แล้วเขาก็นึกถึงวันนั้นตอนที่เขาฆ่านางเขารู้สึกอย่างไร
คำถามที่นางถามออกมาเขาไม่สามารถให้คำตอบได้ ในตอนนั้นเขาเพียงหวังแค่ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นต่อหน้าเขาทั้งนั้น
เมื่อเขาได้สติกลับมาสายคาดเอวก็พันรอบคอนางแล้ว จนกระทั่งนางหยุดดิ้นรนและล้มลงกับพื้นราวกับไร้ชีวิต
เขาบอกตัวเองในเมื่อนางค้นพบความลับของเขาแล้ว การฆ่าปิดปากเป็นเพียงหนทางเดียวเท่านั้น
ดังนั้นเขาจึงอุ้มนางไปนอนบนเตียงและออกไปจัดการเรื่องทุกอย่าง รอจนกระทั่งฟ้าสาง เมื่อข่าวลือเผยแพร่ออกไปเขาจึงนำศพของนางไปแขวนไว้บนขื่อ
ผ่านไปหลายวันแล้วดูเหมือนว่าเขาจะลืมความคิดของตัวเองในตอนนั้นไป ราวกับว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผน แต่ในตอนนี้เขาไม่สามารถโกหกตัวเองได้อีกต่อไป
ที่เขาฆ่านางไม่ใช่เพื่อปิดปาก แต่เพราะเขาไม่กล้าเผชิญหน้ากับนางต่างหาก สตรีที่มองเขาราวกับเป็นเทพเจ้าคนนั้น มีแววตาที่สิ้นหวังและใจแตกสลาย
……………
นายท่านสามนึกถึงตอนที่เขายังเป็นเด็กเล็ก บิดามารดาจากไปนานแล้ว เขากับน้องชายอยู่ในความดูแลของท่านลุงกับท่านป้า
ท่านลุงท่านป้าไม่ได้ดูแลพวกเขาไม่ดี แค่มีกำแพงกั้นขวางกัน พวกคนรับใช้ปฏิบัติต่อพวกเขาต่างออกไปเรื่องการแต่งกายพวกเขาก็ทำแบบขอไปที
น้องห้ากับพวกเขามีอายุเท่ากันเข้าเรียนชั้นเดียวกัน
น้องสี่เป็นคนโง่ คิดว่าท่านลุงปฏิบัติต่อพวกเขาดีกว่าน้องห้า เพราะว่าการเรียนของน้องห้าค่อนข้างแย่จึงถูกท่านลุงสั่งสอนอย่างหนัก แต่เมื่ออยู่กับพวกเขา ท่านลุงค่อนข้างจะเป็นมิตร
ไอ้โง่! เขาไม่คิดเลยว่าหากท่านพ่อท่านแม่ยังอยู่จะตามใจพวกเขาหรือว่ากระตุ้นเร่งให้พวกเขาก้าวหน้า แน่นอนว่าถึงท่านลุงอยากจะตักเตือน แต่คงไม่ใช่กับเขา เพราะการเรียนของเขานั้นดีที่สุด
น้องห้าถูกบังคับให้เรียนอย่างหนักทุกวัน ตื่นนอนตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง อยู่จนถึงค่ำ ถึงอย่างนั้นก็เทียบไม่ได้กับเขาที่ได้เล่นทุกวัน
ในบรรดาพี่น้องสามคนของตระกูลหมิง น้องห้าเป็นคนที่ประพฤติตัวดีที่สุด ในขณะที่เขากับน้องสี่ได้ปีนต้นไม้จับปลาตลอดทั้งวัน
นายท่านสามยอมรับว่าเขาจงใจ เมื่อมองย้อนกลับมาเขารู้สึกว่ามันน่าอัศจรรย์ ในตอนนั้นเขายังเล็กจะคิดอุบายเช่นนั้นได้อย่างไร
น้องสี่แม้จะไม่ฉลาด แต่หากเขาต้องเรียนหนักแต่เด็กเหมือนน้องห้า ไม่แน่ว่าอาจประสบความสำเร็จในการสอบแข่งขันต่างๆ ก็ได้
แต่ถ้าน้องสี่กับน้องห้าต่างก็ขยันกันแล้วเขาจะละทิ้งความฉลาดที่ไม่ธรรมดาของตนเองได้อย่างไรกัน ออกไปเล่นบ้าๆ ด้วยกัน แต่คะแนนของน้องสี่ย่ำแย่มาก ส่วนคะแนนของเขากลับโดดเด่นเหนือใคร
พี่น้องร่วมท้องเดียวกัน เกิดมาพร้อมกัน มีหน้าตาที่เหมือนกัน แต่มีความสามารถและนิสัยใจคอแตกต่างกันมาก
เขาที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ใครจะเพิกเฉยเขาได้ล่ะ แม้แต่อาจารย์ยังทนมองไม่ไหว มาเยี่ยมเยียนที่จวนเป็นพิเศษแล้วขอให้ท่านลุงช่วยส่งเสริมเขาให้มากขึ้น
คุณชายสามแห่งตระกูลหมิง ตั้งแต่สมาชิกตระกูลหมิงสามรุ่นเป็นต้นมา เขาเหมือนนายท่านหมิงเซียงมากที่สุด
ด้วยชื่อเสียงที่แผ่ขจรออกไปทำให้ท่านลุงให้ความสำคัญกับเขา ดังนั้นเขาจึงได้รับการดูแลเหมือนน้องห้า ไม่มีผู้ใดรู้เลยว่าตอนที่เขาเล่นกับน้องสี่นั้น เขากลับมาอ่านหนังสือตอนดึกทุกคืน
…………
เขาได้พบกับนางครั้งแรกที่ร้านขายพู่กันและหมึก นางเป็นหญิงสาววัยแรกแย้ม แต่งตัวเรียบง่าย แววตาของนางช่างบริสุทธิ์ ดวงตาคู่นั้นที่มองเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ตอนแรกคิดว่าคงเป็นสตรีที่ชื่นชอบคุณชายสามคนหนึ่ง ผู้ใดจะรู้ว่าเรื่องที่นางเอ่ยขอบคุณนั้นกลับเป็นเรื่องที่ช่วยนางไว้ที่วัดเป่าหลิง
เขารู้ว่าน้องสี่ไปที่วัดเป่าหลิงเพื่อช่วยชีวิตหญิงสาวคนหนึ่งเมื่อสองสามวันก่อน แล้วรู้ด้วยว่าหลายวันมานี้น้องสี่มีความว้าวุ่นใจนอนไม่หลับคิดถึงเรื่องนั้นไม่ลืม
ตอนนี้เขาได้เห็นหญิงสาวคนนั้นแล้วความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาคือน้องสี่โชคดีเกินไป! เขารู้สึกอิจฉาลึกๆ แล้วไม่คิดที่จะพูดแก้ไขความเข้าใจผิดแต่อย่างใด
เมื่อกลับมาที่จวนเขาก็รีบไปบอกกับท่านป้าอย่างตรงไปตรงมาว่าตนได้ชอบหญิงสาวคนหนึ่ง จัดการอย่างรวดเร็วและเฉียบขาด
เมื่อน้องสี่รู้เรื่องนี้ตระกูลจี้ก็ตอบรับการหมั้นหมายนี้ไปแล้ว
เขารักนางจากใจจริง เมื่อแต่งงานกันแล้วเขายิ่งรักนางมากขึ้นทุกวัน
รักในความงามของนาง รักในความบริสุทธิ์ของนาง สิ่งที่นางได้ครอบครองคือสิ่งที่เขาค่อยๆ สูญเสียไป แม้กระทั่งไม่ได้รับมันกลับมาอีกเลย
เขารักและทะนุถนอมนางขนาดนั้น แต่เวลาผ่านไปนานนางก็ยังไม่ตั้งครรภ์ กว่าจะมีบุตรสาวมาได้นั้นไม่ง่ายเลยแต่กลับเกิดมาโง่เขลา แม้ไม่สามารถจุดธูปให้เขาได้[1] เขาก็ยังรักนางราวกับสมบัติล้ำค่า
ในใจของนางเขาเป็นสามีที่สมบูรณ์แบบมาโดยตลอด สูงเท่าเขาอวี่ชาน สว่างไสวราวกับดวงจันทร์ ไม่มีชายใดในใต้หล้าดีไปกว่าเขาแล้ว
ความรักของนางคือสิ่งที่มีค่าที่สุดของเขา
……………
“พอแล้ว” เขาได้ยินนางพูดเบาๆ “ไม่มีอะไรให้ถามอีกแล้ว”
นายท่านสามรู้สึกตื่นตระหนกตกใจเป็นครั้งแรก เขาได้ยินหมิงเวยถามว่า “ท่านแม่ ท่านจะจัดการเขาอย่างไรหรือ”
“แล้วแต่ลูกเถอะ”
“เจ้าค่ะ รอลูกสักครู่” ร่างนั้นได้กลายเป็นควันอีกครั้ง นายท่านสามเงยหน้าขึ้นราวกับต้องการรั้งไว้ แต่นางไม่แม้แต่จะหยุด นางกลายเป็นควันแล้วลอยกลับเข้าไปยังเครื่องรางสวัสดิภาพ
เขาหลับตาลง นี่อาจจะเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายระหว่างพวกเขา
“ท่านแม่ไม่อยากบอกลาท่าน” เขาได้ยินหมิงเวยพูด “แต่มีบางเรื่องที่นางไม่ใส่ใจ แต่ข้าไม่ใส่ใจไม่ได้ ในเมื่อการฆ่านางเป็นสิ่งที่ท่านภาคภูมิใจ ถ้าอย่างนั้นข้าจะให้โอกาสท่านได้รำลึกถึงมัน!” แล้วนางก็ยื่นมือออกมากดลงบนหน้าผากของเขา
พลังหลั่งไหลเข้ามา นายท่านสามรู้สึกสับสนอยู่ครู่หนึ่ง ในขณะที่กำลังมึนงงอยู่ เขารู้สึกเหมือนตนเองย้อนเวลากลับมายังคืนนั้น
เขาเปิดประตูห้องหลิวจิ่งแล้วเห็นว่านางคุกเข่าอยู่หน้ารูปปั้นเสวียนหนี่เหนียงเหนียง
ชั่วพริบตาเขาก็ถือสายคาดเอวไว้ในมือโอบรัดลำคอของนาง ดวงตาคู่สวยของนางมีน้ำตาไหลริน
“ไม่ ไม่นะ!”
“อย่ามองข้าเช่นนั้น! ข้าต้องฆ่าท่าน ต้องฆ่าท่าน!”
“ข้าไม่ใช่สามีของท่าน ไม่ใช่!”
“ตายซะเถอะ!”
“อาอวี๋…” นายท่านสามตกอยู่ในจินตนาการของตัวเอง สีหน้าเขาดูน่ากลัวชั่วขณะแล้วก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าวิงวอน หมิงเวยหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ของตนเอง
“เขาเป็นเช่นนี้ คงไม่ใช่รับไม่ไหวจนฆ่าตัวตายหรอกนะ” หยางชูแตะคางพลางถาม
หมิงเวยตอบกลับอย่างเฉยชา “คนอย่างเขามีจิตใจแน่วแน่ ไม่น่าจะฆ่าตัวตาย แต่จะเกิดขึ้นหรือไม่ พวกท่านคงต้องจับตาดูเขาอย่างใกล้ชิด”
หลังจากมองดูอย่างถี่ถ้วนสักพักนางก็พูดอีกครั้ง “เรื่องของกลุ่มดาว เขาคงไม่พูดออกมาในตอนนี้ ในช่วงที่เขากำลังทรมานอยู่นี้พวกท่านจะลองอีกครั้งหรือไม่”
หยางชูพยักหน้า “หวงเฉิงซือมียาลับ เมื่อถึงเวลานั้นคงต้องลองใช้กับเขา เฮ้อ…ยานั้นมีค่ามาก ข้ารู้สึกลังเลนิดหน่อยที่ต้องใช้กับเขา”
“หากมันทำให้สามารถรู้ความสัมพันธ์เบื้องหลังของเขาได้ ยานั่นก็ควรค่าที่จะใช้” พูดจบหมิงเวยก็เปิดประตูห้องเซ่นไหว้ผู้ตาย
อาหว่านยืนอยู่ที่ประตู นางรีบเดินเข้ามาหาด้วยความตื่นเต้น “เป็นอย่างไรบ้างๆ”
เมื่อเห็นว่านายท่านสามกุมหัวตนเองด้วยความเจ็บปวด นางจึงดึงแขนเสื้อของหมิงเวยและถามว่า “วิชาลับนี้มีราคาเท่าไร หนึ่งพันตำลึง หนึ่งหมื่นตำลึง ท่านพูดมาได้เลย!”
หมิงเวยดีดหน้าผากนาง “ต้องขอโทษด้วย วิชาลับของท่านอาจารย์ ไม่อาจถ่ายทอดได้!”
“อย่าขี้เหนียวขนาดนั้นเลย! ท่านก็เห็นว่ามรดกสืบทอดของพวกท่านปรมาจารย์แห่งชีวิตเกือบจะสูญหายไปแล้ว ทำไมไม่คว้าโอกาสนี้สืบทอดต่อล่ะ ข้าอยากให้ท่านคิดพิจารณาหน่อย! ท่านอย่าเพิ่งไปสิ!”
หยางชูส่ายหน้าแล้วยิ้ม หลายวันมานี้อาหว่านร่าเริงขึ้นมาก! ในอดีตที่นางติดตามเขา นางไม่เป็นเช่นนี้หรือเขาควรให้นางอยู่ที่นี่ต่อไปอีกสักพักดีนะ
………………………
[1] การจุดธูปนี้เป็นความเชื่ออย่างหนึ่งในสมัยโบราณ ผู้คนเชื่อว่าหลังจากตัวเองตายจะกลับไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง มีเพียงธูปที่บุตรชายเซ่นไหว้เท่านั้นจึงจะรับในอีกโลกได้ เพราะบุตรสาวถือว่าเป็นคนของบ้านอื่น แม้จะเซ่นไหว้ พวกเขาก็ไม่อาจรับได้