เหวินอิ๋งตกตะลึง นางนึกว่าหากผลักเรื่องนี้ไปให้หมิงเวย ตนเองก็คงรอดพ้น
แต่ไม่คิดว่าจะตรวจสอบละเอียดถึงเพียงนี้!
ไท่จื่อจ้องนางเขม็งอดกลั้นไม่ให้ตนเองยกฉากกั้นขึ้น
ช่างโง่เหลือเกิน! คิดว่าคนข้างกายฮ่องเต้โง่นักหรืออย่างไร เรื่องหากทำไปแล้วย่อมทิ้งร่องรอย ไม่พ้นการถูกตรวจสอบอย่างละเอียดอยู่แล้วหากรู้ว่าตนเองไม่ใสสะอาดก็อย่าพูดมั่วสะเปะสะปะจนทำให้เรื่องมันใหญ่โต
โชคดีที่ตอนแรกเขาไม่เต็มใจคนที่เขารับมาจึงเป็นเหวินหรูไม่อย่างนั้นเก็บคนโง่เช่นนี้ไว้ข้างกาย ผู้ใดจะรู้ว่าจะถูกนางหลอกลวงอย่างไร ดวงตาของฮ่องเต้สั่นไหวเล็กน้อยเขากวาดสายตามองทุกคนในที่นี้
เหวินอิ๋งนั่งตัวสั่นอยู่กับพื้นท่าทางดูหวาดกลัวมาก สีหน้าของไท่จื่อดูไม่น่ามองซึ่งเขาพยายามสงบสติอารมณ์อย่างมาก หมิงเวยดูตกใจ และก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว หยางชูอ้าปากด้วยแววตาสั่นระริก
ฮ่องเต้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งสองฝ่ายล้วนใช้กลอุบาย แต่พวกเขาคิดว่าตนเองปกปิดดีพอไม่ถูกค้นพบแน่นอน และคิดผลักอีกฝ่ายลงน้ำไป ผู้ใดจะรู้ว่าเสวียนเฟยเก็บหลักฐานสำคัญเช่นนี้ไว้ และตอนนี้ทั้งสองฝ่ายต่างกลัวที่จะถูกเปิดเผย
เพียงแต่ป้ายอันดับหนึ่งที่ไม่มีสัญลักษณ์นั้นเป็นของผู้ใด
ในขณะที่กำลังครุ่นคิด จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงกระเบื้องแตกตามด้วยเสียงร้องของนางใน “เหนียงเหนียง!”
ฮ่องเต้หันไปมองก็เห็นว่าเป็นเผยกุ้ยเฟยที่ไม่ระวังทำชาร้อนในมือหก
“สนมรัก!”
เผยกุ้ยเฟยยิ้มให้เขาด้วยสีหน้าที่ไม่ปกติ “หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะเมื่อครู่ไม่จับให้ดีเอง”
ฮ่องเต้เห็นผ้าเช็ดหน้าในมือก็พยักหน้า “ระวังด้วย” จากนั้นก็หันหน้ากลับไปด้วยสีหน้ามืดครึ้ม
“อนุญาตให้ตรวจสอบ!”
“เสด็จพ่อ!”
“ฝ่าบาท!”
หยางชูและไท่จื่อร้องออกมาพร้อมกัน ฮ่องเต้มองพวกเขาด้วยสายตาน่าเกรงขาม “ทำไมหรือ พวกเจ้ามีปัญหาอะไร”
หยางชูสบตากับเขาก็ก้มหน้าลงอย่างไม่สบายใจ “ไม่ ไม่…”
ไท่จื่อฝืนยิ้ม “ลูกคิดว่าคงไม่ดีหากคนนอกทราบเรื่องนี้เข้า เช่นนั้นไล่คนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ซิ่นอ๋องที่เงียบมาตลอดพูดขึ้นว่า “พี่ใหญ่ เมื่อครู่คุณหนูเหวินพูดเองว่าต้องการความเป็นธรรม หากวันนี้ไม่สามารถเปิดเผยความจริงต่อหน้าเหล่าคุณหนูได้ เกรงว่าจะเป็นการทำลายชื่อเสียงของราชวงศ์”
“เจ้า…”
ยังไม่ทันที่ไท่จื่อจะได้พูดฮ่องเต้ก็พูดขึ้นว่า “เช่นนั้นให้พวกเขามาชี้ตัว”
เสวียนเฟยที่รอคำสั่งอยู่นานตอบรับ “พ่ะย่ะค่ะ”
เขาหันไปพูดกับเหล่านักพรต “พวกเจ้าจำคนที่จับได้ป้ายอันดับหนึ่งจากกล่องของตนเองได้หรือไม่”
เหล่านักพรตน้อยตอบ “จำได้ขอรับ”
“เช่นนั้นก็ชี้ตัวซะ”
“ขอรับ” คุณหนูแต่ละคนถูกชี้ตัวระบุ และในที่สุดก็เหลือเพียงคนเดียวที่ว่างเปล่าตรงหน้า
เหวินอิ๋ง…
เสวียนเฟยถามอีกครั้ง “ไม่มีผู้ใดจำคุณหนูผู้นี้ได้เลยหรือ”
ในบรรดานักพรตน้อยผู้ที่ดูโตสุดพูดขึ้นว่า “ท่านราชครู พวกเรามีกันแค่ 12 คน และตอนนี้ทุกคนระบุเรียบร้อยแล้วขอรับ”
เสวียนเฟยพยักหน้าแล้วหันไปทำความเคารพทางฉากกั้น “ฝ่าบาท ได้ข้อสรุปแล้วพ่ะย่ะค่ะเชิญฝ่าบาทพิพากษาได้เลย”
ฮ่องเต้มองเหวินอิ๋งที่ตัวสั่นแล้วถาม “คุณหนูเหวิน ท่านมีอะไรจะพูดหรือไม่”
เหวินอิ๋งตกใจจนนิ่งกลายเป็นหินเสียแล้ว นางไม่ค่อยฉลาดเพราะถูกตามใจจนนิสัยเสียจึงไม่เข้าใจเรื่องเล็กน้อยต่างๆ ไม่คิดว่าจะสามารถแยกแยะคำโกหกของตนได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ตอนนี้จึงยิ่งสับสนคิดหาข้อแก้ตัวไม่ได้เลย
ไท่จื่อสูดหายใจเข้าลึกๆ เขาก้าวไปข้างหน้าแล้วคุกเข่าลงต่อหน้าฮ่องเต้ “เสด็จพ่อ ลูกผิดเองพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เลื่อนสายตามองมาที่เขา “เจ้าทำผิดอะไร”
ไท่จื่อก้มศีรษะลงและพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ “น้องหญิงหลงรักอาเหยี่ยน ลูกทราบนานแล้ว เพียงแต่สงสารจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้ น้องหญิงมีความผิดลูกไม่สามารถปัดความรับผิดชอบได้ ความรู้เห็นเป็นใจของลูกทำให้นางทำผิดพลาดมากขึ้นลูกทราบดีว่าผิดจึงขอเสด็จพ่อลงโทษลูกด้วยเถิด”
ฮ่องเต้มองเขาอย่างเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร
เหตุใดถึงยอมรับความผิดเร็วเช่นนี้น่ะหรือ ถ้าเขาดื้อจนถึงที่สุดจนหลักฐานถูกแสดงออกมาทีละอย่างบิดาจะโกรธยิ่งกว่าเดิม ตอนนี้เขาชิงยอมรับผิดก่อนจะได้ไม่ตกที่นั่งลำบาก
ถือว่าฉลาด
ซิ่นอ๋องเปลี่ยนความคิดเขาพูดว่า “เสด็จพ่อ พี่ใหญ่รู้สึกเสียใจกับลูกพี่ลูกน้องหญิงของเขาจึงทำผิดพลาดไปชั่วขณะ ทุกอย่างที่เขาทำเป็นเพราะความห่วงใยต่อครอบครัวซึ่งพอให้อภัยได้หวังว่าเสด็จพ่อจะผ่อนปรนโทษให้”
“ครอบครัวงั้นหรือ” ฮ่องเต้พูดคำนี้ด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “เจ้าเป็นไท่จื่อ เป็นรัชทายาทของแผ่นดินไม่ใช่ผู้ใดก็ได้ที่เป็นครอบครัวของเจ้า”
ไท่จื่อก้มหน้าลง “ที่เสด็จพ่อกล่าวมาถูกแล้ว ลูก…แยกแยะเรื่องส่วนตัวไม่ได้เองพ่ะย่ะค่ะ”
เขาขอโทษไปก่นด่าในใจไปเขาไม่ได้พูดถึงครอบครัวสักหน่อย แต่ซิ่นอ๋องดูเหมือนจะอ้อนวอนแทนเขา แต่จริงๆ แล้วยั่วยุต่างหาก
แต่ตอนนี้เขาโมโหไม่ได้อาจารย์ฟู่เคยพูดอยู่หลายครั้งว่าต้องข่มอารมณ์ไว้ ฮ่องเต้จะไม่ชอบใจหากไท่จื่ออารมณ์ร้อน เมื่อพบว่าเรื่องที่เกิดเรียกย้อนกลับคืนมาไม่ได้ก็จำเป็นต้องหยุดการสูญเสียให้ทันเวลา เมื่อถึงคราวจำเป็นต้องหักแขนเพื่อเอาตัวรอด ไม่อย่างนั้นจะสูญเสียมากกว่าเดิม
ตอนนี้เหวินอิ๋งกลายเป็นจุดอ่อนในการโจมตีเขา จำเป็นต้องกำจัดโดยเร็ว แม้กระทั่งตระกูลเหวินก็ด้วย…หากพวกเขากลายเป็นตัวถ่วงของตนจำเป็นต้องตัดขาดให้ทันเวลา!
เหวินอิ๋งที่ไม่รู้ว่าตนถูกไท่จื่อตัดหางทิ้งแล้วเมื่อได้ยินไท่จื่อพูดคำว่ารักออกมาทำให้นางนึกเรื่องที่จะพูดได้จึงรีบเรียกร้องความเป็นธรรม “ฝ่าบาท! หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ! หม่อมฉันทนไม่ได้จริงๆ ที่จะเห็นเยวี่ยอ๋องถูกแม่มดผู้หนึ่งล่อลวง คุณหนูหมิงผู้นี้เห็นได้ชัดว่ามีสัญญาหมั้นหมายมาก่อนแล้ว แต่ทิ้งคู่หมั้นของตนเองแล้วไล่ตามเยวี่ยอ๋องไปที่ซีเป่ย สตรีไร้ยางอายเช่นนี้จะคู่ควรกับท่านอ๋องได้อย่างไร หม่อมฉันได้ยินเรื่องนี้ก็รู้สึกว่าไม่เป็นธรรมต่อท่านอ๋องก็เลย…”
“ผู้ใดให้เจ้ารู้สึกไม่เป็นธรรม” เสียงโกรธของหยางชูดังมาจากอีกด้านหนึ่งของฉากกั้น “เป็นคนดีอะไรเช่นนี้กล้าสร้างปัญหาในพิธีคัดเลือกพระชายา ไม่เพียงแต่โกงเท่านั้น แต่ยังโทษผู้อื่นด้วยเจ้าเห็นความน่าเกรงขามของราชวงศ์เป็นอะไร เจ้าเห็นกฎหมายราชสำนักเป็นอะไร
ยังกล้าพูดเหตุผลอย่างฉะฉานอีก! ฝ่าบาท เรื่องนี้ไร้สาระเกินไปแล้ว ฝ่าบาทมีราชโองการให้จับป้ายอย่างยุติธรรม ตระกูลเหวินทำเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นท่านอยู่ในสายตาเลย! ลบหลู่ฝ่าบาทหากไม่ลงโทษให้หนักจะโน้มน้าวใต้หล้าได้อย่างไร ทรงมีรับสั่งให้กระหม่อมเป็นคนจัดการเรื่องนี้เถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
“พอแล้ว!” เส้นเลือดผุดขึ้นบนหน้าผากของฮ่องเต้เขาไม่คิดว่าเรื่องทุกอย่างจะมาถึงจุดนี้ เขาคิดว่าคนที่ใช้ป้ายอันดับหนึ่งแอบเข้ามาคือหมิงเวย แต่ไม่คิดว่าจะเป็นเหวินอิ๋ง
เขามั่นใจว่าไม่ได้มีเพียงเหวินอิ๋งที่ใช้กลอุบาย แต่หมิงเวยก็ทำเช่นกัน
แต่เมื่อนึกถึงปฏิกิริยาของทั้งสองสัญลักษณ์บนป้ายหงส์นั้นมีแนวโน้มที่เหวินอิ๋งมากกว่า หากมีการสอบสวนเพิ่มเติมจนเป็นที่แน่ใจแล้วว่าเป็นฝีมือของเหวินอิ๋ง ภาพลักษณ์ของหมิงเวยในฐานะเหยื่อจะยิ่งชัดเจนมากขึ้น
ในตอนนั้นเองเผยกุ้ยเฟยดึงแขนเสื้อของเขาเบาๆ นางมองเขาด้วยสายตาอ้อนวอน “ฝ่าบาท…”
ฮ่องเต้ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ในเมื่อเจ้ายอมรับแล้วก็ต้องลงโทษ พาตัวออกไปแล้วค่อยว่ากันทีหลัง!”