สำหรับฉีตงจวิ้นอ๋องแล้วเรื่องการก่อกบฏ หากบอกว่าเป็นความทะเยอทะยานส่วนบุคคลต้องบอกว่าเป็นความไม่สบายใจเสียจะดีกว่า
โศกนาฏกรรมความสัมพันธ์เมื่อสิบเก้าปีก่อนนั้นยังฝังลึกอยู่ในจิตใจของเขา ซึ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอยู่บ่อยๆ คดีกบฏเมื่อสิบปีก่อน และการเสียชีวิตของหลิ่วหยางจวิ้นอ๋องลูกพี่ลูกน้องของเขาได้กระตุ้นความกลัวในใจของเขา
ในประวัติศาสตร์ศึกการชิงบัลลังก์ผู้ชนะจะสังหารผู้แพ้
เสด็จอาที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ในตอนนี้ดูเหมือนจะใจดี หรือแท้จริงแล้วหาโอกาสสังหารลูกหลานของจิ้นอ๋องอยู่กันแน่ นึกถึงไท่จื่อที่ไม่มีรัชทายาทในปีนั้นลูกหลานขององค์ชายที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการชิงบัลลังก์ ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ก็มีแค่เขาผู้เดียวเท่านั้น
เขาจำได้ว่าการก่อกบฏของหลิ่วหยางจวิ้นอ๋องทำเอาเขานอนไม่หลับไปหลายเดือน
จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้พบกับคนผู้หนึ่ง คนที่ทุกคนต่างคิดว่าเขาตายไปแล้วที่เป่ยหู เขาคนนั้นบอกว่าท่านอ๋องใช้ชีวิตเช่นนี้ไม่ถูกต้อง หากท่านไม่ทำอะไรเลย สักวันท่านจะต้องมีจุดจบเช่นเดียวกันกับหลิ่วหยางจวิ้นอ๋องเป็นแน่
เขายังบอกอีกว่าในเมื่อทำหรือไม่ทำก็ผิด ท่านอ๋อง…เหตุใดท่านถึงไม่ลงมือทำล่ะ แม้ว่าความพ่ายแพ้จะทำให้พบกับจุดจบที่เลวร้ายกว่าเดิม แต่หากสำเร็จขึ้นมาก้าวเดียวก็ถึงฟ้าแล้ว
เขาพูดอีกว่าท่านอ๋องท่านยังมีเวลาอีกมาก ครอบครัวหลิ่วหยางจวิ้นอ๋องเพิ่งถูกสังหารไป คนผู้นั้นเพื่อชื่อเสียงของเขาแล้ว เขาจะไม่แตะต้องท่านในระยะเวลาสั้นๆ นี้แน่
สุดท้ายเขายังพูดอีกว่า ท่านไม่ต้องกังวลไปเรื่องทั้งหมดนี้ข้าน้อยจะจัดการทุกอย่างให้ท่านเอง คนผู้นั้นยึดจวนหลิ่วหยางจวิ้นอ๋องไป แต่ของที่สำคัญที่สุดอยู่ในมือของข้าน้อยแล้ว ท่านทำตัวทำใจให้สบายก็สามารถได้รับความแข็งแกร่งที่หลิ่วหยางจวิ้นอ๋องสะสมมาหลายปีได้
ฉีตงจวิ้นอ๋องได้ยินดังนั้นแล้วก็รู้สึกหวั่นไหว
เขาไม่เหมือนกับหลิ่วหยางจวิ้นอ๋องลูกพี่ลูกน้องของเขาคนนี้เป็นคนมีความสามารถ เช่นนี้เขาถึงไม่ยอมที่จะนั่งตำแหน่งจวิ้นอ๋องไปจนตายจึงตั้งใจที่จะก่อการกบฏ
แต่ตนในยามเด็กไม่ชอบศึกษาเล่าเรียน พอโตมาจึงไม่มีความกล้าที่จะเดินไปข้างหน้า ไม่รู้ว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไร จะให้เขาก่อการกบฏงั้นหรือ เขายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าควรเริ่มจากตรงไหนดี
แต่เมื่อมีคนสองคนที่สามารถแก้ไขปัญหาให้เขาได้ คนหนึ่งเป็นนายท่านสามที่เป็นคนบอกเรื่องข้างต้นกับเขา
อีกคนคืออู่อี้ที่เข้ามาหาเขาในปีแรกๆ นายท่านสามที่ถือครองเงินทุนที่หลิ่วหยางจวิ้นอ๋องสะสมมาหลายปี
ในปีนั้นอู่อี้เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของตนจึงทำหน้าที่เป็นกุนซือทำงานบางอย่างเล็กๆ น้อยๆ ให้กับเขา เพราะฉะนั้นเรื่องการก่อกบฏจึงกลายเป็นเรื่องที่เป็นไปได้
นายท่านสามช่วยเขาวางแผนเรื่องสำคัญ อู่อี้จัดการงานแทนเขาโดยเข้าไปตีสนิทกับเจ้าหน้าที่
เมื่อมีแนวทางปฏิบัติแล้วในที่สุดเขาก็นอนหลับสนิทเสียที สิบปีที่ผ่านมาเมื่อคิดถึงเรื่องนั้นเขาจะปลอบใจตนเอง นี่ไม่ใช่การเตรียมพร้อมที่ดีหรอกหรือ หากคนผู้นั้นคิดจะลงมือกับเขาจริงๆ เขาก็จะยกธงทำการกบฏ!
คนผู้นั้นไม่ได้ทำอะไรกับเขามาเป็นเวลานาน
เขาก็ไม่จำเป็นต้องชูธงก่อกบฏ
เรื่องการกบฏนั้นยุ่งยากเกินไป เขาคิดเพียงว่ากำลังของเขายังอ่อนแออยู่มาก ในเมื่อไม่มีอันตรายใดๆ ย่างกรายเข้ามาแล้วเขาจะรีบก่อการกบฏไปทำไม
ตอนนี้นายท่านสามถูกเขาทอดทิ้งไปแล้ว อู่อี้เองก็ยอมรับสารภาพแล้วซึ่งเป็นการตัดแกนสำคัญของฉีตงจวิ้นอ๋องโดยตรง
บัดนี้การก่อกบฏไม่สำเร็จแล้ว เงินทุนที่อยู่ในมือนายท่านสาม ที่เก็บเสบียงอาหารที่อู่อี้เป็นคนจัดการ กองกำลังที่ท่านเจ้าเมืองอู๋รวบรวม…
ฉีตงจวิ้นอ๋องคิด…แล้วเขายังจะทำอะไรได้อีกกัน
นอกจากยอมรับผิดแล้วดูเหมือนจะไม่มีเส้นทางอื่นให้เขาสามารถเดินได้เลย…
เหมือนเทถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่ บอกเรื่องที่เขารู้ทุกอย่างออกมาให้หมด แน่นอนว่าเป็นการโยนความผิดทั้งหมดให้ผู้อื่น
นายท่านสามทำให้เขาลุ่มหลงทำให้เขามีความคิดนี้ขึ้นมา เป็นอู่อี้ที่ทำเรื่องนี้มาโดยตลอด ตัวเขาไม่ได้ยื่นมือไปแตะเลยสักนิด
เรื่องทั้งหมดได้พูดออกไปหมดแล้ว ฉีตงจวิ้นอ๋องมองเจี่ยงเหวินเฟิงอย่างขอร้อง “ใต้เท้าเจี่ยง ข้ามีความผิดยินดีที่จะยอมรับสารภาพ ขอเพียงให้ท่านช่วยตรัสกับฝ่าบาทให้ไว้ชีวิตครอบครัวของข้าด้วยเถิด!”
พูดแล้วก็ประสานมือคำนับ สีหน้าของเจี่ยงเหวินเฟิงสงบนิ่ง แต่ในใจกลับพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจัดการกับคดีกบฏ และเรื่องราวภายในแท้จริงแล้ว…
ฉีตงจวิ้นอ๋องเป็นคนอ่อนแอ ไม่เอาไหน เรื่องนี้เขาทราบดีอยู่แล้ว เพราะเหตุนี้ฝ่าบาทจึงวางใจเขามาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ผู้ใดจะคิดเล่าว่าเขาจะมีความคิดก่อกบฏขึ้น และเหตุผลเบื้องหลังก็ช่าง…
ไร้สาระสิ้นดี
“จวิ้นอ๋องเต็มใจที่จะประทับตราหรือไม่” เจี่ยงเหวินเฟิงถามอย่างใจเย็น
“เต็มใจ ข้าเต็มใจ!” ฉีตงจวิ้นอ๋องกล่าวซ้ำ “ข้าถูกคนเลวยั่วยุ ใต้เท้าเจี่ยงต้องร้องขอความเมตตากับเสด็จอาแทนข้าด้วย!”
พอฉีตงจวิ้นอ๋องจะสารภาพ เจี่ยงเหวินเฟิงก็เรียกเสมียนเข้ามา ในเวลานั้นคำสารภาพที่เสมียนจดมาก็ส่งมอบให้กับเขา “ท่านอ๋องลองดูว่าจริงหรือเท็จ หากไม่มีปัญหาใดก็ประทับตราได้”
เห็นฉีตงจวิ้นอ๋องมองเขาตาปริบๆ เขาจึงถอนหายใจเงียบๆ แล้วบอกว่า “ข้าน้อยจะรายงานตามความจริง ผลเป็นอย่างไรล้วนแล้วแต่อยู่ที่ฝ่าบาทจะตัดสินใจ”
ฉีตงจวิ้นอ๋องรู้สึกโล่งใจ “ใต้เท้าเจี่ยงไม่มีความลำเอียง ข้าเชื่ออย่างนั้น”
ไม่รู้ว่าเขาจินตนาการอะไรอยู่ถึงได้ดูผ่อนคลายมีความสุขมากเช่นนี้ เขากวาดตามองคำสารภาพไปหนึ่งรอบแล้วประทับตราทันที
เจี่ยงเหวินเฟิงรับคำสารภาพมาแล้วปิดผนึกอย่างระมัดระวัง “คืนนี้ท่านอ๋องประทับที่ศาลนะขอรับ”
ฉีตงจวิ้นอ๋องรีบถามต่อ “แล้วบุตรชายของ…”
เจี่ยงเหวินเฟิงยิ้ม “ข้าได้ให้คนพาซื่อจื่อไปส่งที่ศาลเรียบร้อยแล้วขอรับ ให้หวังเฟยดูแลเขาต่อ”
ฉีตงจวิ้นอ๋องถอนหายใจแล้วคารวะเขา “รบกวนใต้เท้าเจี่ยงแล้ว”
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่ก็มีเสียงดังมาจากด้านนอก เสียงของฝีเท้าของกองกำลังพร้อมกับเสียงตะโกนลอยมาถึงที่นี่
“ใต้เท้าขอรับ!” เหลยหงรีบเข้ามา “เกิดเรื่องขึ้นแล้ว! อู๋ควนผู้นั้นได้ระดมทหารรักษาการณ์ในพื้นที่เพื่อปิดล้อมศาลว่าการขอรับ!”
เจี่ยงเหวินเฟิงเลิกคิ้วขึ้น คำสารภาพของฉีตงจวิ้นอ๋องเมื่อครู่นี้ชัดเจนอยู่แล้วว่ากองกำลังนั้นอยู่ในความรับผิดชอบของท่านเจ้าเมืองอู๋
พวกเขาได้รับข่าวมาก่อนหน้านี้ว่ากองกำลังทหารของตงหนิงไว้ใจไม่ได้จึงได้นำกองกำลังจากหลีชวนมาแทน แค่รอให้จัดการเรื่องนี้เสร็จค่อยไปจัดการกองกำลังกบฏนั่น
ไม่คิดเลยว่าท่านเจ้าเมืองอู๋จะมองเห็นโอกาสได้อย่างรวดเร็ว พอเห็นว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องก็รีบติดต่อกองกำลังตงหนิงทันที
“อู๋ควนล่ะ” เจี่ยงเหวินเฟิงเลิกคิ้ว
เหลยหงมีสีหน้าละอายใจ “เป็นความผิดของข้าน้อยเองขอรับ ไม่คิดว่าในศาลว่าการจะมีทางลับเลยทำให้เขาหลุดออกไปได้”
เจี่ยงเหวินเฟิงถอนหายใจ “แล้วสถานการณ์ในตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ทหารรักษาการณ์หลีชวนเจียวจื้อล่ะ”
เหลยหงตอบ “เจียวจื้อกำลังเผชิญหน้ากับพวกเขาขอรับ เพียงแต่ว่าพวกเขามาจากแดนไกลจำนวนคนก็ไม่ได้เหนือกว่า อีกทั้งอีกฝ่ายยังพูดอยู่ตลอดเวลาว่าพวกเราเป็นคนไม่ดีสวมรอยเป็นข้าหลวงใหญ่ผู้แทนพระองค์ เพื่อต้องการกล่าวหาพวกเราขอรับ”
อะไรคือการสวมรอยเป็นข้าหลวงใหญ่ผู้แทนพระองค์กัน ข้ออ้างชัดๆ
เมื่อเรื่องมาถึงเพียงนี้แล้วมีแต่ต้องให้กองกำลังจัดการทำลายล้างพวกเขาซะ หลังจากนั้นจะมาเล่นลิ้นหรือชูธงก่อกบฏค่อยมาพูดกันอีกที
อย่างไรก็ตามเรื่องทุกอย่างได้ดำเนินมาถึงจุดนี้ หากไม่ต่อต้านก็ต้องถูกจับกลับไปที่เมืองหลวงเพื่อรับข้อกล่าวหาการกบฏครั้งใหญ่ และจะต้องถูกตัดหัวทั้งตระกูล ไม่มีผลลัพธ์ใดที่จะเลวร้ายไปกว่านี้แล้ว
“พวกสุนัขจนตรอก!”
เจี่ยงเหวินเฟิงพูดอย่างเย็นชา “เหลยหง รีบไปบอกเรื่องนี้กับคุณชาย ข้าจะไปดูด้วยตาตนเองว่าผู้ใดกันที่กล้าลืมตาพูดคำเท็จ!”
“ใต้เท้า!” เหลยหงรีบตอบ “พวกเขาตั้งใจที่จะกำจัดพวกเรา ท่านอย่าออกไปเสี่ยงเลยขอรับ”
เจี่ยงเหวินเฟิงถอนหายใจ “ที่นี่เป็นเมืองชั้นใน! การต่อสู้ระหว่างกองกำลังสองฝ่ายจะทำร้ายผู้บริสุทธิ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ประชาชนมากมายเพียงนี้ หากล่าช้าไปจะไม่ทันการ!”
เหลยหงไม่มีอะไรจะพูดทำได้แต่เรียกผู้ใต้บังคับบัญชามาสั่งการส่งข่าวออกไป ส่วนตนจะอยู่คุ้มครองพาเจี่ยงเหวินเฟิงออกไปด้วยตนเอง
…………………………………………………