ไท่จื่อตกตะลึง เผยกุ้ยเฟยหยิบกระดาษออกมาจริงหรือ นางกล้าได้อย่างไร!
แต่นางก็กล้าไปแล้ว ใบหน้างามของนางดูมีความกังวล และรู้สึกผิดเล็กน้อย ไม่มีอาการของคนร้อนตัว
ฮ่องเต้จ้องมองกระดาษแผ่นนั้น จากนั้นก็มองเผยกุ้ยเฟยทั้งสองสบตากัน
เผยกุ้ยเฟยพูดเสียงเบา “หม่อมฉัน…อยากรู้เพคะจึงอยากไปดูให้แน่ใจ เพียงแต่ไปได้ครึ่งทางก็รู้สึกเสียใจในภายหลังในขณะที่กำลังลังเลก็บังเอิญพบฝ่าบาทพอดี”
ฮ่องเต้หวนนึกถึงสถานการณ์เมื่อครู่นี้…
ระหว่างงานเลี้ยงเขารู้สึกเมานิดหน่อย แต่เห็นว่านต้าเป่าเข้ามารายงานด้วยท่าทางแปลกๆ ว่ามีนางในเห็นเผยกุ้ยเฟยเดินออกไปเพียงลำพัง
ฮ่องเต้ฟังแล้วรู้สึกผิดปกติอีกทั้งสองสามวันก่อนหน้านี้ที่เขาอยู่ในอาการป่วยก็เกิดความสงสัยอยู่ก่อนแล้วจึงออกจากงานเลี้ยง และพาเพียงขันทีข้างกายและองครักษ์ออกไปตามหาเท่านั้น
ผู้ใดจะรู้ว่าเดินไปเพียงครึ่งทางก็เห็นเผยกุ้ยเฟยยืนอยู่ตรงทางแยกราวกับมีบางอย่างที่นางตัดสินใจไม่ได้ ฮ่องเต้เมื่อเห็นว่าข่าวที่ได้รับมาเป็นเรื่องจริงตอนแรกก็โกรธอยู่บ้าง แต่เมื่อเผยกุ้ยเฟยเห็นเขา นางไม่เพียงแต่ไม่ตื่นตระหนก แต่ยังดูมีท่าทีเหมือนได้รับความช่วยเหลืออีกด้วย ทั้งสองพูดคุยกันไม่เท่าไรก็มีองครักษ์มารายงานว่า ไท่จื่อและซิ่นอ๋องอยู่ข้างหน้า
จากนั้นก็เห็นทั้งสองคนทะเลาะวิวาทกันฮ่องเต้จ้องไปที่เผยกุ้ยเฟยเป็นเวลานานและกล่าวว่า “เช่นนั้นมีคนจงใจล่อลวงสนมรักออกมาที่ศาลาว่างเยวี่ยหรือ”
เผยกุ้ยเฟยตอบอ้อมๆ ไปว่า “หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ บางทีอาจเป็นเช่นนั้น”
ฮ่องเต้ยื่นมือมารับกระดาษสายตาจ้องมองเผยกุ้ยเฟย “ในวังหลัง การส่งข้อความเป็นการส่วนตัวต้องได้รับการตรวจสอบ สนมรัก เจ้าคงไม่คัดค้านใช่หรือไม่”
เผยกุ้ยเฟยตอบรับอย่างว่าง่าย “เพคะฝ่าบาท”
ฮ่องเต้เริ่มสงสัยสายตาของเขาจ้องกลับไปไท่จื่อและซิ่นอ๋อง
ไท่จื่อเหงื่อผุดเต็มหน้าเขาพูดว่า “เสด็จพ่อ! หากเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไป เกรงว่าจะเกิดการวิพากษ์วิจารณ์เพื่อชื่อเสียงของกุ้ยเฟยเหนียงเหนียง ไม่ควรทำให้เป็นที่สนใจจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่เขาพูดอย่างนั้นออกไปสายตาของฮ่องเต้ก็ตวัดมองมาที่เขาอย่างเชือดเฉือน เขาก็พูดอย่างเย็นชาว่า “อ้อ เรื่องนี้จะกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างไรหรือ”
ไท่จื่อใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดเขาพูดตะกุกตะกัก “เรื่องนี้…มีคนส่งข้อความให้กุ้ยเฟยเหนียงเหนียง หากไปเข้าหูพวกคนสอดรู้สอดเห็นเข้าก็จะกลายเป็นเปิดเผยสู้สาธารณะชนไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
เขาหาเหตุผลขึ้นมาอย่างฉับไวจากนั้นก็พูดอย่างราบรื่นขึ้นว่า “เสด็จพ่อ ชื่อเสียงของเหนียงเหนียงสำคัญมากนอกจากนี้พวกเราเพิ่งเสร็จสิ้นพิธีสวดมนต์ให้บรรพบุรุษคงไม่ดีเท่าไรถ้า…”
“แล้วอย่างไร” เมื่อเห็นสีหน้าของฮ่องเต้เงียบสงบไท่จื่อก็มีความกล้ามากขึ้น “สู้ทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเล็กเรื่องเล็กให้สลายหายไปไม่ดีหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ผู้ใดจะรู้ว่าทันทีที่เขาพูดจบฮ่องเต้ก็ปัดถ้วยชาด้วยสีหน้าโกรธจัด “ยังกล้าพูดอีก!”
ไท่จื่อตกใจเขารีบพูดว่า “เสด็จพ่อโปรดพระทัยเย็น ลูก…ลูกเพียงแค่เป็นกังวล…”
“กังวลงั้นหรือ!” ฮ่องเต้ยิ้มเยาะ “หากวังหลังทำให้เจ้าเป็นกังวลคงแทบรอไม่ไหวที่จะนั่งตำแหน่งของเจิ้นใช่หรือไม่”
ประโยคนี้โหดร้ายอย่างยิ่ง ไท่จื่อก้มศีรษะทันทีแล้วพูดเสียงหวาดกลัว “ลูกไม่กล้า ลูกไม่กล้าพ่ะย่ะค่ะ!”
“ไม่กล้าหรือ มีอะไรไม่กล้ากัน!” ฮ่องเต้โกรธจัด เขามองไท่จื่อแล้วยิ้มเยาะ
คิดว่าตนโง่จนถึงอ่านความคิดโง่ๆ นี้ไม่ออกหรืออย่างไร พอนึกถึงเรื่องที่เขากำลังคุยกับซื่อเซียงเมื่อไม่นานมานี้ว่าจะขัดเกลาไท่จื่อให้พร้อมแบกรับหน้าที่สำคัญอย่างไร
ผ่านไปไม่กี่วันลูกโง่คนนี้ก็ทำให้เขาประหลาดใจ ยังไม่ทันได้นั่งตำแหน่งนั้นก็คิดลงมือกับคนข้างกายเขาแล้ว! หากให้อีกฝ่ายนั่งตำแหน่งนั้นจริงๆ จะก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอีก
รัชทายาทผู้สง่างามใช้อุบายที่น่ารังเกียจ! สิ่งที่ทำให้เขาผิดหวังมากยิ่งขึ้นไปอีกก็คือการใช้อุบายแล้วมันเต็มไปด้วยช่องโหว่!
ฮ่องเต้สูดหายใจเข้าลึกๆ หัวใจเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง บางทีอาจถึงเวลาที่ต้องยอมแพ้
“เด็กๆ!”
ว่านต้าเป่าเข้ามา และโค้งคำนับเพื่อรอรับคำสั่ง “บ่าวอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
“เรียก…” ฮ่องเต้ชะงักไปพักหนึ่ง “เรียกเจี่ยงเหวินเฟิงมา”
“พ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของไท่จื่อซีดเผือด เรียกเจี่ยงเหวินเฟิงมาหมายความว่าอย่างไร คนผู้นั้นเป็นขุนนางขั้นสามเป็นจิงจ้าวอิ่นผู้กุมอำนาจไว้ในมือที่แท้จริง! เสด็จพ่อต้องการเผยแพร่เรื่องนี้ต่อสาธารณะหรือ หากเป็นเช่นนั้นไท่จื่อเช่นเขา…
“เสด็จพ่อๆ! ลูกผิดไปแล้วให้อภัยลูกด้วย!” ไท่จื่อตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อเขาคุกเข่าคำนับศีรษะติดพื้นโดยไม่สนใจเศษกระเบื้องที่กระจัดกระจาย “เสด็จพ่อให้อภัยลูกด้วย!”
ในตอนที่เจี่ยงเหวินเฟิงมาถึงเขาก็ได้เห็นภาพฉากนั้น ฮ่องเต้นั่งอยู่ตรงกลางด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ ใบหน้าของไท่จื่อซีดขาวราวกับกระดาษมีเลือดหยดจากหน้าผากของเขา ซิ่นอ๋องไม่พูดอะไรและก้มศีรษะลง
หลังจากที่เชี่ยนเหนียงจากไป เจี่ยงเหวินเฟิงก็อาศัยอยู่ที่ศาลาว่าการ เขายังคิดว่าฮ่องเต้อยากสอบถามเรื่องงานราชการ ผู้ใดจะรู้ว่าขันทีพาเขาไปที่ตำหนักไท่หยวนโดยตรง
เมื่อมองดูสถานการณ์ในห้องอีกครั้งนอกจากฮ่องเต้และบุตรชายทั้งสอง รวมถึงเผยกุ้ยเฟยแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดนอกเหนือจากนี้เขาก็เริ่มเข้าใจ
เกิดเรื่องแล้ว!
ส่วนผู้โชคร้ายคือไท่จื่อ ที่เรียกเขามาเกรงว่าคงมีเรื่องที่ไม่อาจแพร่งพรายได้ต้องการสั่ง เจี่ยงเหวินเฟิงเลิกคิ้วเขาไม่ต้องการที่จะมีส่วนร่วมในความลับของราชวงศ์ แต่ดูเหมือนเรื่องนี้จะร้ายแรงมาก แต่หากฮ่องเต้รับสั่งเขาก็ไม่มีทางเลือก
เจี่ยงเหวินเฟิงคิดในใจโดยไม่แสดงสีหน้าเขาทำความเคารพต่อฮ่องเต้ “ไม่ทราบว่าฝ่าบาทเรียกกระหม่อมมีเรื่องอะไรให้รับใช้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของฮ่องเต้อ่อนลงเล็กน้อยและตอบว่า “เจียงชิง ท่านชำนาญเรื่องแก้ไขคดีมาโดยตลอดที่นี่มีคดีจึงอยากให้ท่านตรวจสอบหน่อย”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น” เจี่ยงเหวินเฟิงเข้าใจต้นสายปลายเหตุอย่างรวดเร็ว เขาดำรงตำแหน่งนี้มาสิบกว่าปี เจอคดีต่างๆ มามากมาย แค่ฟังก็รู้ทันทีว่าประเด็นสำคัญอยู่ที่ใด เขาถอนหายใจในใจ
ไท่จื่อที่มีสติปัญญาปานกลางไม่น่ากลัว แต่ถ้ามีสติปัญญาปานกลาง แต่คิดว่าตนเองฉลาดเป็นอันว่าจบสิ้นแล้ว เจี่ยงเหวินเฟิงไม่กระตือรือร้นในเรื่องก่อกบฏ แต่หากไท่จื่อหาเรื่องตายเขาเองก็ไม่สามารถห้ามได้
“ฝ่าบาท” เขาประสานมือ “คดีนี้มีประเด็นน่าสงสัยอยู่หลายประเด็น กระหม่อมต้องการสอบสวนหลายคน”
ฮ่องเต้เรียก “ว่านต้าเป่า”
“พ่ะย่ะค่ะ” ว่านต้าเป่าเข้าใจและโค้งคำนับเขา “ใต้เท้าเจี่ยงต้องการอะไรรับสั่งได้เลยขอรับ”
เจี่ยงเหวินเฟิงพูด “หนึ่ง ตามหานางในที่เป็นคนส่งข้อความให้เหนียงเหนียง สอง ผู้ใดที่เป็นคนทราบว่าเหนียงเหนียงเดินทางไปที่ศาลาว่างเยวี่ย และสาม…”
เขาหันมาหาฮ่องเต้ “ฝ่าบาท กระหม่อมมีบางเรื่องที่ต้องการถามเหนียงเหนียงพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้มองไปทางม่านลูกปัดแล้วพยักหน้า “เช่นนั้นไปที่ห้องฝั่งตะวันออก”
ไท่จื่อมองฮ่องเต้ที่เดินออกไปเขาอยากจะพูดอะไร แต่เมื่อเห็นสายตาเย็นชาจากบิดาก็ต้องสะดุ้ง
ม่านลูกปัดสั่นไหวเผยกุ้ยเฟยเดินออกไป
ไท่จื่อตัวสั่นเทาบนพื้น เขารู้สึกเสียใจในภายหลังเป็นอย่างมาก เหตุใดจึงไม่รอให้พิธีกรรมเสร็จสิ้นก่อนแล้วไปปรึกษาอาจารย์ฟู่
จริงสิ! อาจารย์ฟู่…ต้องรีบไปหาอาจารย์ฟู่!
ไท่จื่อรีบมองออกไปข้างนอก…
“พี่ใหญ่มองหาผู้ใดหรือ” น้ำเสียงของซิ่นอ๋องเหมือนจะหัวเราะ แต่ไม่หัวเราะ
ไท่จื่อทำท่าทีโกรธเพื่อปิดบังอาการตื่นตระหนก “เกี่ยวอะไรกับเจ้า”
“เกี่ยวอะไรกับข้างั้นหรือ” ซิ่นอ๋องไม่คิดปกปิดความอิจฉา และเจตนามุ่งร้าย สายตามองดูเขาอย่างเย็นชา “พี่ใหญ่ ท่านเหี้ยมโหดจริงๆ! ต้องการใส่ร้ายว่าข้าลวนลามสนมท่านคิดจะฆ่าน้องชายตัวเองหรือ!”
…………..