“ที่ใดกัน” เมื่อเห็นว่าเขาดูสนใจอันอ๋องจึงพูดด้วยความตื่นเต้น “มาๆๆ ข้าจะแสดงคลังสมบัติของเปิ่นหวางให้เจ้าดู!”
ในที่สุดหยางชูก็สนใจเขาเดินคดเคี้ยวตามอีกฝ่ายไป ผ่านต้นไม้มากมายในตำหนักไท่หยวน ป่าที่นี่เขียวขจีจริงๆ ไม่น่าแปลกใจที่ราชวงศ์ก่อนจะสร้างเป็นตำหนักบรรทมของไทเฮาเป็นสถานที่ที่ดีในการพักฟื้น
อันอ๋องเดินไปพูดเสียงเจื้อยแจ้วไปว่า “ข้าไม่เหมือนเจ้าตอนเด็กไม่มีผู้ใดเล่นด้วย พี่ใหญ่พี่รองก็ไม่สนใจข้าเจ้าก็มักรังแกข้าก็มีแต่ขันทีน้อยที่เล่นเป็นเพื่อน แต่พวกเขาก็รู้สึกเบื่อจึงจงใจละเลยข้า ต่อมาข้าจึงต้องเล่นเองผู้เดียวในวังนี้จึงไม่มีที่ใดที่ข้าไม่รู้จัก ผู้อื่นคิดว่าตำหนักไท่หยวนนั้นน่ากลัว แต่จริงๆ แล้วน่าสนใจมาก มาๆๆ เจ้าดูที่นี่…”
ทั้งสองมาถึงต้นไม้ใหญ่ที่มีลักษณะคล้ายคนหลายคนกอดกันอันอ๋องปีนขึ้นไป หยางชูทนมองไม่ไหวอีกต่อไปจึงยกเขาขึ้นแล้วใช้วิชาตัวเบาไม่นานก็ขึ้นไปถึงบนลำต้น
“ก่อนหน้านี้บอกให้ท่านเรียนวรยุทธ์ท่านก็ไม่ฟัง!”
ทันทีที่เท้าของอันอ๋องแตะพื้นเขาก็ปีนขึ้นไปบนกิ่งไม้อย่างรวดเร็วแล้วพูดว่า “เจ้าก็พูดง่ายนะก่อนหน้านี้ข้าก็เคยบอกเจ้าแล้วว่าไม่มีผู้ใดหาอาจารย์ให้ข้าเลย! จากนั้น…” เขาก้มมองหน้าท้องที่ยื่นออกมา
อันอ๋องไม่ได้เป็นคนอ้วนก็แค่เป็นคนกินเก่งไม่คิดอะไร รูปร่างจึงอวบเล็กน้อยอย่างเลี่ยงไม่ได้กำลังกายเช่นนี้ให้ทำงานหนักก็คงเหนื่อยเกินไป
พูดถึงเรื่องนี้เขายิ่งอิจฉาหยางชูมากขึ้นไปอีก เด็กคนนี้เกิดมาตัวสูงอีกทั้งยังได้รับการฝึกฝนมาอย่างแข็งแกร่ง เมื่อมายืนเคียงข้างเขาการเปรียบเทียบนี้ทำเอาคนมองแทบร้องไห้…
“ข้าฝึกตอนนี้ยังทันหรือไม่”
หยางชูคิด “อายุของท่านหากคิดฝึกเป็นยอดฝีมือคงไม่ทัน แต่หากเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงย่อมทำได้อย่างน้อยก็ช่วยกำจัดไขมันหน้าท้องท่านได้”
อันอ๋องพยักหน้า “ได้ ข้าจะกลับไปลอง”
ก่อนหน้านี้เขายังเด็กเกินไปไม่มีมารดาดูแล บิดาไม่สนใจ คิดอยากฝึกวรยุทธ์ก็ไม่มีคนเอาใจใส่ เรื่องจึงจบแบบไม่มีข้อสรุปเช่นนี้ ตอนนี้เขามีจวนเป็นของตนเองแล้ว มีองครักษ์มีผู้ช่วย คิดจะหาอาจารย์มันก็ง่ายๆ ไม่ใช่หรือ
อันอ๋องแหวกไม้เลื้อยที่พันอยู่บนต้นไม้เผยให้เห็นรูขนาดเล็กซึ่งข้างในมืดจนมองเห็นอะไรไม่ชัดเจน
“มีครั้งหนึ่งข้าไปวิ่งเล่นในตำหนักไท่หยวนแล้วไม่ระวังตกลงไปในหลุมนี้ ข้างในมีอุโมงค์สวรรค์อื่นอีก ต่อมาข้าตระหนักว่านี่อาจเป็นทางลับของราชวงศ์ก่อน แต่ข้าก็ไม่ได้บอกผู้ใดเพราะคิดว่าไม่แน่อาจมีสักวันที่ต้องใช้มัน”
อันอ๋องหัวเราะเยาะตนเอง “ข้าพูดเช่นนั้นไป แต่ก็รู้ว่าไม่จำเป็นต้องใช้หรอก”
หยางชูมองเขาด้วยความรู้สึกซับซ้อน ไม่…ท่านได้ใช้มันแล้ว ในประวัติศาสตร์ที่หมิงเวยรู้ อันอ๋องได้สังหารไท่จื่อ และคิดจะสังหารน้องชายที่เหลืออยู่ จากนั้นอันอ๋องก็อาศัยช่วงชุลมุนหนีออกจากเมืองหลวง
เดิมทีหยางชูรู้สึกประหลาดใจด้วยเส้นสายของอันอ๋องเขาจะหลบหนีได้อย่างไร เกรงว่าเรื่องนี้ต้องมีเรื่องราวภายใน
เขาถาม “แล้วเหตุใดท่านถึงบอกข้า”
ซึ่งอันอ๋องก็คิดได้ในภายหลัง “จริงด้วย ตอนเด็กเจ้ารังแกข้าไปไม่น้อยตามเหตุผลแล้วข้าควรเกลียดเจ้าถึงจะถูก แต่พอเห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ข้าก็รู้สึกสงสาร บางทีอาจเป็นเพราะข้าใจดีเกินไป!”
“หึๆ!” หยางชูแค่นหัวเราะกับคำพูดยกหางตนเองของอีกฝ่าย
พอคิดดูอีกทีอันอ๋องน่าจะเป็นผู้ที่เข้าอกเข้าใจคนอื่น เขาไร้มารดาตั้งแต่เด็ก เป็นคนที่บิดาไม่สนมารดาไม่รัก และเขาสัมผัสได้ว่าบิดามีความเป็นศัตรูกับหลานชายคนนี้เล็กน้อย สถานการณ์ของทั้งสองค่อนข้างคล้ายกัน
เมื่อนึกถึงประวัติศาสตร์ที่หมิงเวยเล่าหยางชูตัดสินใจว่าแค่ทำให้เขาไม่ขึ้นเป็นฮ่องเต้ก็พอแล้วขอเพียงไร้อำนาจเขาก็เป็นคนดีอยู่
“มาๆๆ พวกเราเข้าไปกัน”
หยางชูกลัวว่าเขาจะล้มจึงพูดว่า “ให้ข้าเข้าไปก่อนหรือไม่”
อันอ๋องเปิดทางให้แต่โดยดี และมองดูหยางชูเข้าไป และเมื่อตนจะเข้าไปบ้างท้องของเขาดันเกือบจะติด เขาจึงมีความมุ่งมั่นที่จะกลับไปออกกำลังกายอีกครั้งมากขึ้น
ข้างในมืดมิดมากอันอ๋องเป่าไม้จุดไฟพกพา “ไป!”
ตอนแรกคิดว่าเป็นรูต้นไม้ แต่เมื่อเท้าเหยียบลงไปพบว่าเป็นพื้นจริงๆ มีทางลับอยู่ที่นี่จริงๆ
ทั้งสองเดินไปได้สักพักอันอ๋องก็หยุด “ถึงแค่นี้ก่อนเถอะข้างในลึกเกินไปข้าไม่กล้าเดินต่อ คิดว่าน่าจะสามารถออกจากวังได้พวกเราจากไปนานแล้วควรรีบกลับไป”
หยางชูตอบรับ เขาเองก็ไม่ต้องการให้เปิดเผยทางลับนี้เพราะบางทีอาจมีโอกาสได้ใช้มัน
…………
พิธีกรรมสิ้นสุดอีกวันฮ่องเต้กลับไปพักผ่อนแล้ว ส่วนไท่จื่อก็ไปพูดคุยกับกุ้ยเฟย เขามีงานสำคัญอื่นอีกจึงต้องออกจากวังไปจัดการ แน่นอนว่าเผยกุ้ยเฟยตอบรับ
เมื่อเขาออกไปเขาก็เห็นหญิงชราถือของยืนนิ่งอยู่ข้างถนน ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย ใบหน้าชื้นเหงื่อดูมีท่าทางหวาดกลัว ไปทำความผิดอะไรมาหรือไท่จื่อคิด แต่ก็ปล่อยผ่านไปอย่างไม่คิดอะไร
มีนางในคนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาเรียก “ท่านยายหร่วน ข้าให้ท่านมาส่งของว่าง เหตุใดถึงเกือบเสียมารยาทต่อหน้ากุ้ยเฟยด้วยข้าตกใจแทบตาย!”
เสียงของนางในคนนั้นชัดเจน ฝีเท้าของไท่จื่อจึงช้าลงโดยไม่ตั้งใจ และหันไปมอง หญิงชราผู้นั้นตัวสั่น “แม่นางหลานจือ ข้า…ดูเหมือนข้าจะเห็นคนที่ตายไปแล้ว!”
นั่นทำให้นางในหลานจือสงสัย “คนตายไปแล้วอะไรกันต่อหน้ากุ้ยเฟย! ท่านอย่าพูดไร้สาระออกมานะ โชคดีที่กุ้ยเฟยนั้นใจกว้างไม่พูดอะไรท่านรีบกลับไปเถอะครั้งหน้าอย่าทำตัวเช่นนี้อีก!”
“อ้อ…”
ไท่จื่อใจเต้นเขาสั่งการองครักษ์ว่า “ไปพาตัวนางมา อย่าให้คนอื่นเห็นได้”
เมื่อท่านยายหร่วนเดินออกจากประตู แต่เดินไปได้ไม่นานก็ถูกองครักษ์คนหนึ่งรั้งตัวไว้ นางคุกเข่าลงคิดอยากจะหนีไปจากตรงนี้ไม่ต้องการให้องครักษ์รั้งนางไว้
ท่านยายหร่วนคิดอะไรบางอย่างออกนางมือสั่นและโยนของทุกอย่างทิ้งไป
“ใต้เท้า ข้า ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้นเจ้าค่ะ! โปรดเมตตาข้าด้วย!”
เห็นนางเป็นเช่นนั้นองครักษ์ก็ยิ่งสงสัยจึงหลอกถามนาง “เมตตาเจ้าหรือ เจ้ารู้หรือว่าไปทำผิดอะไรมา”
ท่านยายหร่วนตกใจมากจนพูดสะเปะสะปะ “บ่าวแก่จนตาเลอะเลือนคิดว่ามองผิดไปเจ้าค่ะ กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงไว้ชีวิตด้วย!”
ไท่จื่อเดินเข้ามาหาช้าๆ “เจ้าทำผิดอะไรถึงต้องกลัวกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงเพียงนั้น เมื่อครู่พูดว่าคนที่ตายแล้วหมายถึงผู้ใดกัน”
ท่านยายหร่วนเข้าใจในทันทีว่าตนพูดอะไรผิดไปจึงคุกเข่าลงทันที “บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ บ่าวไม่ได้พูดอะไรเลยฝ่าบาทไว้ชีวิตด้วย!”
ไท่จื่อมีสีหน้ามืดครึ้ม “ทำไม..เจ้ากลัวกุ้ยเฟยเหนียงเหนียง แต่ไม่กลัวข้างั้นหรือ”
เขาส่งสายตาองครักษ์จึงก้าวไปข้างหน้า ท่านยายหร่วนกลัวจนหน้าซีดนางพูดทันทีว่า “บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ เมื่อครู่บ่าว บ่าว…”
“พูดมา! คนที่ตายไปแล้วคือผู้ใด!”
ท่านยายหร่วนตอบด้วยความตกใจ “เป็นกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงเจ้าค่ะ!”
ไท่จื่อพยักหน้า “ดี ข้าถามเจ้า เจ้าต้องตอบข้า ขอเพียงเจ้าพูดความจริงออกมา ข้าจะคิดเสียว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น”
“เจ้าค่ะๆ” ท่านยายหร่วนตอบรับเสียงรัว
“เหตุใดถึงบอกว่ากุ้ยเฟยเหนียงเหนียงเป็นคนที่ตายไปแล้ว”
ท่านยายหร่วนตอบเสียงสะดุด “เพราะ เพราะกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงเหมือนคนในความทรงจำของบ่าวมาก”
“อ้อ ผู้ใด”
“เป็น…เป็น…”
“รีบพูดมา!” องครักษ์เข้าไปหาด้วยท่าทางดุร้าย
ท่านยายหร่วนโพล่งออกมาว่า “หย่งซีหวางเฟยเจ้าค่ะ!”
…………..