“คุณหนูเหวินขอรับ” นางนิ่งอยู่นานจนขันทีที่อยู่ด้านข้างเอ่ยเตือน
เหวินอิ๋งสติกลับมา นางยิ้มขอโทษแล้วหยิบป้ายขึ้นมาจากในกล่อง นางยืนงงอยู่เป็นเวลานานซึ่งทุกคนต่างเลือกกันเกือบหมดแล้ว เหวินอิ๋งมองดูแต่ละป้ายอย่างระมัดระวังด้วยความหวังว่าจะมองเห็นเครื่องหมายผ่านกระดาษสีแดง
แต่เดิมทีเครื่องหมายนั้นถูกทำมาให้มองเห็นไม่ชัดอยู่แล้ว พอห่อกระดาษยิ่งมองไม่ออก เหวินหรูหยิบขึ้นมามองอีกรอบก็มองไม่ชัดใจของนางสั่นไหว เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีคนหยิบไปแล้ว นางมองป้ายในมือของผู้อื่น มองแวบแรกก็เหมือนกันหมด มองอย่างไรก็มองไม่ออก
ทำอย่างไรดี…เหวินอิ๋งมองดูอีกรอบในที่สุดก็เลือกมาหนึ่งอัน แม้จะไม่ชัดเจนขนาดนั้น แต่ก็เห็นลางๆ ได้ว่ามีจุดสีอยู่ใต้กระดาษ…
นางถือป้ายเอาไว้ในมือ แต่เมื่อเห็นมือหนึ่งยื่นมาจากด้านข้างแล้วหยิบป้ายหนึ่งอันออกมาจากกล่อง เหวินอิ๋งเหลือบมอง และรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“เดี๋ยว!”
หมิงเวยหันมามองนางแล้วยิ้ม “คุณหนูสามมีอะไรหรือ”
เหวินอิ๋งเห็นสีหน้าของนางก็ไม่สามารถควบคุมความโกรธของตนเองได้
ในสถานศึกษาหมิงเฉิงมีเพื่อนร่วมชั้นหลายคน แต่คนที่นางเกลียดมากที่สุดก็คือหมิงเวย ก็แค่ผู้ที่ตระกูลล่มสลายไม่อยู่ในสายตาของผู้อื่น ใช้ความสามารถแปลกๆ ของตนเองทำให้สถานศึกษาปั่นป่วนดึงดูดความสนใจของเว่ยเสี่ยวอันและคนอื่นๆ
แต่ที่นางเกลียดที่สุดคือไม่รู้ว่าเยวี่ยอ๋องชอบอะไรในตัวนางกัน แม้จะรู้ว่าสถานะไม่เหมาะสมกัน แต่ก็ต้องการที่จะแต่งกับนาง
เมื่อนึกถึงข่าวที่ตระกูลสืบมาเหวินอิ๋งยิ่งรับไม่ได้
ตอนนั้นจู่ๆ หมิงเวยขอออกจากสถานศึกษา ทุกคนต่างคิดว่าด้วยอายุที่กำลังพอเหมาะจึงกลับบ้านเพื่อไปออกเรือนซึ่งเหวินอิ๋งเองก็ไม่ได้สนใจ เพราะนางถูกโจมตีอย่างหนักจากเรื่องที่ไท่จื่อเลือกเหวินหรูทำให้นางไม่ได้ออกไปข้างนอกเป็นเวลานานจึงไม่สนใจเรื่องของผู้อื่น
เมื่อนางดึงตัวเองออกจากเรื่องนี้ได้ก็เป็นช่วงที่เยวี่ยอ๋องกลับเมืองหลวงเพื่อคัดเลือกพระชายา จากนั้นเมื่อได้ยินข่าวลือของเยวี่ยอ๋องทำให้ตนสนใจเขา
เหวินอิ๋งตกตะลึงเมื่อได้ยินเรื่องนั้น นางรู้ว่าหมิงเวยมีสัญญาหมั้นหมาย แม้ว่าก่อนหน้านี้เยวี่ยอ๋องกับอันอ๋องจะมีเรื่องกันเพราะหมิงเวยก็ไม่เก็บเอามาใส่ใจ เพราะทั้งสองไม่ถูกกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว เรื่องนั้นมันก็แค่ข้ออ้าง
เนื่องจากตระกูลสนใจในตำแหน่งเยวี่ยอ๋องเฟยจึงได้ทำการสืบเรื่องนี้
การสืบในครั้งนี้เหลือเชื่อมากไม่แปลกใจที่เยวี่ยอ๋องต้องการแต่งงานกับหมิงเวย เพราะเมื่อตอนที่เขาถูกเนรเทศไปซีเป่ยนางเองก็ตามเขาไปด้วย
เหวินอิ๋งทั้งโกรธทั้งตกใจ สตรีที่ยังไม่ออกเรือนอีกทั้งยังมีสัญญาหมั้นหมายติดตัวหนีตามบุรุษไปนี่มันเรื่องอะไรกัน
ช่างไร้ยางอายจริงๆ!
ผู้ที่แต่งงานอย่างเป็นทางการคือภรรยา หลบซ่อนเป็นแค่อนุ นางเป็นเช่นนี้แม้จะได้รับชื่อเสียง แต่ก็เป็นได้มากสุดก็แค่อนุ! แต่เยวี่ยอ๋องไม่สนใจเลยสักนิดและยืนกรานจะแต่งงานกับนาง
ตระกูลเหวินเคยคิดที่จะเปิดเผยเรื่องนี้ออกไป แต่ก็กลัวกุ้ยเฟยที่อยู่ในวังจึงไม่กล้าทำเรื่องเช่นนี้
ในช่วงสองปีที่ผ่านมาซิ่นอ๋องไม่สามารถเข้ากับไท่จื่อได้ ฮ่องเต้เองก็ไม่พอพระทัยไท่จื่อเป็นอย่างมาก หากไปทำให้กุ้ยเฟยขุ่นเคืองใจทำให้นางไปพูดอะไรกับฮ่องเต้เข้าก็ยากที่จะแก้ไข
เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้จิตใจของเหวินอิ๋งเกิดปั่นป่วน นางมองป้ายในมือของหมิงเวยด้วยความสงสัย
ในเมื่อไท่จื่อสามารถช่วยนางได้ เยวี่ยอ๋องก็คงช่วยได้เช่นกัน อย่างไรหากกุ้ยเฟยขอร้องเขาก็ต้องรับปากทันที เป็นไปได้มาก! ผู้ที่สามารถเข้ามาในห้องโถงได้คือผู้ที่จับได้ป้ายอันดับที่หนึ่งจากป้ายเก้าสิบเก้าหมายเลข เหวินอิ๋งรู้ดีว่าตนเองโกงจึงคิดว่าหมิงเวยก็ต้องทำเช่นกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่บังเอิญเช่นนี้
หมายความว่านางก็รู้ว่าป้ายหงส์ถูกทำสัญลักษณ์ไว้เหมือนกันใช่หรือไม่
นางจ้องมองไปที่ป้าย เมื่อคิดดูแล้วก็น่าแปลกใจ เหตุใดสตรีไร้ยางอายผู้นี้ถึงต้องใช้มือปิดตำแหน่งที่ทำเครื่องหมายไว้ด้วย หรือว่ากลัวผู้อื่นเห็น
หมิงเวยถูกอีกฝ่ายจ้องมองก็รู้สึกแปลกใจจากนั้นก็ยิ้มอย่างประหม่า และมองขันทีราวกับต้องการความช่วยเหลือ
ขันทีผู้นั้นรู้ว่านางเป็นผู้เข้าคัดเลือกที่เยวี่ยอ๋องโปรดปรานจึงไม่รังเกียจที่จะอำนวยความสะดวกให้นางเขากล่าวเตือนอีกครั้ง “คุณหนูเหวิน ท่านเลือกเสร็จหรือยังขอรับ”
เมื่อเห็นหมิงเวยกำลังมอบป้ายให้เสวียนเฟยเหวินอิ๋งก็พูดอย่างแน่วแน่ว่า “ข้าต้องการป้ายนั้น”
หมิงเวยแปลกใจ นางเก็บป้ายในมือกลับไปแล้วพูดว่า “คุณหนูสาม ข้าเลือกไปแล้ว”
เหวินอิ๋งพูดว่า “เมื่อครู่ข้าต้องการป้ายนั้น แต่เจ้าคว้ามันจากด้านหลังข้า”
หมิงเวยไม่พอใจ “ท่านพูดอะไรน่ะไม่มีกฎที่ว่าให้คุณหนูสามเลือกก่อนเสียหน่อย ข้าเลือกก่อนก็ควรเป็นของข้าสิ”
เหวินอิ๋งเริ่มมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่ามีบางอย่างผิดปกติ และตอนนี้นางก็ไม่สนใจสิ่งอื่นใดแล้ว “เจ้าจะร้อนตัวไปทำไมยังไม่ได้เปิดป้ายเลยจะเลือกอันไหนก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ”
หมิงเวยไม่ยอมแพ้ “คุณหนูสามพูดเองว่าเลือกอันไหนก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ แต่ท่านต้องการป้ายของข้า”
เหวินอิ๋งยิ้มบาง และพูดอย่างไม่เกรงใจ “เจ้าดูแปลกนะ ผู้อื่นเลือกครั้งแล้วครั้งเล่า มีเพียงเจ้าที่เลือกป้ายนี้เพียงครั้งเดียวไม่ใช่ว่ามีปัญหาหรอกหรือ”
หมิงเวยรู้สึกโกรธนางหันข้างทำให้มีเพียงเหวินอิ๋งเท่านั้นที่มองเห็นความตื่นตระหนกในดวงตาของนาง “ท่านอย่าพูดจาใส่ร้าย!”
เหวินอิ๋งชำเลืองมองฉากกั้นแล้วพูดสื่ออะไรบางอย่าง “เลือกหนึ่งในเก้าสิบเก้า เจ้ายังสามารถยืนอยู่ตรงนี้ได้ช่างโชคดีจริงๆ!”
หมิงเวยโกรธมาก “ท่านหมายความว่าอย่างไร คุณหนูสามท่านเองก็เป็นหนึ่งในเก้าสิบเก้าเหมือนกันไม่ใช่หรือ ท่านจับได้ป้ายอันดับหนึ่งแล้วเหตุใดข้าจะจับไม่ได้บ้าง”
ยิ่งนางตื่นตระหนก เหวินอิ๋งก็ยิ่งสงบจนส่งรอยยิ้มไปถึงดวงตา “ข้าไม่เคยสนทนากับเยวี่ยอ๋องมาก่อน ครั้งนี้แค่มาจุดธูปที่เสวียนตูกวันจึงมาร่วมจับป้ายด้วยก็แค่นั้น และข้าก็บังเอิญจับได้”
“ในเมื่อท่านเองก็เลือกตามใจชอบ แล้วเหตุใดครั้งนี้ถึงไม่ตามใจแล้วล่ะ”
เหวินอิ๋งก้มศีรษะไปทางฉากกั้นและพูดว่า “ในเมื่อจับได้ป้ายอันดับหนึ่ง นับเป็นโชคดีที่ได้เขามาในห้องนี้ การเลือกตามใจชอบต่อหน้าฝ่าบาท และเหนียงเหนียงไม่ถือว่าเป็นการไม่เคารพหรอกหรือ มาถึงจุดนี้แล้วก็ต้องปฏิบัติอย่างจริงจัง”
ไม่มีคำพูดใดออกมาจากฉากกั้น เหวินอิ๋งรู้สึกว่าคำพูดของนางน่าจะกระตุ้นความสงสัยของฮ่องเต้ได้ นางจึงรู้สึกกล้าหาญมากขึ้น
“หากคุณหนูเจ็ดบริสุทธิ์ใจ เหตุใดไม่เปลี่ยนกับข้าล่ะอย่างไรเสียก่อนเปิดป้ายพวกเราทั้งหมดเป็นหนึ่งในร้อยมีโอกาสเท่ากัน”
“นั่น…”
เหวินอิ๋งมองเห็นโอกาสจึงคว้าป้ายมาจากมือหมิงเวยแล้ววางป้ายของตนเองไปแทน จากนั้นก็ยื่นป้ายให้เสวียนเฟยอย่างรวดเร็ว “ท่านราชครู ข้าเลือกเสร็จแล้วเจ้าค่ะ!”
“ท่านแย่งมันไปได้อย่างไร!” หมิงเวยรีบคว้ามันกลับคืนมา
น่าเสียดายที่ป้ายนั้นมาถึงมือของเสวียนเฟยแล้วเขาจับหัวป้ายแล้วพูดว่า “คุณหนูหมิง ต่อหน้าฝ่าบาทอย่าเสียมารยาท”
“แต่นางแย่งป้ายของข้านะเจ้าคะ!”
เสวียนเฟยพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ผู้ใดส่งถึงมือข้าก่อนก็เป็นของผู้นั้น หากป้ายที่คุณหนูเลือกถูกแย่งไปนั่นหมายความว่าท่านไม่มีวาสนากับมัน”
เมื่อเห็นว่าหมิงเวยกำลังจะร้องไห้เหวินอิ๋งก็มีความสุขนางพูดว่า “เจ้ารออะไรอยู่ล่ะ ผู้อื่นเลือกกันหมดแล้ว เหลือเจ้าผู้เดียว อย่าทำให้เวลาล้าช้าไปเลย”
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงมาจากหลังฉากกั้นว่า “ท่านราชครูนี่เป็นการคัดเลือกหวางเฟยจะมีเหตุผลในการถูกแย่งป้ายได้อย่างไร เสียมารยาทต่อหน้าฝ่าบาท เป็นไปได้หรือไม่ว่าหวางเฟยของเปิ่นหวาง แม้แต่ลำดับการของการมีมารยาทก็ยังไม่เข้าใจ”
นั่นเป็นเสียงของหยางชู เหวินอิ๋งกระชับแขนเสื้อแน่น นางทำทุกอย่างที่ทำได้ หากอีกฝ่ายใช้อำนาจกลั่นแกล้งนาง…
ทันทีหลังจากนั้นเสียงของไท่จื่อก็ดังขึ้น “อาเหยี่ยนที่เจ้าพูดมาก็แรงไป ที่น้องหญิงพูดมาก็ถูกในเมื่อไม่มีปัญหาแล้วเหตุใดจะเปลี่ยนไม่ได้”