เมื่อเห็นอันอ๋องและหยางชูเดินโอบไหล่กันเข้ามา ไท่จื่อแค่นหัวเราะทำปากยื่นอย่างดูถูก “น้องสามช่างมีอนาคตสดใสจริงๆ! เข้ากับเขาได้เป็นอย่างดี”
เหวินยวนตอบว่า “อันอ๋องไม่พอพระทัยไท่จื่อ ทำตัวน้อยเนื้อต่ำใจต่อหน้าท่าน เลยต้องทำตัวสนิทสนมกับเขาหรือ”
ไท่จื่อหัวเราะกับคำพูดนี้ “ก็จริงคนป่าเหมือนกันย่อมเข้ากันได้ดี”
“พี่ใหญ่” ซิ่นอ๋องมาถึงเขาทักทายด้วยรอยยิ้ม
“น้องรองมาแล้ว!” ไท่จื่อตอบกลับด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร
ซิ่นอ๋องเข้ามาพูดนินทา “อากาศร้อนเช่นนี้ พี่ใหญ่เหงื่อออกเต็มเลยเหตุใดจึงไม่ใช้ร่มเล่า เดี๋ยวจะเป็นไข้แดดได้เรื่องกระทรวงการคลังยังจำเป็นต้องพึ่งพาพี่ใหญ่!”
ไท่จื่อส่งยิ้มจอมปลอมกลับไป “ดูน้องรองพูดสิ เรื่องกรมโยธาของน้องรองก็ทำได้ไม่เลวนะ!”
“ไม่หรอกๆ”
พี่น้องปรองดองกันทุกวันทั้งสองพูดคุยตลอดทางจนกระทั่งเข้ามาในตำหนักไท่หยวนและเข้าเฝ้าฮ่องเต้ อาการป่วยของฮ่องเต้ดีขึ้น แต่ก็ยังมีอาการเซื่องซึมอยู่
ในตอนที่ทั้งสองเข้ามาอันอ๋องและหยางชูยืนก้มหน้าอยู่ด้านหนึ่งราวกับว่าพวกเขาเพิ่งได้รับการฝึกฝน รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของพวกเขาแล้วถวายพระพรฮ่องเต้
ฮ่องเต้ยังคงมีท่าทีอ่อนโยน “พวกเจ้ามากันเร็วจัดการธุระกันเสร็จแล้วหรือ”
ไท่จื่อนึกถึงคำพูดของฟู่จินที่พูดขึ้นก่อนออกเดินทาง
“ไท่จื่อ หากเทียบกับซิ่นอ๋อง นอกจากท่านมีฐานะเป็นบุตรชายคนโตจากภรรยาคนแรก ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เขาไม่สามารถทำได้ ท่านเป็นบุตรชายคนโตที่ฝ่าบาทตั้งตารอคอย ความรักความผูกพันในวัยเด็กนั้นไม่ธรรมดา นอกจากทำให้ฝ่าบาทเห็นความสามารถของท่านแล้ว ท่านต้องจำไว้เสมอว่าต้องรักษาความรักเอาไว้ด้วย”
ไท่จื่อตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า “ส่งมอบงานเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ วันนี้เสด็จพ่อรู้สึกดีขึ้นหรือไม่เห็นท่านดูไม่สดชื่นอีกสักครู่จะได้ไปไหว้บรรพบุรุษแล้ว เรื่องในที่นี้ให้ลูกจัดการเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้มีท่าทีโล่งใจเล็กน้อย “นอนมาหลายวันจะเอาความสดชื่นมาจากที่ใดเล่า เรื่องที่นี่ไม่มีอะไรมากไม่เป็นไรหรอก”
ซิ่นอ๋องพูดขึ้นว่า “ธุระของลูกก็ส่งมอบหมดแล้วเรื่องหลักเป็นเรื่องซ่อมแม่น้ำซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ในขณะนี้ลูกคิดว่าควรตรวจสอบให้ละเอียด…”
ฮ่องเต้ที่ยังไม่ฟื้นตัวดีไม่ต้องการฟังเรื่องการเมืองจึงพยักหน้า “ดี ให้พวกเขาจัดการไปก่อน”
ไท่จื่อหันไปถามว่านต้าเป่า “ข้าจำได้ว่าได้เวลาที่เสด็จพ่อต้องเสวยยาแล้ว เตรียมไว้หรือยัง”
ว่านต้าเป่ายิ้มและพูดว่า “เตรียมแล้วพ่ะย่ะค่ะจะรีบนำมาเดี๋ยวนี้”
หลังจากกินยาเป็นเวลาหลายวันฮ่องเต้ก็รู้สึกขมในปากและขมวดคิ้ว “เจิ้นดีขึ้นแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดยังต้องทานอีก”
ว่านต้าเป่าตอบว่า “ย่วนพ่าน[1]ได้เปลี่ยนใบสั่งยาสำหรับบำรุงร่างกายพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่จื่อพูดต่อว่า “ลูกเองก็คิดว่าการดื่มยาเป็นเรื่องน่าเบื่อ ไร้รสชาติ ไม่กี่วันก่อนให้ไท่จื่อเฟยจัดหาของว่างที่ทานง่ายเรียกน้ำย่อย อีกประเดี๋ยวจะให้ห้องเครื่องทำมาให้เสด็จพ่อลองชิมพ่ะย่ะค่ะ”
ท่าทีเอาจริงเอาจังทำให้ฮ่องเต้อารมณ์ดีเขาจึงตอบด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเอาใจใส่ดี เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ให้ว่านต้าเป่าจัดการได้”
ไท่จื่อดีใจมาก “เช่นนั้นลูกจะมอบสูตรให้ว่านกงกงพ่ะย่ะค่ะ”
จากนั้นเขาก็ดึงว่านต้าเป่าเพื่อบอกเรื่องข้อควรระวังอย่างระมัดระวัง สีหน้าของซิ่นอ๋องค่อยๆ มืดครึ้ม
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกตั้งแต่อาจารย์ฟู่เข้าตำหนักตงกงเมื่อสามปีก่อน พี่ใหญ่ของเขากลายเป็นคนฉลาดขึ้นมาทันใด นานๆ ครั้งเขาจะเป็นเช่นนี้ซึ่งทำให้เรื่องที่เขาพยายามอย่างหนักเป็นเวลานานสูญหายไปทันที โชคดีที่เขาเกิดมาอย่างโง่เขลา ไม่ว่าเขาจะสอนเขาอย่างไร ตราบใดที่อยู่ห่างจากอาจารย์ฟู่หากลองไปหลายๆ ครั้งก็ติดหลุมพรางแล้ว
ซิ่นอ๋องคิดย้อนกลับไปและยิ้มอีกครั้งหลังจากรอไปครู่หนึ่งเสวียนเฟยเดินเข้ามา “ฝ่าบาท ถึงเวลาฤกษ์มงคลแล้วให้เริ่มเลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พยักหน้า “เริ่มได้เลย”
ดังนั้นเชื้อพระวงศ์ทุกคนเดินตามฮ่องเต้ไปไหว้สักการะที่ห้องโถงใหญ่ฮ่องเต้เพิ่งหายจากอาการประชวร หลังจากไหว้บูชาเสร็จท่านก็มีอาการเหนื่อยเล็กน้อย และไท่จื่อเข้าไปหาได้ทันเวลา “เสด็จพ่อไปพักผ่อนก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ ลูกจะอธิษฐานแทนท่านเอง”
ฮ่องเต้พยักหน้า “ได้”
…………
ในที่สุดพิธีกรรมก็เริ่มขึ้นหมิงเวยถอนหายใจด้วยความโล่งอก และมองหามุมลับสายตาและคุกเข่าลงกับตัวฝู เมื่อเริ่มสวดมนต์หมิงเวยก็รู้สึกง่วงจึงหลับตาและพักผ่อน
เพราะการแสดงท่าทางที่ได้มาตรฐานกับการแสดงความเคารพเลื่อมใส ปากของนางขยับเป็นครั้งคราวจึงไม่มีผู้ใดสงสัยนาง
วันแรกจึงผ่านไปด้วยดี ห้องโถงหลักตีระฆังพิธีกรรมหยุดชั่วคราว
หมิงเวยลืมตาขึ้น และรอใครสักคนมารับ ไม่นานหลังจากนั้นเผยกุ้ยเฟยก็ส่งคนมารับนาง หมิงเวยเดินตามขันทีออกไปท่ามกลางสายตาอิจฉาริษยาของผู้อื่น
เมื่อไปถึงที่หมายก็เห็นเผยกุ้ยเฟยโบกมือให้นางด้วยรอยยิ้ม “คุกเข่าทั้งวันเจ้าคงเหนื่อยแย่เลย” นางสวมเสื้อผ้าธรรมดาปิ่นบนศีรษะถูกถอดออกทำให้นางดูบริสุทธิ์เหมือนสตรีทั่วไป
หมิงเวยคารวะและตอบกลับว่า “ไม่ลำบากเลยเพคะ แค่นั่งสมาธิไม่ต้องคุกเข่าตลอดเวลาเพคะ”
เผยกุ้ยเฟยพยักหน้าด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “พวกบุรุษเขาทานอาหารกันเอง เจ้าทานกับข้าได้นะ”
หมิงเวยไม่ปฏิเสธ ทั้งสองรับประทานอาหารเย็นภายใต้การปรนนิบัติของนางใน หลังทานอาหารเสร็จเผยกุ้ยเฟยไม่ได้บอกให้นางกลับไป
หลังจากเก็บโต๊ะพวกนางก็จิบชาไปพูดคุยไป หมิงเวยรู้ดีว่าในวันแรกที่พบกันไม่ควรพูดเรื่องสำคัญจึงต้องคุยเรื่องทั่วไปแทน
ตัวอย่างเช่น เผยกุ้ยเฟยสนใจสงครามที่ซีเป่ยมากนางจึงเล่าอย่างละเอียดว่าพวกเขาถูกล้อมเมืองที่เนินกรวดจากนั้น…
กว่าจะรู้ตัวฟ้าก็มืดแล้ว เผยกุ้ยเฟยหยุดพูด และให้นางในพานางและตัวฝูไปพักผ่อน นางนอนหลับสบายตลอดทั้งคืน
วันรุ่งขึ้นก่อนรุ่งสางพิธีกรรมก็เริ่มขึ้น หมิงเวยอยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่ทั้งวัน เมื่อถึงเวลาอาหารเย็นเผยกุ้ยเฟยก็ให้คนมารับนาง และพูดคุยกันเรื่องทั่วไป
สามวันผ่านไป และในวันที่สี่หมิงเวยสังเกตเห็นว่าการเฝ้าระวังเผยกุ้ยเฟยผ่อนคลายลงดังนั้นนางจึงแสร้งทำเป็นพูดถึงภาพวาด แน่นอนว่าเผยกุ้ยเฟยเห็นด้วยจึงให้นางในหยิบภาพวาดมาสองสามภาพ และพาหมิงเวยขึ้นไปบนห้องใต้หลังคาเพื่อชมทิวทัศน์
นี่คือห้องใต้หลังคาที่สูงที่สุดของตำหนักไท่หยวนทั้งสองยืนอยู่ข้างนอกซึ่งผู้อื่นมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ทันทีที่นางในเดินจากไปเผยกุ้ยเฟยก็รู้สึกแปลกประหลาดราวกับว่าทุกอย่างอยู่ห่างไกลออกไป ทั้งสองคนเหมือนจะยืนอยู่ในถิ่นทุรกันดารโดยไม่มีผู้ใดอยู่รอบๆ
“แม่นางหมิง” นางมองหมิงเวยอย่างไม่แน่ใจ
หมิงเวยตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนนี้เหนียงเหนียงสามารถพูดอะไรก็ได้แล้วเพคะ”
เผยกุ้ยเฟยถอนหายใจ “เคล็ดวิชาช่างน่าอัศจรรย์ใจจริงๆ”
ในช่วงที่ตำหนักไท่หยวนมีเสวียนชื่อมากที่สุดแม้เสวียนเฟยจะเป็นพวกของตน แต่ก็กลัวจะเกิดปัญหาหากมีผู้อื่นสังเกตเห็นเข้า หมิงเวยไม่อยากล่าช้าจึงพูดอย่างตรงไปตรงมา “เหนียงเหนียง ฝ่าบาทอยู่ในอาการย่ำแย่เช่นนี้เป็นฝีมือของท่านหรือไม่เพคะ”
เผยกุ้ยเฟยชะงักนางพยักหน้าเบาๆ แน่นอนว่าฟู่จินเดาถูก
จากนั้นนางก็ถ่ายทอดคำพูดของฟู่จิน “…เรื่องนี้ ท่านควรให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของตนเองเป็นหลักเพคะ”
เผยกุ้ยเฟยเงียบอยู่นานและตอบว่า “เจ้าวางใจได้เขาจะไม่ตายในตอนนี้ สิ่งที่ข้าใช้ไม่ได้ส่งผลโดยตรง เพียงแต่ให้เขาจมอยู่กับความคิดมากขึ้นส่วนอาการประชวรนั้นเขาเป็นอยู่ก่อนแล้ว”
อาการปวดพระเศียรเป็นโรคเก่า สุขภาพของเขาแย่ลงจริงๆ สิ่งที่เผยกุ้ยเฟยทำคือเติมเชื้อไฟ ด้วยวัยของเขาอีกทั้งสุขภาพที่ไม่แข็งแรงหากมีอาการคิดฟุ้งซ่านอาการป่วยคงหนักขึ้น
……………
[1] ย่วนพ่าน : ตำแหน่งข้าราชการระดับสูงในสถาบันแพทย์หลวง