หย่งซีหวางเฟยงั้นหรือ…
ไท่จื่อตกตะลึงครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะจำได้หย่งซีอ๋องเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดที่จากไปแล้วของหยางซาน อดีตหวงฉางซุน แล้วหย่งซีหวางเฟยที่หญิงชราผู้นี้พูดถึงหรือจะเป็น มารดาของหยางซาน…
ไท่จื่อเคยพบหย่งซีหวางเฟยเมื่อนานมาแล้ว ตอนนั้นเขายังเด็กมากจึงจำได้เพียงเลือนรางว่านางเป็นสตรีที่งดงาม ต่อมาเมื่อเผยกุ้ยเฟยเข้าวังเขาได้ยินมาว่านางจริงๆ แล้วเป็นฮูหยินสองจากตระกูลหยาง เนื่องจากนายท่านรองเสียชีวิตนางจึงเป็นหม้าย ไม่รู้ว่าไปคบกับบิดาของเขาได้อย่างไรถึงได้กลายมาเป็นสนมคนโปรดคนใหม่
ตอนนี้หญิงชราพูดออกมาเช่นนั้นได้กระตุ้นความสงสัยของเขา
“เหตุใดเจ้าถึงบอกว่านางคือหย่งซีหวางเฟยไม่ใช่พี่น้องตระกูลเดียวกันหรือ โตมาหน้าตาเหมือนกันเป็นเรื่องปกติ”
ท่านยายหร่วนตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ในตอนที่บ่าวยังเยาว์เคยรับใช้หย่งซีหวางเฟยที่เข้าพักในวังชั่วคราวอย่างใกล้ชิดจำได้ว่านางมีไฝที่ข้อมือ เมื่อครู่…เมื่อครู่บ่าวเข้าไปในห้องบังเอิญเห็นแขนเสื้อของกุ้ยเฟยเปิดออกเห็นว่ามีไฝในนั้น…”
ไท่จื่อใจเต้นตึกตักเขาถามว่า “ฮูหยินสองจากจวนโป๋วหลิงโหวไม่มีหรือ”
ท่านยายหร่วนตอบว่า “แม้จะเป็นพี่น้องกันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีไฝที่เดียวกันเจ้าค่ะ”
ใบหน้าของไท่จื่อซีดลงเกิดพายุขึ้นในใจ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่ากุ้ยเฟยเป็นฮูหยินสองจากตระกูลหยาง เรื่องนี้หากพูดออกไปแม้จะเป็นเรื่องอื้อฉาว แต่ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของฮ่องเต้ด้วย
ตอนนี้รู้แล้วว่ากุ้ยเฟยคือหย่งซีหวางเฟยจริงๆ เกิดเรื่องราวฉากใหญ่ขึ้นในหัวอย่างรวดเร็ว จากความจริงที่รู้ตอนนี้เขารับรู้ทุกอย่างเป็นที่แน่นอนแล้ว
หยางซานเป็นลูกหลานของซือฮว๋ายไท่จื่อ ตอนนั้นเขายังอยู่ในครรภ์มารดาและสามารถหลบหนีจากเหตุการณ์เลวร้ายนั้นมาได้หมายความว่าตอนนั้นมารดาของเขายังมีชีวิตอยู่!
เหตุใดเขาไม่นึกถึงปัญหานี้มาก่อนเมื่อพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว คำพูดในพระราชโองการของฮ่องเต้เต็มไปด้วยคำใบ้ว่าผู้ที่มีชีวิตรอดมีเพียงหยางซาน ไม่มีคนอื่น
ในเมื่อหย่งซีหวางเฟยยังมีชีวิตอยู่ตอนที่คลอดเขาแล้วหลังจากนั้นไปไหนล่ะ
กุ้ยเฟยไม่ใช่ฮูหยินสองจากตระกูลหยาง และฮูหยินสองจากตระกูลหยางตัวจริงเสียชีวิตหลังจากคลอดบุตร
หย่งซีหวางเฟยในตอนนี้ได้เข้ามาแทนที่ฮูหยินสองจากตระกูลหยาง หลังจากดำเนินการบางอย่างนางก็เข้าวังในฐานะสตรีจากตระกูลเผย
ภายนอกนางเป็นเพียงสตรีจากตระกูลเผยผู้ที่รู้เรื่องราวภายในคิดว่านางคือฮูหยินสองจากตระกูลหยาง ไม่มีผู้ใดคิดว่าแท้จริงแล้วนางคือหย่งซีหวางเฟย
ไม่น่าแปลกใจเลยที่หลังจากนางเข้าวังมาก็ไม่ค่อยปรากฏตัวในที่สาธารณะ
เมื่อเขายังเด็กคิดว่าเป็นเสด็จแม่ที่กดขี่เผยกุ้ยเฟย แต่จริงๆ แล้วนางไม่กล้าปรากฏตัวต่างหาก ต่อมาเสด็จแม่เสียชีวิตจากอาการประชวร นางที่อยู่ในวังมาหลายปีแล้วจึงปรากฏตัวเป็นครั้งคราวเท่านั้น
แต่สิบปีต่อมา รูปร่างหน้าตาของนางเปลี่ยนไปอีกทั้งการแต่งหน้าทำให้เป็นเรื่องง่ายที่คนอื่นจะเข้าใจผิดว่าพี่น้องจากตระกูลเดียวกันมีหน้าตาคล้ายกัน ไม่น่าแปลกใจที่ตระกูลเผยไม่เคยใกล้ชิดกับกุ้ยเฟยเลย
สตรีจากตระกูลอื่น หากครอบครัวฝ่ายหญิงไม่ส่งข้อความเข้าวังมาก็เข้าวังมาเยี่ยมเป็นครั้งคราว แต่ในความทรงจำของเขามันไม่เคยมีเรื่องนี้เกิดขึ้นเลย
ไม่แปลกใจที่เสด็จพ่อจะทำดีกับจวนโป๋วหลิงโหวถึงเพียงนั้น
แม้พวกเขาจะไม่ได้สืบทอดผลงานของบรรพบุรุษมานานแล้ว แต่ก็มอบรางวัลให้พวกเขาไม่เคยขาด เพราะพวกเขาเป็นแพะรับบาปให้เสด็จพ่อ
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ฮ่องเต้จะใจกว้างต่อหยางซานเพียงนั้นเพราะมารดาของเขาอยู่ข้างกายเสด็จพ่อ!
ไท่จื่อรู้สึกเหมือนรู้แจ้งรายละเอียดมากมายที่เขารู้มาก่อน แต่ไม่เคยสนใจก็ปรากฏอย่างชัดเจนในใจของเขา เขาไม่เคยรู้สึกตื่นตัวเช่นนี้มาก่อน จากคำพูดของหญิงชราได้เผยความลับอันยิ่งใหญ่ทำให้ไท่จื่อรู้สึกพึงพอใจอย่างน่าอัศจรรย์ และเขาเชื่อในผลลัพธ์นี้
นี่จะต้องเป็นความจริง!
“ไท่จื่อ” เสียงขององครักษ์เรียกสติของเขากลับมา ไท่จื่ออยู่ในอารมณ์สงบ ดวงตาของเขาหันไปทางหญิงชราแล้วเกิดความลังเลในใจ
ความลับนี้แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดรู้แน่ๆ แล้วจะทำอะไรกับหญิงชราผู้นี้ดี ฆ่าปิดปากหรือ
เดี๋ยวก่อน…เรื่องนี้เป็นจุดอ่อนที่ดีไม่แน่ว่าอาจมีประโยชน์ในอนาคต เช่นนั้นหญิงชราผู้นี้จึงเป็นพยานที่สำคัญมากควรได้รับการคุ้มครองเป็นอย่างดี
แววตาของไท่จื่ออบอุ่นขึ้นมาเขาถามนางว่า “เจ้าพักอยู่ที่ใด”
ท่านยายหร่วนตอบเสียงเครือ “บ่าวมีหน้าที่ทำความสะอาดตำหนักไท่หยวนและอาศัยอยู่ด้านหลังเจ้าค่ะ”
ไท่จื่อพยักหน้าแล้วพูดกับองครักษ์ของตนว่า “ส่งนางกลับอย่างปลอดภัย อย่าให้ผู้ใดมารบกวนได้” องครักษ์เข้าใจเป็นอย่างดีจึงกึ่งบังคับเชิญนางกลับไป
ไท่จื่อคิดไว้ว่าเมื่อพิธีกรรมสิ้นสุดลงเขาต้องหาทางพาหญิงชราออกจากวังและหาที่ซ่อนไว้เผื่อฉุกเฉิน
ตอนนี้เผยกุ้ยเฟยกุมตำหนักทั้งหกไว้อยู่การหาโอกาสจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะเรื่องนี้ช่วงบ่ายไท่จื่อจึงมีท่าทีกระสับกระส่าย
ซิ่นอ๋องที่ให้ความสนใจอยู่เสมอเมื่อเห็นเขาทำพิธีพลาดอยู่หลายครั้งก็ก้มหน้าซ่อนรอยยิ้ม หยางชูและอันอ๋องกลับมาแล้ว และทั้งสองก็ใช้เวลาช่วงบ่ายตามปกติ
เสวียนเฟยเคาะระฆังเพื่อยุติพิธีกรรมของวันนี้ เหล่าเชื้อพระวงศ์ และคุณชายที่เหน็ดเหนื่อยแยกย้ายกันไปพักผ่อนและรับประทานอาหาร
อันอ๋องโน้มตัวอีกครั้งและถามว่า “เจ้าไม่อยากพบคนผู้นั้นหรือ ตอนนี้เป็นเวลาเหมาะสมที่จะนัดออกมานะ”
หยางชูใจเต้นเล็กน้อย แต่เมื่อนึกถึงเวลาของพิธีกรรม อย่าพูดถึงเรื่องของชายหญิงเลย แม้แต่เนื้อสัตว์ยังห้ามหากถูกผู้อื่นเห็นว่าแอบนัดพบกันถึงแม้จะเป็นการพูดคุยไม่กี่คำ แต่ก็ง่ายต่อการทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ได้
สถานะถูกแต่งตั้งไว้แล้วอยู่นอกวังไม่ใช่ว่าอยากทำอะไรก็ทำได้ เหตุใดต้องรีบสร้างเรื่องให้เกิดภัยเงียบในตอนนี้ด้วย อดทนไว้อีกแค่สองวันเอง
เมื่อถูกปฏิเสธอันอ๋องมีสีหน้าผิดหวัง “เจ้านี่ขี้ขลาดเสียจริง”
หยางชูพูด “ท่านคิดว่าหากข้าเป็นท่านจะกล้าเกิดตัณหาหรือ หากท่านกล้านักก็ไปหาหวางเฟยของท่านเลย!”
อันอ๋องหัวหดทันทีเขาพึมพำ “เจ้าอย่าพูดถึงหวางเฟยให้ข้าตกใจสิ!”
หยางชูไม่ต้องการสนใจเขาและตัดสินใจไปทานอาหารเย็น
อันอ๋องเดินตามทันที “เดี๋ยวก่อน!”
…………
ถึงหยางชูพูดเช่นนั้น แต่เขารู้สึกคันในหัวใจมาก เขาไม่คิดแสดงตัวแค่คิดยืนมองอยู่ที่ฝั่งหนึ่ง เขารู้ว่าหมิงเวยรับประทานอาหารเย็นกับเผยกุ้ยเฟยทุกวันจึงไปยืนมองอยู่แถวนั้น
นางหลูที่ทานอาหารเสร็จออกไปเดินเล่นรอบๆ ตำหนักไท่หยวนกับสาวใช้
ในช่วงพิธีกรรมจะมีการแยกชายหญิงหากไปเดินเล่นจะมองเห็นคนจากอีกด้านหนึ่งของสวนเป็นบางครั้ง ซึ่งนางหลูก็มองเห็นหยางชู
นางเดินเล่นแค่ครึ่งหนึ่งของในสวน และพบว่าหยางชูนั่งอยู่บนต้นไม้อีกฝั่งหนึ่ง สายตาจ้องไปยังทิศของศาลาด้านหลังไม่ขยับไปไหน
นางหลูถามสาวใช้ว่า “นั่นใช่น้องสามหรือไม่”
สาวใช้ตอบ “เป็นเยวี่ยอ๋องเจ้าค่ะ”
นางหลูกลอกตา “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าเขาเป็นอ๋อง!”
นางเดินเล่นในขณะเดียวกันก็มองไปที่หยางชู ไม่นานก็เห็นหมิงเวยเดินออกมาจากศาลาด้านหลังและเดินผ่านสวน
“หือ!” นางหลูตื่นเต้น “พวกเขานัดพบกันหรือ!”
นางหลูคิดในใจที่แท้เด็กคนนี้ก็ทนไม่ไหวเลยนัดพบระหว่างทำพิธี หึ! หากเรื่องนี้ถูกเปิดโปง ฝ่าบาทต้องทรงพิโรธอย่างแน่นอน
เมื่อนึกถึงสิ่งที่หมิงเวยจงใจทำไม่ดีต่อตนในวันนี้ ใจนางหลูก็รู้สึกร้อนเป็นไฟ นางรอให้พวกเขาหาที่นัดพบกันส่วนตนรอคิดหาวิธีให้คนมาเปิดโปง
ถึงแม้จะเกลียดชังพวกเขา แต่ก็ถือเป็นการแก้แค้นสำหรับวันนี้! อย่างไรก็ตามหยางชูไม่ได้เรียกนางเพียงแค่มองหมิงเวยเดินผ่านไป
นางหลูประหลาดใจ “พวกเขาไม่ได้นัดพบกันหรือ”
สาวใช้ตอบ “ดูเหมือนเยวี่ยอ๋องจะรู้ขอบเขตดีนะเจ้าคะ”
การที่เขารู้ขอบเขตดีทำให้นางหลูไม่พอใจเดิมทีคิดจะหาโอกาสแก้แค้นไม่คิดว่าจะผิดพลาดเช่นนี้ คิดไปคิดมาก็ยิ่งไม่พอใจนางหลูคิดแผนขึ้นมา “เจ้าไปรั้งนางไว้!”
……………