ตระกูลจี้เดินทางเข้ามาในเสวียนตูกวันซึ่งมีนักพรตตัวน้อยรออยู่ที่นั่นแล้ว เมื่อเห็นพวกเขาเข้ามาก็พาพวกเขาไปรอในเซียงฝาง
ฟางจิ่นผิงรู้สึกประหลาดใจ “บ้านเจ้าได้ห้องใกล้ถึงเพียงนี้ได้อย่างไร ตระกูลข้าส่งคนมาถาม แต่พวกเขาบอกว่าไม่มีเรือนใกล้เคียงแล้วได้แต่มองจากที่ไกลๆ”
หมิงเวยยิ้ม “ตระกูลของเรามีคนที่นี่ไงล่ะ!”
“อ้อ!” ฟางจิ่นผิงนึกได้ในทันที “พี่ชายคนนั้น…”
พูดถึงเรื่องนี้นางก็สงสัยอีกครั้ง “ตกลงเกิดอะไรขึ้นกับพี่ชายของเจ้า ฝักใฝ่ในลัทธิถึง…”
“ใช่!” หมิงเวยถอนหายใจอย่างคนไร้ทางเลือก “พี่ชายของข้าเจ้าก็เคยเห็นแล้ว เขาเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เด็ก และต่อมาเขาเข้าไปในเสวียนตูกวันก็ยิ่งเสพติดเคล็ดวิชา แม้แต่บ้านก็ไม่กลับด้วยซ้ำท่านลุงบอกว่าจะให้ข้ารอต่อไปไม่ได้จึงถอนหมั้น”
“เจ้ารู้อยู่ก่อนแล้วหรือ” ฟางจิ่นผิงกระซิบถาม “ไม่เช่นนั้นเจ้าคงไปซีเป่ยไม่ได้ทั้งที่ยังมีสัญญาหมั้นอยู่… เจ้ากล้ามากจริงๆ โชคดีที่ลุงของเจ้าเป็นคนซื่อสัตย์จริงใจ คนผู้นั้นก็รักษาสัญญา หากมีคนหนึ่งไม่ดีตอนนี้คงจบสิ้นแล้ว หลังจากนี้เจ้าไม่สามารถประมาทได้อีกแล้วมีเรื่องสกปรกมากมายอยู่หลังจวนอ๋อง!”
หมิงเวยรู้ว่านางหวังดีแม้ว่าจะเป็นเรื่องยากที่จะอธิบาย แต่ก็ขอบคุณนางจากใจ พูดคุยกันอยู่พักหนึ่งจี้เสียวอู่ก็มา
ครอบครัวสามีของฟางจิ่นผิงมองว่าเขาเป็นคนเก่ง และยกย่องเขาจากก้นบึ้งของหัวใจ น่าเสียดายที่เขาออกจากตระกูล ไม่เช่นนั้นในครอบครัวมีสตรีหลายคนที่ยังไม่ออกเรือน…
แต่คงไม่ได้หากเขาไม่ออกบวชก็คงไม่ถอนหมั้นหรอกใช่หรือไม่ อดีตคู่หมั้นเป็นสตรีที่งดงามมาก แม้แต่คนผู้นั้นที่ยืนกรานที่จะแต่งงานกับนางโดยไม่สนใจสถานะจะหาสตรีเช่นนี้ได้ที่ไหนกัน…
ไร้บุญวาสนา!
เมื่อคารวะทักทายกันเสร็จจี้เสียวอู่ก็ส่งสายตาให้หมิงเวย หมิงเวยเข้าใจและตามเขาออกไป เมื่อทั้งสองหลบอยู่ที่มุมจี้เสียวอู่ก็ถามขึ้นทันที “เจ้าแน่ใจหรือว่าจะจับได้ป้ายหงส์”
หมิงเวยพูด “โอกาสหนึ่งในร้อยก็ไม่น้อยมากไม่ใช่หรือ”
จี้เสียวอู่อยากจะอุทานใส่หน้านาง “รีบพูดมาเจ้ามีวิธีอะไรกันแน่ถึงสามารถรอดพ้นสายตาคนอื่นได้”
หมิงเวยเหลือบตามองเขา “ท่านถามข้าเพียงแค่อยากถามว่ามีเคล็ดวิชาหรือไม่งั้นหรือเจ้าคะ”
จี้เสียวอู่รู้สึกเขินเล็กน้อยเขาคิดเช่นนั้นจริงๆ…
หมิงเวยยื่นมือออกมา “เสี่ยวไป๋”
งูขาวโผล่ออกมาจากแขนเสื้อ “นายท่าน!”
“เข้าใจหรือไม่” หมิงเวยหรี่ตามองเขา
จี้เสียวอู่เลิกคิ้ว “ที่นี่คือเสวียนตูกวันเจ้าไม่กลัวคนเห็นหรือ”
“ท่านคิดว่าข้าเป็นท่านหรือ หากเสวียนเฟยเปิดเผยข้าคงไม่กล้าลงมือคนอื่นข้าจะให้พวกเขาเห็นร่องรอยได้อย่างไร”
ช่างดูถูกกันตลอด จี้เสียวอู่เบะปาก “ข้าแค่เป็นห่วงเจ้าไม่ซาบซึ้งเลยหรืออย่างไร”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ แต่ท่านไม่ต้องกังวลไป” ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่ และข่าวจากทางนั้นก็ส่งมาถึง มีคนมากเกินไปก่อนที่จะจับป้ายหงส์จึงต้องจับป้ายรอบแรกก่อน!
หมิงเวยตกใจ “ไม่ง่ายแล้ว”
จี้เสียวอู่มีความสุข “ไม่ง่ายตรงไหนกัน คนมากเกินไปกลัวจะจับไม่ได้หรือ ไม่เป็นไร เจ้าจับไม่ได้ข้าไม่หัวเราะเจ้าหรอกแค่ไม่ได้เป็นหวางเฟยก็คง…”
หมิงเวยไม่สบอารมณ์ “จับป้ายหงส์กับจับป้ายอันดับแรกต่างกันตรงไหนหรือเจ้าคะ ข้าแค่กังวลว่าคุณหนูสามตระกูลเหวินจะจับไม่ได้”
จี้เสียวอู่แปลกใจ “อะไรนะ เจ้ากังวลว่าคนอื่นจะจับไม่ได้ไปทำไมกัน หรือเจ้าไม่อยากได้ตำแหน่งหวางเฟย”
หมิงเวยถามเขา “คนผู้นั้นคิดว่าข้ามีโชคชะตาไร้วาสนา ตามเหตุผลแล้วต้องไม่มีโชคที่จะจับป้ายหงส์ได้ หากข้าจับได้ป้ายหงส์ต่อหน้าเขาได้ง่ายๆ ขึ้นมาจะทำอย่างไร”
จี้เสียวอู่คิดอยู่ครู่หนึ่ง “มีความเป็นไปได้สองอย่าง หนึ่งคือเจ้าปลอมดวงชะตา สองคือมีคนช่วยเจ้าปลอม”
“ใช่เจ้าค่ะ ผู้ที่ตรวจดวงชะตาข้าคือเสวียนเฟย และผู้ที่จัดการเรื่องป้ายหงส์ก็คือเสวียนเฟย ผลลัพธ์เป็นอย่างไรคงไม่ต้องให้ข้าพูดหรอกนะเจ้าคะ”
“…” จี้เสียวอู่พูด “หากเป็นเช่นนั้นจริงท่านราชครูคง…”
“ใช่! ตอนนี้เขาจะมีปัญหาไม่ได้เจ้าค่ะ เพราะฉะนั้นจึงต้องปล่อยให้คุณหนูสามตระกูลเหวินเข้าไปด้านในด้วย”
“แล้วจะทำอย่างไร” หมิงเวยคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วยิ้มให้เขา “พี่ชาย”
เมื่อเห็นรอยยิ้มของนางจี้เสียวอู่ก็รู้สึกเย็นวาบที่แผ่นหลัง “เจ้าคิดจะทำอะไร อย่าคิดหลอกใช้ข้าอีก ข้าไม่หลงกลเจ้าหรอกนะ!”
“ดูท่านพูดเข้าสิจะเรียกว่าหลอกได้อย่างไรเจ้าคะ ข้าแค่ไม่สะดวกที่จะเดินออกไปจึงต้องการให้ท่านช่วยส่งจดหมาย หากท่านราชครูเกิดปัญหาจริง ชีวิตของท่านในเสวียนตูกวันคงไม่ง่ายหรอก ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
จี้เสียวอู่คิดตามก็พบว่าจริงอย่างที่นางพูด นางมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับเสวียนเฟย และความสัมพันธ์ของเสวียนเฟยกับนักพรตซีเฉิงก็ไม่เลว ท้ายที่สุดแล้วตนก็อยู่ฝ่ายเสวียนเฟย แม้ว่าเขาจะประสบความสำเร็จในการเป็นเจ้าสำนักและได้เป็นราชครู แต่ในเสวียนตูกวันก็ยังมีฝ่ายอื่นหากเสวียนเฟยสูญเสียอำนาจแล้วคนอื่นรับตำแหน่งแทนชีวิตของเขาจะไม่ดีเท่าตอนนี้แน่
“ดังนั้นพวกเราต้องร่วมมือกัน ครั้งนี้ข้าไม่ได้หลอกท่าน ข้าสาบานเจ้าค่ะ!”
จี้เสียวอู่แค่นหัวเราะ “คำสาบานของเจ้าไม่มีค่าเลย!” จากนั้นก็ถาม “ให้ข้าไปหาผู้ใดหรือ”
หมิงเวยยิ้มอย่างใจดี “ไปหา…”
ไม่นานหลังจากนั้นจี้เสียวอู่ก็รีบกลับมาหลังจากที่นางจับป้ายรอบแรกเสร็จแล้ว เขาพูดว่า “เรื่องนี้ไม่ต้องกังวลท่านราชครูบอกว่าจัดการเรียบร้อยแล้ว และข้าพบอีกเรื่องหนึ่ง…” เขาเล่าเรื่องที่คนสนิทของซิ่นอ๋องจับตาดูคนในจวนเฉิงเอินโหว
หมิงเวยครุ่นคิด “เช่นนั้นก็ดีหากเป็นซิ่นอ๋องที่เปิดเผยก็คงไม่มีผู้ใดระแวงพวกเรา อืม…ตำแหน่งหวางเฟยถูกกำหนดให้เป็นของข้าแล้ว”
จี้เสียวอู่กระตุกมุมปาก “รีบออกเรือนไปซะจะได้ไม่ต้องอยู่ในจวนทำร้ายผู้อื่น!”
หมิงเวยไม่สนใจเขานางสางผมด้วยรอยยิ้มแล้วไปหน้าห้องโถงเพื่อตรวจสอบป้าย
…………
การจับป้ายรอบแรกในที่สุดก็ได้สตรีทั้งหมดสิบสามคน เนื่องจากมีคนจำนวนน้อย ฮ่องเต้จึงค่อนข้างสนใจเขาไม่รีบให้จับป้าย แต่ให้พวกนางแนะนำตัวก่อน
เมื่อเห็นหมิงเวยเข้ามาหยางชูซึ่งจ้องมองไปที่ประตูอยู่ตลอดก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
อันอ๋องประหลาดใจ “อา! นางจับได้จริงๆ หรือนี่”
หนึ่งในเก้าสิบเก้า เขาคิดว่าสตรีผู้นี้แม้แต่ในห้องโถงก็ไม่สามารถเข้าได้!
หยางชูคลี่พัดเขาแค่นหัวเราะแล้วตอบอย่างภาคภูมิใจ “ข้าบอกไปแล้วว่าฟ้าลิขิต”
ฮ่องเต้เองก็แปลกใจเล็กน้อยและเหลือบมองเผยกุ้ยเฟย เผยกุ้ยเฟยยิ้มให้เขาด้วยท่าทางมีความสุขมาก ฮ่องเต้เมื่อไม่พบสิ่งใดผิดปกติก็ไม่พูดอะไร
ระหว่างที่รอ ไท่จื่อและซิ่นอ๋องล้วนออกไปข้างนอก แต่เด็กคนนั้นไม่ขยับไปไหน เผยกุ้ยเฟยเองก็ไม่ได้พูดกับผู้ใดเลยดูเหมือนว่าจะไม่ได้ดำเนินการใดๆ
นางสามารถจับป้ายอันดับหนึ่งได้เป็นไปได้หรือไม่ว่านางยังยืมโชคดีของผู้อื่นอยู่
ฮ่องเต้ไม่เข้าใจ และตอนนี้เขาก็ไม่อยากคิดอะไร ป้ายอันดับแรกไม่ได้มีความหมายอะไร ต้องจับได้ป้ายหงส์ต่างหากถึงจะมีความหมาย
ทันใดนั้นซิ่นอ๋องก็พูดขึ้นว่า “นั่นไม่ใช่คุณหนูสามจากจวนเฉิงเอินโหวหรอกหรือ พี่ใหญ่ดูสิ น้องหญิงสามเองก็จับได้ด้วย”
ไท่จื่อเห็นตั้งนานแล้วเมื่อเห็นเหวินอิ๋งเดินเข้ามา เขาก็เชื่อในตัวฟู่จินอย่างเต็มที่ ด้วยเวลาที่เร่งรีบเช่นนี้ แต่อาจารย์ฟู่จัดการได้อย่างสวยงาม เขาเป็นผู้มีความสามารถในแผ่นดินอย่างแท้จริง
ผู้มีพรสวรรค์เช่นนี้ให้การช่วยเหลือเหตุใดเขาต้องกลัวว่าตนจะสูญเสียบัลลังก์ด้วย เขาเป็นโอรสสวรรค์อย่างแท้จริง!