ตัวฝูหยิบกระดาษขึ้นมาพลิกไปมา และคิดว่ามันเป็นแค่กระดาษวาดรูปธรรมดา
“คุณหนู พวกเราเพิ่งเข้าไปในกระดาษแผ่นนี้หรือเจ้าคะ”
“อืม” หมิงเวยตักน้ำแข็งใส่ปาก
ยังเย็นอยู่และรสชาติกำลังดี
หมายความว่าเมื่อครู่พวกนางจากไปเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น
“ทำไมบ่าวถึงไม่รู้สึกถึงพลังจากกระดาษแผ่นนี้ละเจ้าคะ”
“เพราะใช้พลังไปหมดแล้ว”
“คนๆ นั้นน่าทึ่งมาก วิชานี้เหมือนกับกระดาษคนของคุณหนูเลย แต่ลึกล้ำกว่า”
หมิงเวยไม่พูดอะไรอีก ทันใดนั้นก็ทุบชามน้ำแข็งในมือ
“อา! ” การเคลื่อนไหวของนางเรียกเสียงอุทาน
ตัวฝูตกใจ “คุณหนูเจ้าคะ”
หมิงเวยยิ้มเยาะ ประสานฝ่ามือและนิ้วเข้าหากัน ก้อนน้ำแข็งที่ลอยหยุดอยู่กลางอากาศ ผลึกน้ำแข็งส่องแสงระยิบระยับ Comment by นัชชา ตั้งประจักษ์ภักดี: 合掌掐起指诀
ฝูงได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความตื่นตระหนก
“นี่มันอะไรกัน เคล็ดวิชาหรือ” Comment by นัชชา ตั้งประจักษ์ภักดี: 法术
“เซียนงั้นหรือ หรือว่าอสูร รีบเรียกเจ้าหน้าที่มาเร็ว! ”
“แม่นาง นั่นท่านทำอะไรน่ะ”
“อา! ” สิ้นเสียงนั้น ผลึกน้ำแข็งลอยขึ้นไปแตกออกเป็นน้ำแข็งชิ้นเล็กๆ โจมตีคนเดินถนนที่อยู่รอบๆ
“คุณหนู!” ตัวฝูตกใจ
หมิงเวยไม่พูดอะไรนางยกแขนเสื้อขึ้น ในถังน้ำแข็งขนาดใหญ่ของร้านเชิ่งจี้ ก้อนน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วนลอยขึ้นมา จากนั้นก็แตกเป็นเสี่ยงๆ แล้วพุ่งเข้าโจมตีอีกครั้ง
“ฆาตกร!”
“รีบหนีเร็ว!” ถนนใหญ่ที่สระฉางเล่อตกอยู่ในความวุ่นวาย อารมณ์ของตัวฝูค่อยๆ เปลี่ยนจากความตกใจเป็นความสงบ ยอดฝีมือผู้หนึ่งกระทำการโดยอิสระกับคนธรรมดาเรียกว่าการสังหารหมู่ แต่นางรู้สึกชัดเจนว่าพละกำลังของคุณหนูแข็งแกร่งกว่ามาก
ตัวอย่างเช่น ถังน้ำแข็งนี้ภายใต้สถานการณ์ปกติไม่สามารถบรรลุระดับนี้ด้วยพลังลมปราณ ราวกับว่าโลกนี้กลายเป็นสถานที่เหมาะสมเป็นพิเศษสำหรับแสดงพลัง
บรรยากาศจะเปลี่ยนแปลงได้ง่ายๆ หรือ
แน่นอนว่าไม่ เพราะฉะนั้นมันเป็นของปลอม!
นิ้วแตะที่ด้ามร่มจนเกิดเสียงแผ่วเบาขึ้นท่ามกลางเสียงหนวกหูวุ่นวายจึงทำให้ไม่ได้ยินเสียงนั้น แต่หมิงเวยกลับได้ยินจึงสาดน้ำแข็งพุ่งแทงออกไปทันที
บุรุษชุดครามถูกโจมตีในชั่วพริบตา
“ภาพซ้อนภาพช่างน่าทึ่งเหลือเกิน!” หมิงเวยยกมุมปาก “ระดับนี้ไม่น่าแปลกใจเลยที่ท่านกล้าเรียกตัวเองว่าปรมาจารย์แห่งชีวิต”
บุรุษชุดครามยิ้ม “เป็นอย่างไรแข็งแกร่งกว่าท่านในตอนนี้หรือไม่ หากข้าไม่ปล่อยท่านไปท่านก็ไม่ได้ออกไปแน่”
“งั้นหรือ”
“แน่นอน…” พอพูดคำว่านอนจบไปสีหน้าของบุรุษชุดครามก็เปลี่ยนไป
ไอกระบี่โจมตีจากด้านหลังแสงอันเยือกเย็นส่องประกายตัดเสื้อผ้าของเขาออกไป
“บังอาจกล้าทำร้ายหวางเฟยของเปิ่นหวางต่อหน้าต่อตา ดูเหมือนว่าท่านไม่พอใจกับสภาพที่เป็นอยู่ตอนนี้ แทบรอที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตของท่านไม่ไหวแล้ว!”
เมื่อเห็นคุณชายใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ราคาแพงเดินเข้ามาอย่างช้าๆ บุรุษชุดครามหรี่ตาลง “ท่านคือเยวี่ยอ๋องงั้นหรือ”
หยางชูพยักหน้าตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ใช่ ท่านมีอะไรจะแนะนำหรือไม่”
บุรุษชุดครามพูดว่า “ท่านรู้ว่านางเป็นคนไร้ชีวิต ยังกล้าให้นางเป็นหวางเฟยอีกหรือ ถ้าโชคชะตาของท่านเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัวเพราะนางจะทำอย่างไร ไม่มีผู้ใดรู้แน่ชัดว่าผลลัพธ์ที่ตามมาจะเป็นเช่นไร”
“เปลี่ยนงั้นหรือ ตัวข้าในตอนนี้ไม่คิดว่าการเปลี่ยนแปลงนี้มีอะไรผิดปกติ”
หยางชูหุบร่มในวินาทีต่อมาใบหน้าของเขาก็เย็นชา “ข้าจะให้โอกาสเจ้า ยอมให้จับโดยไม่ต้องต่อสู้ยังทัน!”
บุรุษชุดครามส่ายหน้า “ปรมาจารย์แห่งชีวิตที่ถูกวิญญาณเข้าสิง นักรบผู้เข้าใจเคล็ดวิชาแค่ครึ่งๆ ข้าไม่คิดว่ามีอะไรที่น่ากลัว”
“ปากกล้าเช่นนี้ ข้าจะทำให้ท่านเห็นว่าควรค่าหรือไม่!”
สิ้นเสียง คมกระบี่หลุดออกจากด้ามร่มแสงอันเย็นยะเยือกปรากฏขึ้นอีกครั้ง
“วู…” เสียงขลุ่ยดังขึ้นพร้อมกันอากาศโดยรอบพลุ่งพล่าน
ท่ามกลางกระแสคลื่นอากาศ หยางชูเหวี่ยงกระบี่ และฟันลงไปอย่างต่อเนื่อง กระบี่นั้นเร็วมากจนมองไม่เห็นอย่างชัดเจน
“วูๆ…” จังหวะที่ไหลเวียน กระแสลมโดยรอบก็ผันผวนตามจังหวะ และค่อยๆ ถูกจังหวะควบคุม กระแสลมที่ถูกกด ไอกระบี่สังหารทำให้พลังฟื้นฟูของบุรุษชุดครามแปรปรวน
คลื่นเสียงมีผลในการก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายซึ่งจำเป็นต้องระงับด้วยพลังฟื้นฟู แต่กระบี่ของหยางชูรุนแรงเกินไป เขาจึงต้องระดมกำลังภายในให้มากขึ้น ด้วยเหตุนี้ทำให้ไม่สามารถคำนึงถึงพร้อมกันหลายด้านได้
บุรุษชุดครามหมุนด้ามร่ม อาวุธลับที่ซ่อนอยู่ในร่มก็พุงออกมา ในที่สุดก็บังคับให้หยางชูถอยกลับไปได้
“ดูเหมือนว่าวันนี้โชคไม่ค่อยดีนัก ทุกท่านไว้พบกันใหม่”
เขาโบกร่มและร่างของเขาก็หนีไปอย่างรวดเร็วในไม่ช้าก็หายไปราวกับควันหยางชูไล่ตามไป แต่ก็ตามไม่ทันจึงเดินกลับมา หมิงเวยเปลี่ยนจังหวะ ทิวทัศน์โดยรอบก็เริ่มจางหายไปค่อยๆ แตกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นความว่างเปล่า
“คุณหนูเจ้าคะ” ตัวฝูลืมตาขึ้นอีกครั้ง และพบว่าตนยังอยู่ที่หน้าประตูร้านเชิ่งจี้ ในมือยังถือชามปิงเล่าเพียงแต่น้ำแข็งละลายเกือบหมดแล้ว
“ไม่เป็นไร” หมิงเวยวางชามน้ำแข็งหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดคราบน้ำที่มือ จากนั้นลุกขึ้นและเดินข้ามถนนไป
“แม่นางหมิง!” โหวเหลียงปรากฏตัวเสียงหอบเขาปาดเหงื่อบนใบหน้า “ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
หมิงเวยพยักหน้าให้เขา “ท่านฉลาดกว่าที่ข้าคิดไว้อีก”
โหวเหลียงถูมืออย่างดีใจเขารู้สึกภูมิใจเล็กน้อย “ข้าไม่เป็นวรยุทธ์ แต่เข้าใจค่ายกลเพียงเล็กน้อย เมื่อครู่ที่จอดรถรู้สึกว่าบรรยากาศโดยรอบผิดปกติพอข้าหาแม่นางทั้งสองไม่พบจึงตัดสินใจไปพบเยวี่ยอ๋อง”
เสียงดังออกมาจากในรถอย่างหมดความอดทน “จะยืนบนถนนอีกนานหรือไม่ รีบเข้ามาเร็ว!”
ทันใดนั้นก็มีมือยื่นออกมาจากข้างใน หมิงเวยหัวเราะนางจับมือนั้นแล้วขึ้นรถไป ตัวฝูนั่งข้างหน้าถัดจากโหวเหลียงอย่างรู้ความ รถม้าเริ่มขยับ และขับออกไปอย่างช้าๆ
ทันทีที่หมิงเวยขึ้นรถยังไม่ทันเห็นใบหน้าหยางชูอย่างชัดเจนก็ถูกเขาคว้าเอวไว้ “บุญคุณช่วยชีวิตต้องตอบแทนด้วยร่างกายหรือไม่” ลมหายใจของเขารดข้างหู
มีหรือหมิงเวยจะกลัวนางวางนิ้วบนข้อมือ และค่อยๆ ไล้เข้าไปในแขนเสื้อ
“เยวี่ยอ๋องต้องการตอบแทนเช่นนี้หรือเจ้าคะ”
จุดที่ถูกนางลูบไล้ขนลุกชันขึ้นมาทันทีหยางชูสั่นสะท้านจับมือนางกลับแล้วตะโกนออกไป “ไปจวนอ๋อง!”
“ขอรับ” เสียงของโหวเหลียงดังขึ้นแล้วรถม้าก็เปลี่ยนทิศทางขับไปอีกทางหนึ่ง
ตัวฝูชี้ทางให้เขา “ท่านโหว เข้ามาใกล้ทางนี้”
สัมผัสแข็งทื่อจากด้านหลังทำเอาหมิงเวยหัวเราะเสียงเบา “การควบคุมตนเองของท่านอ๋องไม่ค่อยดีนักท่านต้องฝึกฝนให้มากกว่านี้นะเจ้าคะ”
หยางชูซุกซอกคอนางแล้วกัดทิ้งรอยฟันเอาไว้ “อีกอย่างเชื่อหรือไม่ว่าข้าจะจัดการท่านตอนนี้!”
“ท่านไม่กลัวผู้อื่นได้ยินหรือ”
“ท่านไม่กลัวแล้วข้าจะกลัวทำไมเล่า” เขาไม่บอกว่าตนเองตื่นเต้นเล็กน้อย แต่คาดเดาได้ว่านางมีฝีปากเป็นเลิศ เพราะตนไม่แน่ใจหรือว่าทำเป็นไม่สนใจ แน่นอนว่าหมิงเวยตีมือเขา
“ข้าเพิ่งประมือกับยอดฝีมือระดับนั้นตอนนี้อารมณ์ของท่านอยู่ในอาการประหม่าเกินไปถึงได้ตื่นเต้นเพียงนี้” นางลุกขึ้นย้ายมานั่งข้างๆ “คนผู้นั้นใช้ร่มเหมือนกับท่าน ท่านรู้สึกคุ้นบ้างหรือไม่”
หยางชูนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่แล้วพยักหน้า “เป็นเช่นนั้นจริง”
……………