นี่คือการเจรจา หมิงเวยมองเขาก่อนจะถามกลับ “แล้วท่านล่ะ ตอนนี้ต่อหน้าข้า ผู้ที่มีนามว่าหยางชูคือท่านจริงๆ หรือ”
หยางชูเงยหน้าขึ้น หมิงเวยไม่หลบตาเขา พวกเขาทั้งสองเผชิญหน้ากันเช่นนี้ มองตรงเข้าไปในดวงตาของกันและกัน
พอจ้องตากันแล้วจู่ๆ หยางชูก็ยิ้ม “ต้องการสืบหาต้นเหตุเรื่องราวงั้นหรือ”
“ท่านต้องการที่มาที่แท้จริงของข้า ข้าก็ต้องการตัวตนที่แท้จริงของท่านเช่นกัน แบบนี้ไม่ยุติธรรมหรอกหรือ”
หยางชูพยักหน้าพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ยุติธรรมมาก” แล้วเขาก็เปลี่ยนใจ “แต่โลกนี้เดิมทีไม่มีความยุติธรรมอยู่แล้ว”
เขายื่นพัดไปเชยใบหน้านางขึ้นสายตาจ้องมองต่ำลงมา
“ข้าคือคุณชายสามแห่งจวนโป๋วหลิงโหว เป็นขุนนางในสำนักหวงเฉิงซือ ท่านย่าของข้าเป็นบุตรสาวที่รักของไท่จู่ ท่านปู่เป็นขุนนางที่ได้สร้างคุณูปการให้แก่อาณาจักร เผยกุ้ยเฟยสนมคนโปรดของฮ่องเต้ปฏิบัติต่อข้าราวกับลูกแท้ๆ ฮ่องเต้เองก็รักและให้ความไว้วางใจ ข้าสามารถเดินทั่วเมืองหลวงได้ แม้พบเจอองค์ชายก็ไม่จำเป็นต้องถอยให้”
“แล้วท่านล่ะกำลังจะกลายเป็นบุตรสาวของนักโทษ นอกจากใบหน้าที่งดงามนี้แล้วอย่างอื่นก็ไม่มีอะไรอีก ท่านคิดว่าข้าควรยุติธรรมกับท่านงั้นหรือ”
หมิงเวยครุ่นคิดสักพักและพยักหน้าเห็นด้วย “ที่พูดมาก็มีเหตุผล”
ไม่รอให้หยางชูโต้กลับนางพูดต่อไปว่า “ในเมื่อข้ามีแค่ใบหน้านี้ที่พอไปวัดไปวาได้ ก็ใช้ให้คุ้มค่าที่สุดไม่ดีกว่าหรือ คุณชายชอบใบหน้านี้ ข้าก็นำมันมาเพิ่มมูลค่าเพื่อซื้อตัวตนของท่าน ท่านคิดว่าอย่างไร”
“….” หยางชูเงยหน้ามองหลังคาเอาพัดเคาะหน้าผากตนเอง
“ข้าพูดออกไปเช่นนั้น ท่านไม่รู้สึกอับอายบ้างเลยหรือ” เขาถามอย่างหมดหวัง
หมิงเวยตอบเสียงเบาทว่านุ่มนวล “ที่คุณชายพูดมาก็ถูก ข้าเป็นคนจริงใจมาก ความมีเกียรติของตนเองที่ไร้ประโยชน์แบบนั้นจะเอามาใช้ทำอะไรได้”
หยางชูโกรธมากจนไม่รู้จะพูดอะไร ที่เขาวางท่าเจ้าอารมณ์ไปแบบนั้น เพื่อสุมไฟให้ลุกขึ้น จากนั้นก็จะจู่โจมไปอีกครั้ง อย่างไรความจริงก็ต้องปรากฏออกมาแน่
แต่ผลลัพธ์กลายเป็นหญิงสาวผู้นี้…
“เอาล่ะ!” หมิงเวยปลอบเขา “ตัวโตขนาดนี้จะอารมณ์เสียไปทำไมกัน ดึกขนาดนี้แล้วควรเข้านอนได้แล้ว”
นางกำลังลุกขึ้นแต่ก็ถูกดึงให้กลับไปนั่งลงเหมือนเดิม
หยางชูมองนางอย่างจริงจัง “เอาล่ะ ข้าไม่ล้วงความลับของท่านแล้ว พูดตามตรงก็คือพื้นเพของท่านยังไม่แน่ชัด ข้าไม่สามารถบอกเรื่องทุกอย่างในหวงเฉิงซือแก่ท่านได้”
หมิงเวยครุ่นคิดสักพักแล้วตอบ “เอาอย่างนี้แล้วกัน พวกเรามาเล่นตอบคำถามกัน ท่านถามหนึ่งคำถาม ข้าถามหนึ่งคำถาม จนกว่าฝ่ายหนึ่งจะตอบไม่ได้ เนื่องจากที่ท่านพูดมาก่อนหน้านี้มีเหตุผล ข้าอยู่ในฐานะที่ด้อยกว่าสิทธิ์ในการถามคำถามแรกข้าขอยกให้ท่าน ท่านคิดว่าอย่างไร”
หยางชูคิดในใจในเมื่อรู้ว่าตนเองด้อยกว่าแล้วยังให้มาผลัดกันถาม นี่ไม่ใช่การเอาเปรียบคนทางอ้อมหรอกหรือ แต่เขาก็ไม่อยากจะเถียงกับหญิงสาวที่เล่นลูกไม้คนนี้อีกแล้ว อาหารที่ทานไปยังไม่เพียงพอจะให้เกิดโทสะเลย
“ได้! คำถามแรกท่านมาจากอนาคตใช่หรือไม่”
“ใช่” หมิงเวยถามต่อ “หยางชูไม่ใช่ชื่อที่แท้จริงของท่าน ข้าเดาถูกใช่หรือไม่”
เขาชะงักแล้วตอบกลับไปว่า “เป็นชื่อที่ท่านย่าตั้งให้” เขารีบถามกลับ “ยุคสมัยของท่านห่างจากปัจจุบันนานหรือไม่”
“เจ็ดสิบปีหลังจากนี้” หมิงเวยพบว่าคำถามของตนเองมีช่องโหว่จึงทำให้เขาเลี่ยงคำตอบได้ นางจึงคิดอยู่สักพักแล้วถามต่อ “แต้มสีชาดของท่านได้รับการแต้มทีหลังใช่หรือไม่”
หยางชูไม่ตอบในทันที เขาขมวดคิ้วเหมือนกำลังพิจารณาว่าควรตอบหรือไม่ตอบดี ซึ่งทำให้เขาคิดว่าหากไม่ตอบก็ถือว่าเป็นอันจบการเล่นถามตอบกันแค่นี้ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่นางต้องการ!
เขากัดฟัน “ใช่” แล้วเขาถามคำถามของตัวเองทันที “เจ็ดสิบปีหลังจากนี้เกิดอะไรขึ้น ทำไมท่านถึงต้องกลับมาเปลี่ยนแปลงโชคชะตาด้วย”
หมิงเวยไหวไหล่ “ท่านถามไปสองคำถาม”
หยางชูตอบ “ท่านตอบคำถามแรก”
“ไม่” นางส่ายหน้า “คำถามของท่านกว้างเกินไปต้องเป็นคำถามที่แน่ชัด ไม่เช่นนั้นหากข้าตอบไปก็จะมีคำถามที่เกี่ยวข้องอีกมากมาย”
“ท่านนี่เรื่องมากเสียจริง!” หยางชูบ่นแล้วเปลี่ยนคำถาม “อนาคตที่ท่านต้องการเปลี่ยนแปลงคืออะไร”
หมิงเวยคิดอยู่สักพักแล้วถอนหายใจพร้อมกับตอบไปว่า “ใต้หล้าเกิดความวุ่นวาย” จากนั้นก็ถาม “ผู้ที่เปลี่ยนชะตาชีวิตของท่านคือใคร”
“….” หยางชูตอบ “ข้าไม่เคยยอมรับว่าตนเองเปลี่ยนชะตาชีวิต เหตุใดคำถามของท่านถึงได้ข้ามไปไกลขนาดนั้น”
หมิงเวยไหวไหล่ “ก็ไม่อะไร ข้าฉลาด! การที่ท่านยอมรับแต้มสีชาดก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าท่านเปลี่ยนแปลงลักษณะเด่นบนใบหน้าของตนเอง จากการสังเกตครั้งก่อนข้าพบว่าชะตาชีวิตและโชคของท่านไม่สอดคล้องกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงของโชคชะตา เรื่องที่เห็นได้ชัดเช่นนี้มีอะไรต้องถามอีกหรือ แน่นอนว่าปล่อยให้มันเป็นคำถามต่อไป”
หยางชูถึงกับไปต่อไม่ถูกได้แต่ตอบด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย “ข้าไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด ในตอนนั้นข้ายังเด็กมากเรื่องนี้ท่านย่าบอกกับข้าก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต”
เมื่อตอบคำถามเสร็จเขาก็ถามต่อไป “ท่านบอกว่าใต้หล้าตกอยู่ในความวุ่นวาย ต้าฉีในตอนนั้นยังรุ่งเรืองอยู่หรือไม่”
หมิงเวยชะงักไปพักหนึ่งแล้วตอบกลับไปตรงๆ ว่า “ตอนนั้นฉีเหนือล่มสลายแล้ว”
หยางชูตกใจจนไม่สามารถเล่นถามตอบต่อไปได้เขาถามนางซ้ำ “อะไรนะ ท่านพูดว่าล่มสลายงั้นหรือ ผู้ใดเป็นคนทำ แคว้นฉู่ใต้ใช่หรือไม่ เป็นไปไม่ได้…”
หมิงเวยเห็นเขาเป็นเช่นนั้นจึงทำได้เพียงตอบไปว่า “ไม่ใช่ แคว้นฉู่ใต้ก็ล่มสลายเช่นกันในปีที่สองหลังฉีเหนือล่มสลาย”
หยางชูนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยความตะลึง ผ่านไปนานเขาถึงเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาของเขาแดงก่ำ “ผู้ใดเป็นคนทำ หวงเฉิงซือในตอนนั้นทำอะไรอยู่เพิ่งก่อตั้งมาได้แค่ร้อยกว่าปีก็ล่มสลายแล้ว บรรพบุรุษสะสมทรัพย์สมบัติมากมายเพียงนี้ ใช้จ่ายกันอย่างไร ทำไมถึงได้ล่มสลายในเวลาไม่กี่สิบปีเช่นนี้”
หมิงเวยเงียบไม่ตอบอะไร คำถามนี้ นางเองก็ไม่รู้จะตอบคำถามนี้อย่างไร
เมื่อย้อนกลับมายังยุคสมัยนี้นางพบว่าแคว้นฉีเหนือแข็งแกร่งกว่าที่นางคิด
ใต้หล้าสงบสุข ประชาชนอยู่กันอย่างสันติ ความเป็นอยู่ของประชาชนรุ่งเรือง กองกำลังทหารแข็งแกร่ง
ไท่จู่รีบกำหนดใต้หล้า เหวินตี้มีอำนาจในการเมือง หากเบื้องหลังฮ่องเต้นั้นไร้ประสิทธิภาพ อาณาจักรจะสงบสุขมากว่าร้อยปีได้อย่างไร
แต่ฮ่องเต้หลังจากนั้น…แคว้นฉีเหนือก็ไม่เคยมีฮ่องเต้เช่นนั้นอีกเลย มีแต่จะทำให้อาณาจักรล่มจม
“คำถามนี้ตอนนี้ยังให้คำตอบที่ชัดเจนไม่ได้ แต่ขอให้ท่านเชื่อข้า ข้ากลับมาก็เพื่อเปลี่ยนแปลงอนาคต ไม่มีความขัดแย้งระหว่างพวกเราจะบอกว่าข้ามาเพื่อช่วยท่านก็ได้ช่วยท่านปกป้องอาณาจักรนี้”
………………………