ในห้องเซ่นไหว้ผู้ตายตกอยู่ในความเงียบ
ผ่านไปนานฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจ “ลูกสี่ ถ้าตอนนั้นเจ้าพูดออกมา แม่จะถามอย่างชัดเจนว่านางมีใจให้ผู้ใดกันแน่”
หมิงเวยตอบอย่างเฉยเมย “ท่านย่า หากตอนนั้นท่านอาสี่พูดออกไป ท่านย่าก็จะยิ่งไม่ชอบท่านแม่หรือไม่เจ้าคะ ยังไม่ทันได้ออกเรือนก็ทำให้สองพี่ท้องทะเลาะกันเพื่อแย่งนางเสียแล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่าเปิดปาก แต่สุดท้ายก็ไม่พูดอะไร อย่าพูดถึงตอนนั้นเลย แม้กระทั่งตอนนี้นางก็ไม่ชื่นชอบฮูหยินสาม
หมิงเวยเลื่อนสายตา “อย่างไรพวกท่านสองคนก็คนประเภทเดียวกัน ท่านแม่แต่งกับใครก็ถือว่าแต่ง พวกท่านมันพวกสวมหน้ากาก ชั่วชีวิตนี้ก็ยังพอนับได้ว่าเป็นบุพเพสันนิวาสที่งดงาม”
นางยกมุมปากยิ้มประชดประชัน “แต่ว่าพอมาเจอสถานการณ์เช่นนี้ ทำให้พวกท่านแต่ละคนต้องถอดหน้ากากออกมา!”
นางเล่าเรื่องนายท่านสามแกล้งตายเรื่องฮูหยินสามพาบุตรสาวกลับบ้านด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง
“นางคิดว่าสามีตายจากไปแล้วจึงกลับมายังบ้านเกิดด้วยความคิดถึงเพียงแค่อยากดูแลเลี้ยงดูบุตรสาวให้ดี ผู้ใดจะรู้ว่ามีสัตว์เดรัจฉานเกิดคิดไม่ซื่อต่อหญิงหม้าย!”
สายตาของหมิงเวยจ้องไปที่นายท่านหกที่นอนบนเปล “ท่านอาหก ในตระกูลหมิงมีสัตว์ร้ายห่มหนังมนุษย์มากมายเช่นนี้มีเพียงท่านที่ต่างจากผู้อื่น แม้แต่หนังมนุษย์ท่านก็ไม่คิดจะห่ม!”
“แอบเข้าสวนมาย่ำยีหญิงหม้ายบังคับให้นางต้องอดทนกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมมาสิบปี เพราะนางต้องการเลี้ยงดูบุตรสาวให้เติบใหญ่ แม้แต่การตายนางยังไม่กล้า!”
“อะไรนะ” หมิงเฉิงได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ
เขาได้ยินที่ท่านพ่อท่านแม่ทะเลาะกันจึงเดาได้ว่าสิ่งที่ท่านป้าสามพบเจอนั้นคงไม่ใช่แค่ถูกท่านอาหกลวนลาม แต่เขาไม่คาดคิดว่ามันจะโหดร้ายกว่าที่คิด
สิบปี หมายความว่าหลังจากที่ท่านป้าสามกลับจากเมืองหลวงไม่นาน นางก็…
ทางด้านหมิงฮ่าวเองก็ตกใจเช่นกัน เขาคิดเสมอว่าครอบครัวของเขารักใคร่สามัคคีกัน ท่านอาหกแค่ทำตัวเกเรไม่คิดมาก่อนว่าเรื่องราวที่ถูกเปิดเผยจะน่าเกลียดเช่นนี้!
“ทำไมถึงกลายเป็นเช่นนี้ที่แท้เป็นเช่นนี้หรอกหรือ!” หมิงเฉิงสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขายิ่งรู้สึกเสียใจในสิ่งที่ทำไป “ข้าผิดแล้ว ข้าทำผิดมาก! ข้าเอาความผิดทั้งหมดไปลงที่ท่านป้าสาม…”
หมิงเวยพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ท่านคิดว่าเรื่องมีแค่นี้หรือ เรื่องที่เลวร้ายกว่านี้อยู่เบื้องหลังต่างหาก”
“หลังจากเกิดเรื่องขึ้นท่านลุงสองก็รีบเข้ามาจัดการแล้วประณามท่านอาหก ท่านแม่คิดว่าเรื่องนี้ก็ผ่านไปแล้ว แม้จะรู้สึกขยะแขยง แต่นางก็เป็นหญิงหม้าย จะไปถามหาความยุติธรรมได้อย่างไร น่าขันตรงที่ว่านางไร้เดียงสาเกินไป เป็นหญิงหม้ายที่งดงาม ยิ่งสูญเสียพรหมจรรย์ไปแล้วผู้อื่นจะปล่อยผ่านไปได้อย่างไร ก็เหมือนชิ้นเนื้อแสนอร่อยที่เคี้ยวไปครั้งหนึ่งแล้วสุนัขตัวอื่นก็อยากลิ้มรสบ้าง เขาลิ้มลองได้แล้วทำไมตนถึงลิ้มลองบ้างไม่ได้เล่า”
“พอแล้ว!”
ฮูหยินผู้เฒ่าที่เงียบอยู่นานจู่ๆ ก็พูดขัดจังหวะหมิงเวย นางชะงักแล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่เห็นด้วยแต่มีความอ้อนวอน “เสี่ยวชี ย่ารู้ว่าแม่ของหลานได้รับความไม่เป็นธรรม แต่เรื่องนี้ช่างอัปยศนัก อย่างไรนางก็เป็นสตรีคนหนึ่งหลานพูดเปิดเผยออกมาเช่นนี้ ผู้อื่นจะมองนางอย่างไรหลานต้องการให้เฉิงเกอ และฮ่าวเกอจดจำเรื่องที่นางถูกเหยียดหยามเช่นนี้ไปตลอดหรือ เรื่องสกปรกเช่นนี้…”
“มันเป็นเรื่องสกปรก!” หมิงเวยพูดแทรก “แต่ผู้ที่ทำเรื่องสกปรกนี้ไม่ใช่ท่านแม่!”
น้ำเสียงของนางเยือกเย็นและแข็งกร้าวราวกับภูเขาน้ำแข็งที่ซ่อนเปลวไฟเอาไว้ “ผู้ที่ถูกเหยียดหยามคือท่านแม่เหตุใดนางต้องกล้ำกลืนความเจ็บช้ำน้ำใจด้วย ถ้าถูกทำให้อับอายแต่ไม่ได้รับความเป็นธรรม คนที่ทำเรื่องชั่วช้าไม่ถูกลงโทษแล้วความยุติธรรมอยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้หรือ”
“เจ้า…”
“วันนี้ข้าต้องการเปิดเผยเรื่องราวสกปรกนี้ออกมาให้ได้รู้ว่าผู้น่าเกรงขามแห่งตระกูลหมิงทีละคนนั้นเนื้อแท้ข้างในเป็นเช่นไร!”
“พี่เจ็ด….” เสียงของหมิงฮ่าวสั่น “พี่หมายความว่าอย่างไรหรือว่าท่านพ่อ…”
ฮูหยินสองได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้องจึงรีบห้าม “เสี่ยวชี!”
แต่หมิงเวยกลับไม่สนใจนางทำลายความหวังสุดท้ายของหมิงฮ่าวอย่างไม่ลังเล “ใช่ ท่านพ่อของเจ้าก็เป็นหนึ่งในสุนัขพวกนั้น!”
สีหน้าของหมิงฮ่าวเหมือนคนใจแตกสลายเขามองนายท่านสองที่อยู่บนพื้น พูดด้วยเสียงแหบพร่า “เป็นไปได้อย่างไร ท่านพ่อจะเป็นไปได้อย่างไร…”
ในสายตาของเขา ถึงแม้ท่านพ่อจะไม่ได้เป็นคนดีเลิศ แต่ก็เป็นคนสุขุมเรียบร้อยมาโดยตลอด…
“ก็แค่สัตว์เดรัจฉานที่สวมหมวกใส่เสื้อผ้า[1]” หมิงเวยพูดอย่างเย็นชา “เขายิ่งกว่าสัตว์ร้ายอย่างท่านอาหกของเจ้าเสียอีก อาหกของเจ้าร้ายเอง แต่เขายิ่งกว่า เพราะเขาเป็นคนส่งท่านแม่ของข้าให้สัตว์ร้ายตัวอื่น!”
หมิงฮ่าวเบิกตากว้างมุมมองทุกอย่างของเขาถูกทำลายไปหมด
เขามองท่านแม่ตนเองราวกับขอความช่วยเหลือ “ท่านแม่ ที่พี่เจ็ดพูดมาจริงหรือไม่ขอรับ”
ฮูหยินสองเงียบไม่พูดอะไร นางทนไม่ได้ที่โลกของบุตรชายได้พังทลายลง แต่สถานการณ์ในตอนนี้นางช่วยอะไรไม่ได้เลย
จนถึงตอนนี้นางได้เข้าใจแล้วเสี่ยวชีเรียกทุกคนมาที่นี่ก็เพื่อฉีกหน้ากากทุกคน เพื่อให้พวกเขาเผชิญหน้ากับความอัปลักษณ์ที่เปล่าเปลือยนี้
“ผู้ใดกัน” ทางด้านหมิงเฉิงเหมือนเพิ่งตื่นจากฝันเขาพึมพำ “ท่านลุงสองส่งท่านป้าสามไปให้ใครจะเป็นไปได้อย่างไร นี่มัน…”
ไร้ยางอาย
สามคำนี้ติดอยู่ที่ปลายลิ้นของหมิงเฉิงซึ่งยากที่จะเอ่ยออกมา
“มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้อีกท่านไม่คิดหรือว่าทำไมตระกูลหมิงถึงสนิทกับจวิ้นอ๋องมากในช่วงหลายปีนี้” หมิงเวยทำลายความหวังสุดท้ายของเขาอย่างไม่ปราณี
หมิงเฉิงตื่นตระหนก “ไม่ใช่เพราะท่านลุงสามหรอกหรือ”
หมิงเวยยิ้มเย็นแต่ไม่พูดอะไร แม่นมถงที่เล่าเรื่องทุกอย่างให้นางฟังทีหลัง เดิมทีฮูหยินสามคิดว่านายท่านสองลงโทษนายท่านหก เรื่องนี้ก็ผ่านไปแล้ว ใครจะคิดว่านายท่านสองจะวางยานางแล้วส่งนางไปอยู่บนเตียงของผู้เป็นคนใหญ่คนโตท่านหนึ่ง
แม่นมถงไม่รู้ว่าคนใหญ่คนโตผู้นั้นคือใคร แต่เรื่องนี้เป็นการคาดเดาที่มากเกินไป
ทั่วทั้งตงหนิงคนที่ทำให้นายท่านสองประจบประแจงได้นอกจากฉีตงจวิ้นอ๋องแล้วจะมีใครอีก จากหลักฐานที่เหลยหงนำมาจากตระกูลหมิงก็ทำให้มองออกได้อย่างชัดเจนเลยว่าการติดต่อระหว่างตระกูลหมิงและจวนอ๋องนั้นต้องหนีไม่พ้นเรื่องนี้แน่
หมิงเฉิงรับไม่ได้เขากุมศีรษะด้วยความเจ็บปวด “นี่ข้าทำอะไรลงไป!”
หากเขาไม่ได้รับการยืนยันก็คงคิดไปว่าท่านป้าสามกับท่านพ่อมีความสัมพันธ์กัน! ด้วยเหตุนี้จึงคิดไปเองว่าต้องตักเตือนนาง!
“สิบปีแล้วที่ท่านแม่แม้แต่จะตายก็ยังไม่กล้า เพราะนางกลัวว่าหากนางตาย ข้าจะไม่มีคนดูแล” หมิงเวยหมุนตัวหันหลังให้กับพวกเขานางเกรงว่าหากมองไปหลายๆ ครั้งจะยับยั้งความบ้าคลั่งไม่ได้แล้วฆ่าพวกเขาทั้งหมด
“ความอัปยศอดสูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่สตรีคนหนึ่งได้รับ นางทนมาได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถทำให้สัตว์ร้ายพวกนั้นปล่อยนางไปได้ เพราะความลับถูกเปิดเผยโดยไม่ได้ตั้งใจนางจึงถูกฆ่าถึงนางเคยอยากตาย แต่ก่อนหน้านี้นางเพิ่งมีความหวังกับอนาคตข้างหน้าต้องการหนีออกจากเรื่องทุกข์นี้และไปมีชีวิตใหม่ แต่สัตว์ร้ายพวกนั้นแม้แต่ความเมตตาสุดท้ายก็ไม่คิดที่จะให้นาง…”
เสียงสะอื้นดังขึ้นในห้องเซ่นไหว้ผู้ตายเป็นแม่นมถงที่ทนไม่ไหวร้องไห้ออกมา
“ฮูหยิน! ฮูหยินเจ้าคะ!” แม่นมถงร้องไห้ต่อหน้าป้ายวิญญาณ “ท่านได้ยินหรือไม่เจ้าคะ คุณหนูเห็นความไม่ได้รับความเป็นธรรมของท่าน คุณหนูเข้าใจถึงความพยายามอย่างหนักของท่าน คุณหนูให้ความยุติธรรมกับท่านแล้ว ความยุติธรรมที่สายไปถึงสิบปี!”
……………………………………
[1] สัตว์เดรัจฉานที่สวมหมวกใส่เสื้อผ้า : คนที่ไร้ศีลธรรมจรรยาเฉกเช่นสัตว์เดรัจฉาน