หลู่เซียงเข้าวังแล้วกลับออกมาบอกว่าฮ่องเต้ต้องการจัดงานพิธีให้เตรียมตัวกันเถอะ ผู้อาวุโสท่านอื่นตกตะลึง พวกเขายังคิดว่าหลู่เฉียนเข้ามาในวังทันทีที่ได้ยินข่าว เพราะเขารู้เหตุผลแล้วรีบไปโน้มน้าวให้ฮ่องเต้ถอดถอนคำสั่ง
ตอนนี้มันอะไรกันไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่สามารถนำเงินออกมาได้ แต่ไม่สามารถปล่อยให้ฮ่องเต้ดำเนินการโดยพลการอย่างเคยชินได้ แม้ว่าท้ายที่สุดจะอนุญาต แต่ก็คงลำบากใจมากขึ้นทำให้ครั้งหน้าที่เขาเอาแต่ใจอีกต้องคิดให้มากขึ้น
เหล่าผู้อาวุโสกลุ่มหนึ่งล้อมรอบกายหลู่เฉียนเพื่อพูดคุยกัน แม้ผู้อาวุโสหลู่เซียงจะมีคุณธรรมและบารมีสูงส่งเพียงใด แต่เขาไม่ใช่ผู้เดียวในราชสำนักที่ตัดสินใจแล้วถือเป็นอันจบ
ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะพูด ในท้ายที่สุดหลู่เฉียนก็ตะโกนเรียกหลานชายที่มารับใช้ให้มาห้ามพวกเขา เขาคำนับรอบทิศ “ผู้อาวุโสทั้งหลายท่านปู่ของข้าอายุมากแล้ว โปรดพูดช้าลงหน่อยเถิดขอรับ”
หลู่เฉียนปาดเหงื่อที่ไหลเนื่องจากร้อนจัด และสั่งหลานชายของเขาว่า “เจ้าออกไปชงชามาหน่อย”
หลานชายรับคำและเดินออกไปลู่เฉียนสะบัดพัดและพูดว่า “นั่งลงแล้วค่อยๆ พูดเถิด หากไม่รู้จักคงคิดว่าพวกท่านมาทวงหนี้” พอเขาพูดเช่นนั้นผู้อาวุโสทั้งหลายจึงเขินอายเล็กน้อย แต่ก็ยอมนั่งลงแต่โดยดี
หลู่เฉียนจิบชาและพูดว่า “สถานการณ์ของฝ่าบาทไม่ค่อยดีนัก”
ทุกคนตะลึงครู่หนึ่งซื่อเซียงจางถานถามว่า “ไม่ค่อยดีนักหมายความว่าอย่างไร อาการปวดพระเศียรของฝ่าบาทเป็นโรคเก่า ทางหมอหลวงเองก็บอกว่าบำรุงอีกสักหน่อยเดี๋ยวก็ดีขึ้นไม่ใช่หรือ”
หลู่เฉียนส่ายหน้า “ข้าหมายถึงสภาพปัจจุบันของฝ่าบาท เรื่องอาการก็เป็นเช่นนั้น แต่สติของฝ่าบาทแย่ลงเรื่อยๆ เมื่อวานข้าเข้าวัง ฝ่าบาทดึงมือข้าและพูดเรื่องฮ่องเต้องค์ก่อนอยู่นาน ข้าคิดว่าฝ่าบาทมีอาการเจ็บป่วยทางจิตใจ”
ผู้อาวุโสอีกคนพูดด้วยความประหลาดใจ “มีอาการเจ็บป่วยทางจิตใจได้อย่างไร ตั้งแต่ฝ่าบาทเสด็จขึ้นครองราชย์ ฝ่าบาททรงมีวินัยมีความพากเพียร หากพบอดีตฮ่องเต้ก็ไม่มีอะไรต้องรู้สึกผิดตอนนี้เอาชนะเป่ยหูได้ซึ่งเป็นสิ่งที่อดีตฮ่องเต้ทำไม่สำเร็จ” คนอื่นๆ เองก็เห็นด้วย
หลู่เซียงส่ายหน้า “อย่าลืมสิว่าฝ่าบาทเสด็จขึ้นครองบัลลังก์ภายใต้สถานการณ์ใด เรื่องนี้เป็นเครื่องเตือนใจให้นึกถึงเรื่องเก่าในระหว่างที่ประชวรมีเรื่องให้คิดมากมาย หากไม่ปล่อยวางออกไปเกรงว่าจะส่งผลต่อการฟื้นตัว”
คำว่าเรื่องเก่าทำให้ทุกคนคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฮ่องเต้รู้สึกผิดจึงต้องการทำบางอย่างเพื่อบรรเทาจิตใจหรือ
มีเรื่องอะไรให้รู้สึกผิดด้วยองค์ชายทั้งสามฆ่าฟันกันเอง ตำแหน่งฮ่องเต้นี้ได้มาในช่วงที่อันตราย แต่ตอนนี้เขาก็ทำออกมาได้ดีถึงลงไปพบอดีตฮ่องเต้ในปรโลกก็ควรค่าที่จะเล่าถึง
หรืออาจเป็นเพราะในระหว่างที่ประชวรฮ่องเต้ทรงคิดมาก และคิดถึงบิดาและพี่ชายมากเกินไป เหมือนว่ายิ่งอายุมากขึ้นเท่าไรยิ่งดูเหมือนเด็กขึ้นเท่านั้น
หลู่เฉียนกล่าวอีกว่า “ข้าเองก็โน้มน้าวแล้วว่าพระวรกายของฝ่าบาทไม่เหมาะที่จะเดินทางควรจัดในวังดีกว่า! ส่วนเรื่องเงินคลังหลวงออกส่วนหนึ่ง พวกเราออกส่วนหนึ่ง”
เช่นนั้นก็ดีไม่ออกจากวังไม่ต้องใช้พื้นที่เยอะ ประหยัดเงิน!
กัวสวี่กลับไปที่ห้องของตนเองโดยไม่พูดอะไรสักคำ “ท่านอาหก ดื่มชาก่อนขอรับ”
กัวสวี่ตอบรับแล้วรับน้ำชามาในใจยังคงจดจ่อกับคำพูดของหลู่เฉียน เขาคิดต่างไปจากผู้อื่น ผู้อาวุโสกัวมีจิตใจสกปรกปฏิกิริยาแรกคือไม่ใช่ว่าฮ่องเต้ไม่มีเรื่องให้รู้สึกผิด แต่เพราะเขามีเรื่องที่ยังคงรู้สึกผิดจู่ๆ ถึงได้คิดเรื่องจัดงานพิธีขึ้นมา
น่าสนใจ! เขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ชิงบัลลังก์ในปีนั้นเลยหรือ หรือเรื่องนี้จะมีความลับเบื้องหลัง เรื่องนี้จะมีโอกาสหรือไม่นะ…
กัวสวี่จิบชา แต่แล้วก็ต้องบ้วนทิ้งจากนั้นพูดอย่างโกรธเคือง “เจ้าเด็กบ้า คิดจะฆ่าข้าหรืออย่างไร!”
หลานชายตกตะลึงเขาชงชาเช่นนี้มาตลอดผู้ใดจะไปรู้ว่าท่านอาหกจะไม่ดูเลย กัวสวี่ผ่อนลมหายใจทันใดนั้นก็คิดอะไรบางอย่างได้จึงกวักมือเรียกให้เขาเข้ามา
หลานชายขยับเข้าไปอย่างกลัวๆ “ท่านอาหก ท่านตีเบาหน่อย…”
“ผู้ใดจะตีเจ้ากัน” กัวสวี่ตบหน้าผากเขา และโน้มกายกระซิบที่ข้างหู “เลิกงานแล้วเจ้าอย่าเพิ่งกลับ ไปหาวิธีเชิญองครักษ์ข้างกายเยวี่ยอ๋องมาดื่มสุรา เหตุผลเจ้าคิดเองตอบแทนเรื่องช่วยชีวิตอะไรก็ได้…”
…………
ในที่สุดเรื่องงานพิธีก็ถูกกำหนด สถานที่จัดงานคือศาลเจ้า เวลาค่อนข้างนาน ใช้เวลาถึงเจ็ดวัน
หมิงเวยตกตะลึงครู่หนึ่งหลังจากได้รับข่าว “เหตุใดข้าต้องไปด้วย”
เสี่ยวถงที่มาส่งข้อความกล่าวว่า “เพราะท่านเป็นว่าที่หวางเฟยในอนาคต! นี่เป็นเรื่องในครอบครัวสมาชิกหญิงในราชวงศ์ต้องไปอธิษฐานขอพรเจ้าค่ะ”
“แต่พวกเรายังไม่ทันแต่งงาน มันจะดูเหมาะสมหรือ”
ยังไม่แต่งงานก็ยังไม่มีสถานะหากออกไปตอนนี้คนอื่นก็ยังเรียกคุณหนูหมิงชี
เสี่ยวถงมองซ้ายมองขวาแล้วโน้มตัวกระซิบ “ท่านอ๋องสั่งเป็นพิเศษตอนนี้เขาเข้าพบกุ้ยเฟยยากมาก…”
“อ้อ” หมิงเวยพยักหน้าถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไปดีกว่า
“เมื่อไร” นางถาม
เสี่ยวถงพูดอย่างดีใจ “อีกสามวัน ท่านเตรียมตัวเถอะถึงเวลาท่านอ๋องจะส่งคนมารับเจ้าค่ะ”
บ่ายวันนั้นหมิงเวยหาข้ออ้างไปร้านแลกเงิน บอกว่าออกไปเดินเล่น จากนั้นก็คิดหาวิธีแอบเล็ดลอดหนีออกไปอย่างแยบยล เปลี่ยนเสื้อผ้าไปที่ร้านเนื้อตุ๋นว่างจี้
ยามเซิน[1]มีคนไม่มากนัก นางนั่งอยู่สักพักก็เห็นฟู่จินเดินโซเซเข้ามา
“คารวะหวางเฟยเหนียงเหนียงไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรหรือ” ฟู่จินนั่งที่โต๊ะถัดไป และถามด้วยรอยยิ้ม
หมิงเวยหันหลังให้เขาและถามว่า “ท่านรู้เรื่องที่ในวังจะจัดพิธีกรรมใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ฟู่จินได้รับข่าวก่อนหน้านี้แล้วจึงตอบว่า “ใช่”
“ข้าจะเข้าวังเมื่อถึงตอนนั้นต้องการสนทนากับกุ้ยเฟยสักครู่”
“อ้อ…” ฟู่จินเข้าใจแล้วนางต้องการถามว่าเกิดอะไรขึ้นจะได้สนทนากับกุ้ยเฟย เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ท่านจะถามกุ้ยเฟยว่าเกิดอะไรขึ้นกับสุขภาพของคนผู้นั้นใช่หรือไม่ ข้าเห็นว่าเขาดูไม่ค่อยดีเท่าไร”
หมิงเวยถาม “ท่านคิดว่าอาการป่วยของเขาบ่อยไปใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“อืม..” ฟู่จินพูดช้าๆ “ข้ากังวลว่ากุ้ยเฟยจะติดกับดักตัวเอง สถานการณ์ปัจจุบันของพวกเราขึ้นอยู่กับความปลอดภัยเป็นหลัก”
หมิงเวยถอนหายใจ “ข้าจะลองถามดู แต่ถ้าหากกุ้ยเฟยมีความตั้งใจเช่นนั้นจริงๆ ข้าก็จะบังคับ สำหรับพวกเราแล้วช่วงนี้อยู่เฉยๆ จะเป็นการดีกว่า แต่สำหรับกุ้ยเฟยคงลำบากทั้งวันทั้งคืน”
ฟู่จินเงียบไปครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ข้ารู้ ไม่จำเป็นต้องรอนานทางไท่จื่อเองก็ทนไม่ไหวแล้ว เพียงแต่ทางซิ่นอ๋องต้องการเวลาสักหน่อย ตราบใดที่พวกเขาทั้งคู่เคลื่อนไหวพวกเราก็สามารถจัดการพวกเขาได้ในคราวเดียว จากนั้นก็หาวิธีให้เกิดเรื่องขึ้นกับอันอ๋อง เมื่อถึงเวลานั้นกุ้ยเฟยสามารถเป็นอิสระได้”
หมิงเวยพยักหน้า “ในเมื่อท่านมีวิธีเช่นนั้นข้าจะพูดกับกุ้ยเฟยให้เจ้าค่ะ”
ฟู่จินพูดอีกว่า “จะว่าไปแล้วพิธีกรรมนี้ค่อนข้างแปลกปกติมีระเบียบการบูชาบรรพบุรษอยู่แล้ว เหตุใดจู่ๆ ถึงได้จัดขึ้นกัน”
หมิงเวยยิ้ม “ท่านถามและบังเอิญว่าข้ารู้เหตุผลนี้เจ้าค่ะ”
“อ้อ”
“ฝ่าบาททรงพระสุบินถึงไท่จู่แล้วนึกถึงเรื่องในอดีตหากพูดถึงเรื่องในอดีตน่าจะเป็นเหตุการณ์ในตอนที่ไท่จู่ชราภาพแล้ว”
ฟู่จินถามด้วยความสงสัย “ข่าวนี้แม่นางรู้มาจากที่ใด”
ตามเหตุผลแล้วจวนอ๋องได้รับการป้องกันอย่างแน่นหนา เหตุใดนางถึงรู้ละเอียดกว่าเขา แม้แต่ไท่จื่อยังรู้เพียงครึ่งเดียว
หมิงเวยตอบว่า “ราชสำนักเจ้าค่ะ”
……………
[1] ยามเซิน : 15.00 น. – 17.00 น.