หมิงเวยจำได้ว่าฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ในศักราชหย่งเจียปีที่ยี่สิบห้า ปีนี้ปีที่ยี่สิบเอ็ด ยังเหลืออีกสี่ปี แต่ดูตอนนี้เขาอาจอยู่ไม่ถึงตอนนั้น
หลังจากเกิดเรื่องกับฮูหยินสามแห่งตระกูลหมิง หมิงเวยยิ่งไม่อยากบังคับเผยกุ้ยเฟย มองแวบแรกสถานการณ์ของเผยกุ้ยเฟยไม่รู้ว่าดีกว่าของฮูหยินสามมากน้อยเพียงใด นางกุมอำนาจตำหนักทั้งหก และเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท
แต่เป็นเวลาหลายสิบปีที่อยู่ข้างกายศัตรูของตนซึ่งไม่สามารถเปิดเผยความเกลียดชังให้เห็นได้แม้แต่น้อยจะต้องลำบากถึงขั้นใดกัน นางอดทนมายี่สิบปีแล้วจะทนบังคับนางอีกได้อย่างไร
หมิงเวยทำได้เพียงบอกรายละเอียดกับนางว่า “แม่ทัพจงยอมรับเขาเป็นศิษย์ เพียงแต่พอกลับเมืองหลวงไม่ง่ายที่จะติดต่อกันเพคะ”
เผยกุ้ยเฟยประหลาดใจ “จริงหรือ”
“เพคะ เหนียงเหนียงลองคิดดู พวกเขาต่อสู้ด้วยกันมาปีกว่าเรียกได้ว่าร่วมเป็นร่วมตายกันจะเข้าหน้ากันไม่ติดจริงๆ ได้อย่างไร” เผยกุ้ยเฟยพยักหน้า
หมิงเวยพูดต่อ “แล้วยังมีอาจารย์ฟู่ ครั้งก่อนต้องขอบคุณแผนการของเขา เหนียงเหนียงไม่ต้องกังวลมีคนช่วยเหลือเขาเยอะมาก แต่ตอนนี้พวกเราต้องอยู่เฉยๆ เพคะ”
เผยกุ้ยเฟยถอนหายใจ “ตอนแรกข้าคิดว่าเขาสามารถเติบโตได้อย่างปลอดภัย แม้ว่าจะต้องยอมรับโจรเป็นบิดาไปตลอดชีวิต ชีวิตเขาจะปลอดภัย ในที่สุดข้าก็เข้าใจว่าตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่ลูกของข้าจะอยู่ในความหวาดกลัวตลอดไป นิสัยของเขาข้าเข้าใจดีหากผู้อื่นทำให้เขาขุ่นเคืองเล็กน้อยแม้ว่าเขาจะอดทนต่อหน้า แต่เขาก็จะจดจำมันไว้ในใจไปตลอดชีวิต แม่นางหมิง…ในเมื่อพวกท่านมีแผนแล้วข้าจะยอมรับฟังอาจารย์ฟู่ต้องการให้ข้าทำอะไร ข้าก็จะทำ”
ได้ยินคำพูดของนาง หมิงเวยก็รู้สึกปวดใจนางต้องโอบกอดอารมณ์ถึงเพียงไหนกันจึงได้ตัดสินใจยอมรับให้โจรเป็นบิดาของเขาไปตลอดชีวิต
หมิงเวยพูดเบาๆ ว่า “อาจารย์ฟู่ต้องการให้ไท่จื่อและซิ่นอ๋องต่อสู้กันเองให้พวกเขาล้มลงไปด้วยกัน จากนั้นให้อันอ๋องรั้งตำแหน่งนั้นไว้ชั่วคราว เขาไม่มีคนหนุนหลังอนาคตคงจัดการอะไรได้ง่ายเพคะ”
นางชะงักแล้วพูดอีกว่า “เรื่องที่เหนียงเหนียงทำก่อนหน้านี้หากทำให้เขาไม่สามารถว่าราชการได้ แต่ไม่ถึงอันตรายถึงชีวิตก็ดีแล้ว สุขภาพไม่แข็งแรงไม่มีสมาธิคงทำให้เขาอารมณ์ฉุนเฉียวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากตัดสินผิดพลาดหลายอย่างจะเป็นผลดีต่อพวกเราเพคะ”
“ได้ ข้าเข้าใจแล้ว”
เมื่อพูดถึงตรงนี้นางในก็เดินเข้ามา “เหนียงเหนียง ภาพวาดของท่านเพคะ”
เผยกุ้ยเฟยรู้สึกเพียงว่าโลกไหลราวกระแสน้ำแล้วกลับมาในชั่วพริบตา นางยังคงยืนอยู่ในวังทุกอย่างเหมือนเดิม
นางยิ้มและพูดกับนางในวังตามปกติ “เอาให้แม่นางหมิงดูเป็นภาพภูเขาที่เปิ่นกงวาดเมื่อวันก่อน”
…………
ยามเหม่า[1] พิธีกรรมเริ่มขึ้น
นางหลู โป๋วหลิงโหวซื่อจื่อฮูหยินรีบไปที่ห้องโถงด้านข้าง นางไม่สามารถอยู่นิ่งๆ ได้ มันเจ็บปวดมากที่ต้องนั่งติดต่อกันสี่วัน ยิ่งกว่านั้นเมื่ออยู่ในวังจะต้องระมัดระวังเรื่องคำพูด สำหรับผู้ที่ชอบพูดอย่างนางหลูนั้นทำให้รู้สึกเจ็บปวดเป็นหลายเท่า
เมื่อนางมาถึงหมิงเวยเพิ่งเข้าไปในห้องโถง ขันทีพานางไปนั่ง รินชา วางของว่าง ดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างมาก เช้านี้นางหลูตื่นสายจึงมาทานอาหารไม่ทัน นางจึงเรียกขันทีเพื่อขอชาแก้วหนึ่ง
ขันทีตอบนางด้วยรอยยิ้ม “ชาเพิ่งถูกแจกจ่ายไปบ่าวให้คนไปที่ห้องเครื่องแล้ว ซื่อจื่อฮูหยินโปรดรอสักครู่”
วังหลวงไม่ใช่จวนโป๋วหลิงโหว นางหลูรู้ว่าตนไม่สามารถบังคับขันทีได้จึงทำได้เพียงขอบคุณเขาเท่านั้น ผู้ใดจะรู้ว่านางรอแล้วรออีกก็ไม่มีชามาส่ง แต่ทางด้านหมิงเวยยังได้รับ และนางยังให้สาวใช้ของตนเองทานอีกด้วย!
นางหลูรู้สึกแสบท้อง แต่ยังเร็วไปที่จะถึงอาหารกลางวันนางเรียกขันทีอีกครั้ง
ขันทีกลับพูดว่า “ห้องเครื่องกำลังทำอาหารกลางวันอยู่เกรงว่าจะยุ่งเกินกว่าจะจัดการได้ ซื่อจื่อฮูหยินรอสักครู่ได้หรือไม่อีกเดี๋ยวจะได้เวลาอาหารกลางวันแล้วขอรับ”
นางหลูเริ่มโมโห “ยังเหลืออีกหนึ่งชั่วยามจะให้ข้าทนได้อย่างไร แค่ชาสักแก้วพวกเจ้าก็ให้ไม่ได้เลยหรือ”
แต่ขันทีไม่เกรงกลัวนางเขาตอบกลับหน้าตึงไปว่า “ซื่อจื่อฮูหยิน ท่านเข้าวังเพื่ออธิษฐานต่ออดีตฮ่องเต้ยังจะคิดเรื่องกินอยู่อีกหรือ ดูไม่ค่อยจริงใจนะขอรับ!”
เมื่อได้ยินประโยคไม่ดีไม่ร้าย นางหลูโกรธมากจนในที่สุดก็เข้าใจว่าขันทีผู้นี้ไม่ได้คิดวิ่งเป็นธุระให้นางเลยแค่ปฏิบัติพอเป็นพิธีมากกว่า
นางกำลังจะพูดอีกครั้ง แต่โป๋วหลิงโหวฮูหยินพูดขึ้นมาว่า “แค่หนึ่งชั่วยามไม่ใช่หรือ มีอะไรที่ทนไม่ได้ อีกอย่างที่ไม่ได้ทานข้าวเช้าเพราะเจ้าตื่นสายเองอยู่เงียบๆ ไปซะ ที่นี่คือวังหลวง เจ้าคิดว่าที่นี่คือที่ใดกัน”
จากนั้นนางก็พูดกับขันทีอย่างอ่อนโยน “กงกงตามสบายเถอะ ทางนี้ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”
ขันทีค่อยมีสีหน้าดีขึ้นมาหน่อยเขาทำความเคารพและเดินจากไป
ถึงนางหลูจะขุ่นเคืองเพียงใด แต่ก็ไม่กล้าขุ่นเคืองต่อหน้าแม่สามี แต่ในใจนางรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงได้แต่บ่นออกไปว่า “ท่านแม่ ข้าขอแค่ชาถ้วยเล็กไม่ต้องการอะไรอีก ทางฝั่งข้าต้องการแต่ไม่มอบให้ ฝั่งนู้นไม่ต้องการแต่มอบให้อย่างดี!”
โป๋วหลิงโหวฮูหยินชำเลืองมองแล้วพูดว่า “จะมาเทียบอะไรกันได้ นางคือว่าที่หวางเฟยในอนาคต ยังมีกุ้ยเฟยที่ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เดิมทีก็ไม่ได้เรื่องใหญ่อะไรอยู่แล้วเจ้ายังคิดเปรียบเทียบอีกหรือ”
นางหลูเป็นคนที่มีความต้องการสูงไม่ว่าเรื่องอะไรก็อยากเป็นที่หนึ่งเสมอ ประกอบกับความเกลียดชังที่มีต่อกุ้ยเฟยเมื่อได้ยินประโยคนี้นางยิ่งรับไม่ได้
นี่ไม่ได้บอกนางอย่างชัดเจนว่านางด้อยกว่าหรือ อีกอย่างนางก็หิวมาก…
สายตาของนางหลูมองไปยังชาและของว่างข้างกายหมิงเวย เมื่อมีสายตาจ้องมองพวกนางอยู่บ่อยๆ มีหรือจะไม่รู้ตัว หมิงเวยเงยหน้าขึ้นมอง
ดวงตาของทั้งสองฝ่ายสบกันดูเหมือนหมิงเวยจะสัมผัสได้ถึงความปรารถนาที่มีต่อชาและของว่าง นางยิ้มเล็กน้อยจากนั้นก็ยกจานของว่าง…มอบให้ตัวฝู
นางหลูเหล่มองเห็นตัวฝูดื่มชาทานของว่างมีความสุขนางก็ตัวสั่นด้วยความโกรธ “ท่านแม่ นางจงใจ นางจงใจแน่นอน!”
โป๋วหลิงโหวฮูหยินไม่สนใจ “เจ้าคิดมากไปแล้ว นางไม่ใช่พยาธิในท้องเจ้าสักหน่อยจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าอยากทาน”
“ไม่ใช่ ท่านแม่…”
โหวฮูหยินไม่พอใจ “เจ้าจะเรื่องเยอะอะไรเพียงนี้ รีบอธิษฐานซะ เจ้าเป็นเช่นนี้คนรอบตัวจะคิดว่าพวกเราไม่เต็มใจ!”
นางหลูไม่เต็มใจ แต่ก็ถูกโหวฮูหยินรั้งเอาไว้จำเป็นต้องกลืนความคับข้องใจลงท้องไป แต่ความแค้นในใจกลับฝังลึก
…………
เรี่ยวแรงของฮ่องเต้ไม่ดีเท่าเมื่อก่อนยกเว้นวันแรกที่เขาฝืนอยู่ได้นานหน่อย หลังจากนั้นเขาเพียงแค่ออกมาพบหน้า แต่ให้ไท่จื่อเป็นคนดูแลแทน บางทีอาจเป็นการยืนยันจากฮ่องเต้ ไท่จื่อรู้สึกตื่นเต้นมากไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กเรื่องใหญ่เขาได้มีส่วนร่วมในการจัดการ
เขาคือรัชทายาทมีฮ่องเต้คอยพูดผู้อื่นจึงปฏิบัติตามคำสั่งของเขา ซิ่นอ๋องเก็บซ่อนสีหน้าของตนเองไว้ และสวดมนต์อธิษฐานอย่างแข็งขันทุกวัน
อันอ๋องเห็นได้ชัดว่าเป็นคนเกียจคร้าน ทุกวันเขาทำตาปรือไม่ขยับไปไหน พยักหน้า และยิ้มเป็นครั้งคราวราวกับคนตอบรับอาจารย์ในคาบเรียน มีเพียงน้ำลายที่ไหลจากมุมปากเป็นครั้งคราวเท่านั้นที่เผยให้เห็นความจริงที่ว่าเขากำลังหลับอยู่ และทันทีที่การสวดมนต์สิ้นสุดลงอันอ๋องก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมาทันที และลากหยางชูไปรอบๆ เพื่อหาอะไรทำ
หยางชูเองก็รู้สึกเบื่อจึงยอมตามเขาไป เฮ้อ…เข้าวังมาอยู่ใกล้กันมาก แต่กลับไม่มีโอกาสได้พบกัน
อันอ๋องไม่ใช่คนโง่มีหรือจะดูไม่ออกจึงดึงตัวเขามาถามว่า “ท่านคงไม่ได้อยากไปที่นั่นเพื่อพบผู้ใดหรอกนะ”
หยางชูพิงราวบันไดไม่สนใจเขา แต่อันอ๋องเป็นคนต่ำยิ่งหยางชูไม่สนใจเขา เขายิ่งเอนตัวเข้าไปหาแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ไม่ได้แล้วพวกเราให้ขันทีไปส่งข้อความนัดนางออกมาดีหรือไม่”
หยางชูกลอกตาเขาคิดว่าตนเองสามารถนัดได้ผู้เดียวหรือ หากไม่ใช่เพราะกลัวผู้อื่นเห็น…
อันอ๋องพูดต่อว่า “ข้ารู้จักที่หนึ่งที่ซุ่มซ่อนอยู่รับรองว่าไม่มีผู้ใดเห็น!”
……………
[1] ยามเหม่า : 05.00 น. – 07.00 น.