ระยะทางจากจวนเยวี่ยอ๋องไปเสวียนตูกวันค่อนข้างไกล เมื่อทั้งสามมาถึงเสวียนตูกวัน ก็พบว่าภายในนั้นเงียบสงบ หมิงเวยพาพวกเขาเดินตรงไปที่หอเหวินเต้า
นางเดินไปพูดไปว่า “การเชื่อมต่อระหว่างข้ากับเขา ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเกิดความผันผวนทางอารมณ์อย่างรุนแรงเท่านั้นถึงจะปรากฏขึ้น เมื่อครู่อารมณ์ของเสวียนเฟยตึงเครียดมากเป็นสถานการณ์เผชิญหน้ากับศัตรูอย่างหนึ่ง”
หนิงซิวรู้สึกทึ่งวิชาลึกลับดังกล่าวสามารถสืบทอดมาจากตนด้วยหรือ
“ท่านรู้หรือว่าเขาอยู่ที่ใด” หยางชูกังวลกับเรื่องนี้
หมิงเวยตอบ “ในจิตสำนึกของข้ามีเพียงภาพที่พร่ามัว รอบด้านมีป้ายวิญญาณและพื้นที่แคบ พอคิดไปคิดมาคิดว่ามีเพียงที่เจดีย์เท่านั้นเจ้าค่ะ”
“ไปทางนั้น” หนิงซิวเตือน “ที่นั่นอาจมีการเฝ้าระวัง”
หมิงเวยเปลี่ยนเส้นทางทันที สถานการณ์ปัจจุบันมีความซับซ้อนมาก มีบางอย่างเกิดขึ้นกับเสวียนเฟย แต่เสวียนตูกวันกลับไม่ได้เคลื่อนไหวเลยซึ่งดูไม่สมเหตุสมผล
ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือพวกเขาต้องไม่บุ่มบ่ามเมื่อมาถึงหน้าเจดีย์กงเต๋อ หนิงซิวเป็นคนนำก่อน “ข้าเอง”
เขาจับที่ประตู และทันทีที่เขาออกแรงก็ได้ยินแต่เสียง ‘เอี้ยด’ ยิ่งอยู่ในพื้นที่ปิดเสียงยิ่งชัดเจน
ภายในเจดีย์มืดมิด หนิงซิวก้าวเข้าไป
วินาทีถัดมาเขาสะบัดแขนเสื้อ และพลิกมือหยิบกู่ฉิน
“ติง…”
หยางชูเดินเข้าไปเมื่อรู้สึกถึงตำแหน่งของคู่ต่อสู้จึงชักกระบี่ออกมาโดยไม่ลังเล ศิษย์พี่น้องทั้งสองโจมตีจากทางซ้ายและขวาด้วยกระบวนท่าต่อเนื่อง แล้วพวกเขาก็ปราบอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
หมิงเวยเดินเข้าไปมือหนึ่งผลักประตูอีกมือหยิบไม้จุดไฟพกพามาเป่า
เมื่อแสงส่องไปยังตัวคนผู้นั้น เขาคือเสวียนเฟย รูม่านตาของเขาขยายออก แก้มของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ ดูต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง
หมิงเวยถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ไม่ตายก็ดีแล้ว เกิดอะไรขึ้น”
การมาของพวกเขาไม่ได้ทำให้เสวียนเฟยผ่อนคลายลงเลย สายตาของเขาจ้องไปที่หยางชูด้วยความสงสัย
หมิงเวยชะงักครู่หนึ่งแล้วถามเขาว่า “ผู้ที่ใช้ร่มมาหาท่านหรือ”
ในที่สุดเสวียนเฟยก็พูดขึ้น “ท่านรู้หรือ”
หมิงเวยพยักหน้า “วันนี้ข้าถูกเขาโจมตีบนถนนใช้เคล็ดวิชาลากข้าเข้าไปในภาพวาด หากไม่มีคนมาช่วยก็คงไม่ง่ายที่จะหลุดพ้น”
นางสำรวจเสวียนเฟย “ท่านไม่บาดเจ็บใช่หรือไม่เจ้าคะ”
เสวียนเฟยรู้สึกว่ามือของเขาเปียกชื้นจึงเงยหน้ามองแล้วพูดว่า “มีแผลที่หลัง”
“รักษาแผลก่อนเจ้าค่ะ” กว่าจะมาถึงใช้เวลานานหมิงเวยไม่หวังว่าจะจัดการมือสังหารได้ เสวียนเฟยไม่เป็นอะไรก็ขอบคุณสวรรค์แล้ว
ทั้งสามคนมองไปที่เสวียนเฟยพร้อมกัน ในที่สุดสีหน้าตึงเครียดของเสวียนเฟยก็คลายลง และตระหนักว่าไม่มีเหตุผลที่จะสงสัยหยางชู
“ไปเรือนของข้า” เขาพูด
ทั้งสามออกมาจากเจดีย์กงเต๋อ และปิดประตูอีกครั้ง หนิงซิวถอดเสื้อคลุมออกแล้วพันแผลที่หลังของเขาเพื่อป้องกันไม่ให้เลือดหยดลงพื้น พวกเขาไม่มีผู้ใดตื่นตกใจ ด้วยการชี้ทางของเสวียนเฟยทำให้พวกเขาหลีกเลี่ยงคนเฝ้ายามจนมาถึงเรือนของเขาได้
“ผู้ใด” ทันทีที่เขาเข้าใกล้เรือนก็มีเสียงมาจากข้างใน
เสวียนเฟยเปิดปาก “ข้าเอง เฝ้าประตูเป็นอย่างดีไม่เห็นผู้ใด” คนผู้นั้นไม่พูดอีกเลยเพราะคิดว่าเป็นคนเฝ้ายามคนสนิทของเขา
ทั้งสี่เข้าไปในห้อง และจุดไฟเชิงเทียน ภายใต้แสงสว่างจึงมองเห็นเลือดบนหลังของเสวียนเฟย หนิงซิวฉีกเสื้อท่อนบนของเขาออก และสำรวจบาดแผลของเขา “ไม่หนักมาก แต่จำเป็นต้องเย็บ”
เสวียนเฟยพูด “กล่องยาอยู่ใต้ตู้ด้านซ้าย”
หนิงซิวหยิบกล่องยาออกมาตามที่เขาบอกแล้วถามว่า “ข้าเย็บไม่ค่อยสวยเท่าไร ไม่ต้องเรียกคนจริงๆ หรือ”
เสวียนเฟยส่ายหน้า “ตอนนี้ข้าไม่สามารถไว้ใจผู้อื่นได้”
หนิงซิวตอบรับแล้วสั่งหยางชู “เตรียมน้ำหน่อย”
หยางชูตอบรับแล้วออกไปหาคนเฝ้ายามในที่สุดก็กลับมาพร้อมกับถังน้ำขนาดใหญ่ ตอนนี้ดึกมากแล้วเกรงว่าจะไปรบกวนผู้อื่น น้ำที่ถือกลับมาจึงเป็นน้ำเย็น
หนิงซิวไม่สนใจเขาจัดการล้างแผลแล้วใช้เข็มเย็บทีละนิด หมิงเวยทนดูงานฝีมือนี้ไม่ได้ การเย็บกลับไปมาที่ไม่เป็นระเบียบราวกับว่าเขากำลังเย็บตุ๊กตา
ตุ๊กตาที่มีชีวิตอย่างเสวียนเฟยกัดฟันแน่นเพื่ออดทนต่อความเจ็บปวดปล่อยให้เขาเย็บบนร่างกายตนเองต่อ หมิงเวยเพียงแค่พูดคุยกับเขาเพียงเบี่ยงเบนความสนใจ
“เกิดอะไรขึ้น เห็นท่านเป็นเช่นนี้คงไม่ใช่แค่ถูกโจมตีใช่หรือไม่เจ้าคะ”
เมื่อครู่ที่พบกับเสวียนเฟย แววตาของเขาผิดปกติ ราชครูเป็นคนมีจิตใจมุ่งมั่น มันต้องเรื่องใหญ่แน่ๆ ถึงทำให้เขาเป็นเช่นนี้ได้ เสวียนเฟยสูดลมหายใจและพูดคร่าวๆ ในตอนนั้นว่าเกิดอะไรขึ้น
“คนผู้นั้นเคลื่อนไหวอย่างลับๆ พอข้าถามตัวตนของเขากลับไม่ตอบ ทักษะของเขายอดเยี่ยม ข้าที่ไม่ได้เตรียมป้องกันอยู่พักหนึ่งจึงถูกเขาโจมตีจนบาดเจ็บ”
หมิงเวยพูด “พวกเราใช้เวลาพอสมควรกว่าจะมาถึงที่นี่ เหตุใดท่านถึงยังอยู่ในเจดีย์มีเรื่องอื่นอีกหรือไม่เจ้าคะ”
เสวียนเฟยเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “เพราะข้าไม่กล้าเคลื่อนไหววิธีการซ่อนตัวของเขาดีมากจนข้าไม่รู้สึกตัวใดๆ เลย เพื่อรักษาชีวิตข้าจึงไม่กล้าเคลื่อนไหว”
หมิงเวยพยักหน้าแล้วข้ามหัวข้อนี้ไป “นอกจากอาการบาดเจ็บ มีสถานการณ์อื่นอีกหรือไม่ ดูจากท่าทีของท่านแล้วดูได้รับการโจมตีหนักพอควรเลย”
หนิงซิวเย็บเข็มพลาดทำเอาเสวียนเฟยเจ็บจนเหงื่อผุดท่วมกายเขาโพล่งออกมาว่า “ข้าทำของหาย”
“ของอะไรกันเจ้าคะ”
เสวียนเฟยมึนงงเล็กน้อยใช้เวลานานกว่าจะสงบสติลงและพูดว่า “เป็นของที่ท่านอาจารย์ทิ้งไว้ให้ข้า ตอนที่ท่านอาจารย์จะมรณภาพ ข้าไม่อยู่ที่นี่ของสิ่งนั้นมีกลไกอะไรตอนนี้ข้าก็ยังไม่เข้าใจ”
“เอาล่ะ” หนิงซิวเก็บเข็มแล้วโรยผงยา พันแผลให้เขา จากนั้นเช็ดเลือดอีกครั้งอย่างพิถีพิถัน เสวียนเฟยเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าสะอาด เขาทานยาเข้าไปสติจึงดีขึ้นมาเล็กน้อย
“ดูจากท่าทางของท่านแล้วสิ่งนั้นคงสำคัญมาก” หนิงซิวพูด
หมิงเวยพูด “มีคนตั้งใจขโมยไปแน่นอนว่าต้องสำคัญ”
“คนผู้นั้นมีที่มาอย่างไร” เสวียนเฟยถาม “ข้าเห็นว่าวรยุทธ์ของเขาเหมือนกับ…”
สายตาของเขาจับจ้องไปที่หยางชู หยางชูตอบกลับว่า “จริงอยู่ที่ว่าเหมือนกับข้ามาก แต่ก็มีความแตกต่าง เขาเน้นที่ร่มเป็นหลักในขณะที่ข้าเน้นที่กระบี่”
เสวียนเฟยพยักหน้าทั้งสองฝ่ายบอกข้อมูลกันและได้ค้นพบข้อเท็จจริงที่น่ากลัว
“คนผู้นั้นรู้จักพวกเราเป็นอย่างดี” เสวียนเฟยพูด “พวกท่านว่าเขารู้จุดประสงค์ของพวกเราหรือไม่” เป็นเขาแน่นอนที่ใช้กระดาษแอบดูในคืนนั้นเช่นนั้น เขารู้หรือว่าพวกเรามารวมตัวกันเพื่ออะไร
ตราบใดที่คิดถึงความเป็นไปได้นี้ทุกคนต่างก็รู้สึกหนาวเหน็บ
ข้อได้เปรียบที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขาในตอนนี้คือเห็นศัตรูได้อย่างชัดเจนโดยที่อีกฝ่ายไม่เห็นเรา ไม่มีผู้ใดรู้ว่าพวกเขาเป็นพวกเดียวกัน และไม่มีผู้ใดรู้ว่าพวกเขากำลังจะทำอะไร
หากฮ่องเต้รู้ว่าพวกเขาต้องการช่วยหยางชูแย่งชิงบัลลังก์คงไม่ทำตัวเป็นฮ่องเต้ผู้ทรงเมตตาอีกต่อไปแน่นอน
หมิงเวยส่ายหน้า “แม้เขาจะรู้มันก็จะไม่รั่วไหลออกมาในตอนนี้เจ้าค่ะ”
“เพราะอะไร”
นางพูดว่า “จากการที่เขาแอบดูพวกเรา ลงมือกับข้าแล้วขโมยของจากท่านที่นี่แสดงให้เห็นว่าเขามีเจตนาของเขาเอง และเจตนานี้ไม่แน่ว่าอาจไม่สามารถแพร่งพรายได้เหมือนกันกับพวกเรา”
เสวียนเฟยพยักหน้าอย่างอดไม่ได้ต้องมีความลับบนป้ายพกปลาคู่แน่ อีกฝ่ายถึงต้องการซ่อนมัน ศัตรูที่โผล่มากะทันหันทำให้บรรยากาศระหว่างพวกเขาหนักอึ้ง
อย่างไรก็ตามไม่มีเบาะแสเพิ่มเติมในตอนนี้จึงทำได้เพียงระมัดระวัง
ก่อนจากไปหมิงเวยยังพูดอีกว่า “ข้าบอกไปก่อนหน้านี้แล้วว่าวิชาลับนี้มีประโยชน์ต่อท่าน ตอนนี้เชื่อหรือยัง จำไว้ว่าต้องฝึกฝนอย่างหนักอย่าคิดต่อต้านนะเจ้าคะ”
เสวียนเฟยไม่ได้พูดอะไรสักคำเขาแค่นหัวเราะในใจเงียบๆ
……………