พิธีกรรมทั้งเจ็ดวันสิ้นสุดลงด้วยดี วันสุดท้ายมีจัดงานเลี้ยงขอบคุณเพื่อเลี้ยงส่งเซียนทุกท่าน หมิงเวยถูกจัดให้นั่งข้างโป๋วหลิงโหวฮูหยิน นางยังไม่ได้แต่งงานจึงไม่ควรนั่งรวมกับเหล่าหวางเฟยอีกทั้งยังไม่มีผู้อาวุโสที่ใกล้ชิดด้วยจึงต้องนั่งอยู่กับโป๋วหลิงโหวฮูหยินแทน
โป๋วหลิงโหวฮูหยินใจดีกับนางมาก เอาใจใส่นางอย่างดี นางทราบดีถึงต้นสายปลายเหตุที่สะใภ้ของตนถูกไล่ออกจากวังจึงแอบเสียใจที่ตอนแรกนางตาบอดเลือกนางแต่งเข้ามาเป็นสะใภ้
นางคิดไม่ได้หรืออย่างไรว่าการจัดการกับเยวี่ยอ๋องมีอะไรดีตรงไหนกัน ไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไร แต่เยวี่ยอ๋องก็ถูกเลี้ยงดูในจวนตนมาเป็นเวลายี่สิบปีซึ่งมันคือความจริง และในสายตาของผู้อื่นพวกเราเป็นพวกเดียวกัน
อีกอย่างกุ้ยเฟยยังอยู่ถึงแม้ว่าหลังจากนี้เขาจะสูญเสียอำนาจ แต่อย่างน้อยรอให้บัลลังก์เปลี่ยนคนก่อนแล้วค่อยว่ากัน! แต่โลกนี้ไม่มียาแก้รักษาโรคเสียใจภายหลัง นางเป็นสะใภ้ที่ตนเลือกให้แต่งเข้ามาจึงทำได้เพียงยอมรับ
งานเลี้ยงของราชวงศ์จะว่าน่าเบื่อก็น่าเบื่อ ระหว่างงานเลี้ยงผู้คนต่างมาพูดคุยกับโป๋วหลิงโหวฮูหยินเพื่อตรวจสอบหมิงเวย
หมิงเวยจำทุกคนไม่ได้ด้วยซ้ำแล้วก็ไม่อยากเสียเวลาจำชื่อของพวกนางด้วย นางจึงทำได้เพียงยิ้มให้ปล่อยให้พวกนางมองดูตนพูดจาชื่นชมหรือพูดเหน็บแนมอะไรก็แล้วแต่ พวกเขาพูดตามใจชอบนางไม่เจ็บอะไรอยู่แล้ว
ไท่จื่อรู้สึกกระสับกระส่ายระหว่างงานเลี้ยงเขาได้หาข้ออ้างที่จะออกจากงานไป
“เตรียมพร้อมแล้วหรือยัง” เขาถามองครักษ์
องครักษ์ต้องการเกลี้ยกล่อมเขาเป็นครั้งสุดท้าย “ไท่จื่อ ท่านรอไปก่อนดีหรือไม่ รอให้งานเลี้ยงขอบคุณจบลงแล้วพวกเรากลับตำหนักตงกงแล้วถามอาจารย์ฟู่…”
“รอไม่ได้แล้ว!” ไท่จื่อขัดขึ้นอย่างหงุดหงิด “เจ้าคิดว่าตอนนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วพวกเรารออีกวันได้งั้นหรือ ข้านอนไม่หลับมาสองวันแล้ว! ยิ่งนางไม่ลงมือทำอะไรยิ่งน่ากลัวเพราะนางรู้ว่าพิธีกรรมนี้สำคัญต่อเสด็จพ่อมากจึงไม่อยากขัดความสุขของเสด็จพ่อ ยี่สิบปีแล้วที่นางเป็นที่โปรดปราน นางเป็นผู้ที่เข้าใจความคิดของเสด็จพ่อมากที่สุด! นางกำลังรอโอกาสที่จะโจมตีในทีเดียว! นางคงคิดว่าข้าเองก็คิดเช่นนั้นเพราะฉะนั้นเมื่องานเลี้ยงจบลงนางจะต้องลงมือแน่ เมื่อถึงตอนนั้นต่อให้พวกเราไปหาอาจารย์ฟู่ก็ไม่ทันเสียแล้ว…”
“ไท่จื่อ!” องครักษ์อยากจะพูดว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาของเขาเพียงฝ่ายเดียว แต่ไท่จื่อเป็นเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ฟังเขาอย่างแน่นอน เขาถูกจินตนาการของตนเองทำให้ตกอยู่ในความหวาดกลัวไปเสียแล้ว
“ไม่ต้องพูดแล้วไปจัดการซะ!”
“…พ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่ไท่จื่อออกจากงานเลี้ยงซิ่นอ๋องก็สังเกตเห็นทันที “พี่ใหญ่ของข้าดูเหมือนคิดจะทำอะไรบางอย่าง” เขาถามองครักษ์ของตนเอง
องครักษ์ตอบกลับว่า “กระหม่อมจับตาดูมาสองสามวันแล้วมีการเคลื่อนไหวจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ดูเหมือนว่าจะมุ่งหน้าไปที่ตำหนักหลังพ่ะย่ะค่ะ”
ซิ่นอ๋องยิ้ม “เขาใจร้อนเสียจริง! ข้าคิดว่าเขาจะสามารถรอจนงานเลี้ยงจบแล้วไปปรึกษาอาจารย์ฟู่เสียอีก!”
องครักษ์ยิ้มตาม “แผนของท่านจะผิดพลาดได้อย่างไรไท่จื่อทั้งขี้ขลาดทั้งใจร้อน ขอเพียงถูกยั่วยุเพียงเล็กน้อยก็นั่งไม่ติดแล้ว”
“ไม่คิดว่าผลที่ออกมาจะดีเช่นนี้ รู้อย่างนี้ข้าคงเอาข่าวนั้นไปบอกเขาตั้งแต่แรกแล้ว หึๆ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าสนมของเสด็จพ่อเคยเป็นพี่สะใภ้มาก่อนไม่แปลกใจเลยที่เสด็จพ่อจะปกปิดไว้อย่างแน่นหนา ยอมให้คนคิดว่าตนเองเป็นชู้กับภรรยาของหลานชาย แต่ไม่ยอมที่จะเปิดเผยเรื่องนี้”
องครักษ์พูดว่า “ภรรยาของหลานชายหลานสะใภ้ไม่แตกต่างกัน แต่ความแตกต่างระหว่างหย่งซีหวางเฟยกับฮูหยินสองตระกูลหยางนั้นต่างกันมาก ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องอื้อฉาวของราชวงศ์เท่านั้น แต่บางทีมันอาจจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้นด้วย”
ซิ่นอ๋องพยักหน้า “ใช่หรือไม่เล่า การแต่งงานกับหลานสะใภ้ที่เป็นหม้ายไม่มีอะไรมากไปกว่าการถูกติฉินนินทา แต่หากเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นคง…”
เขาชะงักครู่หนึ่งจากนั้นทำหน้าสงสัยดูเหมือนเขาจะถามตัวเองว่า “เรื่องในปีนั้นคงไม่เกี่ยวกับเสด็จพ่อใช่หรือไม่” ซิ่นอ๋องผู้นี้คิดมากอยู่เสมอ
ทันทีที่ฮ่องเต้ประกาศราชโองการนั้นเขาก็สงสัยในเรื่องนี้ บุตรรอดชีวิตแล้วมารดาเล่า เพราะบุตรของนายท่านหยางคนรองเสียชีวิตจึงทำให้หยางชูสวมรอยแทน แล้วฮูหยินสองที่เพิ่งล่วงลับไปในตอนนั้นจะไม่ถูกสวมรอยเลยหรือ
เมื่อมองท่าทีที่เผยกุ้ยเฟยมีต่อหยางชู เมื่อก่อนเคยคิดว่าพวกเขาเป็นแม่ลูกกันซึ่งก็ควรเป็นเช่นนั้น ตอนนี้ไม่ใช่แม่ลูกกันแล้วน้าหลานจะสนิทสนมกันถึงเพียงนี้เลยหรือ
ซิ่นอ๋องรู้สึกสงสัย และหลังจากพยายามอย่างหนักเขาก็พบเบาะแสบางอย่างจริงๆ เขาพบหญิงชราคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในเรือนอื่นขององค์หญิงหมิงเฉิง และได้รับการยืนยันว่าเคยมีสตรีผู้หนึ่งอาศัยอยู่ที่นั่นพร้อมกับทารก
ทุกคนปกป้องนางอย่างระมัดระวัง แต่ไม่เคยพูดถึงตัวตนของนางเลย
ซิ่นอ๋องคิดไปมาก็รู้สึกว่ามีความเป็นไปได้สูงมากคนที่เสียชีวิตคือฮูหยินสองจากตระกูลหยาง
ปีนั้นคลอดลำบากจึงเสียชีวิตทั้งแม่และลูก ดังนั้นหยางชูจึงใช้นามของคุณชายสามจากตระกูลหยาง หย่งซีหวางเฟยก็ใช้นามของฮูหยินสองตระกูลหยาง
เขาไปหาบรรดาสตรีผู้สูงศักดิ์ที่เคยเห็นหย่งซีหวางเฟยมาก่อน และพวกนางทั้งหมดกล่าวว่าหย่งซีหวางเฟยกับฮูหยินสองตระกูลหยางมีความคล้ายคลึงกันมาก และสิบปีที่เผยกุ้ยเฟยเข้าวังก็แทบไม่ได้ออกไปพบผู้คนภายนอกเลย
หากไม่สงสัยก็ไม่เป็นไร แต่พอสงสัยกลับเต็มไปด้วยช่องโหว่ แล้วซิ่นอ๋องจะไม่ใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ได้อย่างไร!
แย่งหลานสะใภ้ก็ช่างไปเพราะผู้อื่นคงไม่คิดว่าเพราะเรื่องนี้เขาจึงเข้าแทรกแซงในโศกนาฏกรรมของซือฮว๋ายไท่จื่อ ต่อมาเขาเกิดความคิดขึ้นมาอย่างเฉียบไว ตนที่รู้ความลับนี้ยังอยู่ไม่สุขแล้วเหตุใดไม่โยนปัญหาไว้ให้พี่ใหญ่เล่า
เขารอโอกาสนี้มานาน…
นางในและหญิงชราในวันนั้นเป็นคนที่เขาจัดเตรียมมาแล้วเรื่องที่หญิงชราผู้นั้นหายไปก็เป็นฝีมือของเขาเช่นกัน เพราะการจัดพิธีกรรมถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ไท่จื่อไม่มีโอกาสสื่อสารกับข้างนอก และด้วยนิสัยของเขาจะต้องหวาดกลัวอย่างแน่นอน
ซิ่นอ๋องไม่ได้คิดจะโค่นล้มไท่จื่อในทันที แต่เพียงต้องการให้เขาต่อสู้กับเผยกุ้ยเฟยเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ
ไม่คิดว่าไท่จื่อจะทำให้เขาประหลาดใจอีกครั้ง เขาคิดจะลงมือโดยไม่ได้รอให้งานเลี้ยงสิ้นสุดเลยด้วยซ้ำ
“ไป พวกเราไปดูกันว่าพี่ใหญ่ของข้าคิดจะทำอะไร!” ซิ่นอ๋องคาดหวังเรื่องประหลาดใจจากไท่จื่อ
เมื่อตอนที่ไท่จื่อเดินออกจากงานเลี้ยง หยางชูยังคงไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อซิ่นอ๋องออกจากงานไปบ้างผ่านไปนานยังไม่กลับมาเขาก็รู้สึกสงสัย แปลกจริง ระหว่างงานเลี้ยงไม่ได้ออกจากงานไปเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือ เหตุใดถึงหายไปนานเช่นนี้ เขาสงสัยมาก และยังคอยระมัดระวังสองคนนี้ดังนั้นเขาจึงหาข้ออ้างที่จะออกจากงาน
เขาคิดหาวิธีส่งข้อความถึงหมิงเวยจึงใช้งูขาวตรวจหาร่องรอยถึงได้หาสองคนนั้นพบ
มันน่าสงสัยไท่จื่อเดินออกจากงานซิ่นอ๋องตามออกไปเขาเองก็ตามไปเช่นกันกลายเป็นตั๊กแตนจับจั๊กจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง[1] พวกเขาเข้าร่วมไปพัวพันกันอย่างรวดเร็ว
หมิงเวยมองดูงูขาวกลับมาที่แขนเสื้อของนางแล้วถามเกี่ยวกับสถานการณ์ แต่ได้ยินเสียงอุทานจากด้านหน้า นางเงยหน้าขึ้น และเห็นเผยกุ้ยเฟยนั่งอยู่ที่นั่นด้วยใบหน้าบูดบึ้งมีนางในคุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตา
นางบังเอิญทำขวดสุราหกใส่เผยกุ้ยเฟยโดยไม่ตั้งใจ กุ้ยเฟยเลิกคิ้วแล้วโบกมือ “ช่างเถอะ ออกไปได้แล้ว! ต่อไปอย่าประมาทอีก” แล้วลุกขึ้นกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
หมิงเวยนึกถึงตนเองก่อนเข้าวังเรื่องที่จี้ฮูหยินบอกเอาไว้ เรื่องที่นำเสื้อผ้ามาเปลี่ยนหลายชุด…
ไม่จริงน่าเรื่องในนิทานเช่นนี้มีคนเอามาใช้ในวังด้วยหรือ
………………
[1] ตั๊กแตนจับจั๊กจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง : ใช้เพื่อเปรียบเปรยถึงผู้ที่ไร้วิสัยทัศน์ มักเล็งผลระยะสั้นโดยไม่ระวังว่าจะมีผลร้ายในระยะยาวรออยู่ นอกจากนี้ยังใช้กระทบกระเทียบกับผู้ที่เอาแต่จ้องจะคิดบัญชีกับผู้อื่น โดยลืมไปว่าตนเองก็อาจจะกำลังถูกผู้อื่นจ้องจะคิดบัญชีเช่นกัน