การจับป้ายหงส์คัดเลือกหวางเฟยถูกกำหนดให้จัดหลังเทศกาลชิงหมิง[1]
เนื่องจากครอบครัวของซือฮว๋ายไท่จื่อเสียชีวิตทั้งครอบครัวจึงตั้งป้ายสถิตวิญญาณบรรพชนในเสวียนตูกวัน สวดมนต์ทั้งกลางวันและกลางคืน
เมื่อถึงวันนั้นฮ่องเต้ได้นำเหล่าสนม และองค์ชายเข้าเสวียนตูกวันเพื่อไหว้สักการะ ฮ่องเต้กวักมือเรียกหยางชูและกล่าวว่า “จุดธูปให้บิดากับปู่ของเจ้าสิ”
หยางชูตอบรับเสียงเบาแล้วนำธูปมากราบไหว้ด้วยความเคารพ
ฮ่องเต้พูดว่า “เสด็จพี่ใหญ่ นี่คือหลานชายของท่านอาเหยี่ยน เขาอายุยี่สิบกว่าปีโตเป็นผู้ใหญ่แล้วถึงเวลาต้องแต่งภรรยา วันนี้จึงมีการเลือกหวางเฟยให้แก่เขา หวังว่าท่านที่อยู่บนสวรรค์จะเลือกคนที่ดีให้แก่เขา”
เมื่อกราบไหว้เสร็จเสวียนเฟยเดินเข้ามาพูดว่า “เตรียมพร้อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ เชิญฝ่าบาททางนี้”
ดังนั้นทั้งกลุ่มจึงย้ายจากด้านหลังห้องโถงไปยังด้านหน้า ห้องโถงแห่งนี้เป็นที่สักการะของปี้เซี่ยหยวนจวิน[2] เมื่อแยกสองฝั่งเรียบร้อยเหล่าขุนนางนั่งอยู่ที่นี่จึงทำให้สามารถมองเห็นสถานการณ์ในห้องโถงได้อย่างชัดเจน
เผยกุ้ยเฟยกวักมือเรียกให้หยางชูนั่งข้างนางแล้วถามด้วยรอยยิ้ม “ตื่นเต้นหรือ”
หยางชูพยักหน้า “นิดหน่อยพ่ะย่ะค่ะ” เหล่าสนมที่นานๆ ทีจะได้ออกมานอกวังหัวเราะ
ฮุ่ยเฟยพูด “ตอนที่เฉิงเอ๋อร์แต่งงานเขาวิ่งออกมาทั้งที่ยังไม่สวมกวานเลยด้วยซ้ำ”
หลังจากพูดไปหัวเราะไปอยู่พักหนึ่งก็มีเสียงมาจากข้างนอกเป็นเหล่านักพรตที่เฝ้าด้านนอกส่งสัญญาณว่ามีคนเข้ามา ทุกคนเงียบเสียงลง และมองไปที่ห้องโถงใหญ่
“หมิงเสี่ยวเวย ตอนที่เจ้าออกจากเมืองหลวงให้คนส่งข้อความมาบอกตอนนี้กลับมา แต่ไม่คิดบอกข้า หากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ข้าคงไม่รู้ว่าเจ้ากลับมาแล้ว!”
หมิงเวยยิ้ม “เพิ่งกลับมาไม่นานเลยยังไม่มีเวลาว่าง ได้ยินท่านป้าบอกว่าเจ้าออกเรือนแล้วไม่ทราบว่าบ้านสามีเป็นเช่นไรจึงไม่กล้าไปรบกวน”
“เจ้าแค่หาข้ออ้างเห็นได้ชัดว่าขี้เกียจ!” ทั้งสองพูดคุยถามถึงสถานการณ์ปัจจุบันของกันและกัน
ฟางจิ่นผิงเปิดประเด็น “ข้าได้ยินเรื่องนี้ก็นึกขึ้นมาได้ตอนนั้นที่เจ้าออกจากเมืองหลวงเป็นเวลาที่คนผู้นั้นถูกไล่ออกจากเมืองหลวงเช่นกัน พอเจ้ากลับมาเขาเองก็กลับมา บอกมาตามตรงเถอะสองสามปีที่ผ่านมาเจ้าไปซีเป่ยใช่หรือไม่”
หมิงเวยพยักหน้า “ใช่”
ฟางจิ่นผิงไม่คิดว่านางจะยอมรับอย่างตรงไปตรงมาตอนแรกนางอุทานด้วยความตกใจจากนั้นก็อดอิจฉาไม่ได้ “เจ้านี่เงียบจริงๆ! ติดตามเป็นพันลี้ก็ชวนรักชวนฝันพอแล้ว แต่เจ้ากล้ามาก เรื่องนี้หากผู้อื่นรู้เข้าจนเรื่องการหนีตามแพร่ออกไปจะทำอย่างไร”
หมิงเวยพูด “ครอบครัวท่านลุงล้วนเป็นคนดี”
“แล้วคนอื่นล่ะหากมีคนจงใจ…ช่างเถอะ เรื่องผ่านไปแล้ว วันนี้วันดีอย่าพูดถึงดีกว่า”
ฟางจิ่นผิงเป็นคนเข้าใจง่ายนางพูดถึงคนที่มาที่นี่ในวันนี้อย่างคล่องแคล่วชำนาญ หมิงเวยรู้เรื่องราวนินทามากมายจากนาง
ตัวอย่างเช่น หลังเทศกาลล่าสัตว์ในปีนั้นไท่จื่อต้องการรับคุณหนูจากจวนหลู่เซียงเป็นพระชายา แต่ฮ่องเต้กลับพอใจคุณหนูจากตระกูลเผย ผลลัพธ์กลับเป็นทั้งสองตระกูลล้วนไม่เต็มใจ สุดท้ายจึงเลือกคุณหนูจากตระกูลที่มีชื่อเสียงตระกูลหนึ่ง ไท่จื่อเฟยคนใหม่มีนิสัยเคร่งครัดเข้ากับไท่จื่อไม่ได้จึงทะเลาะกันเป็นประจำ
เมื่อเหวินหรูเข้าตำหนักตงกงเหวินอิ๋งก็กลายเป็นตัวตลกทำให้นางไม่ออกจากจวนอีกแล้วยังไม่เข้าเรียนอีกด้วย ผ่านไปครึ่งปีอันอ๋องถึงได้ตัดสินใจคัดเลือกหวางเฟย
ทุกคนล้วนพูดว่าอันอ๋องเป็นพวกเสเพล แต่ไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนกลัวภรรยา ครั้งหนึ่งที่ออกไปหอคณิกา อันอ๋องหวางเฟยพาคนบุกเข้าไปในหอแล้วหิ้วเขาออกมาตั้งแต่นั้นมาหากอันอ๋องคิดจะหยอกล้อยั่วเย้าสตรีก็ต้องแอบทำ
หมิงเวยได้ฟังก็ตกตะลึง
อันอ๋องที่เป็นหลิงตี้ในภายหลัง ยกเว้นในช่วงสองปีแรกชีวิตที่ผ่านมาให้หลังของอันอ๋องค่อนข้างเน่าเฟะไม่คิดว่าเขาในตอนนี้จะเป็นเช่นนี้
จริงสิมีกล่าวไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ว่าอันอ๋องหนีออกเมืองหลวงโดยไม่พาบุตรและภรรยาไปด้วย ทุกคนล้วนตายด้วยน้ำมือของซิ่นอ๋องหากอันอ๋องเฟยสามารถควบคุมเขาได้จริงๆ อาจไม่เสเพลเช่นนั้นใช่หรือไม่
แต่อย่านึกถึงในฐานะฮ่องเต้เลยนั่งในตำแหน่งนั้น ด้วยอำนาจสูงสุดที่ได้ครอบครองไม่ว่าภรรยาจะเก่งกาจเพียงใดก็ควบคุมเขาไม่ได้ ต่อให้ควบคุมเขาได้ชั่วขณะหนึ่งอย่างไรก็ต้องหลุด
ในขณะที่พูดด้วยสายตาอันเฉียบคมของฟางจิ่นผิงก็เห็นรถม้าคันหนึ่งวิ่งผ่านหน้าอาคารไปก็พูดด้วยความแปลกใจ “นั่นไม่ใช่รถม้าของเฉิงเอินโหวหรอกหรือ พวกเขา…”
ยังไม่ทันพูดจบประตูใหญ่ของเสวียนตูกวันก็เปิดออก รถม้าจอดลงด้านข้าง จากนั้นฮูหยิน และคุณหนูที่แต่งตัวงดงามก็เดินลงมา
“เหวินอิ๋งงั้นหรือ” ฟางจิ่นผิงตะลึงงัน “อย่าบอกนะว่านางเองก็…”
หมิงเวยที่ได้รับข่าวมาก่อนหน้านี้แล้วจึงไม่แปลกใจ “คงจะเป็นเช่นนั้น”
ฟางจิ่นผิงแค่นหัวเราะ “นางหน้าทนจริงๆ! ตอนแรกหลงทางก็ผลักเรื่องนั้นให้เหวินหรู ผู้ใดจะรู้ว่าหลังจากนั้นจะลักไก่ไม่สำเร็จเสียข้าวไปหนึ่งกำ[3] ไท่จื่อกลับรับเหวินหรู ถึงเป็นเช่นนั้นนางก็กัดฟันไม่แต่งงานกับตระกูลที่ต่ำกว่า ปีนี้นางสิบเก้าแล้วใช่หรือไม่ ตอนนี้นางชอบเยวี่ยอ๋องหรอกหรือ”
หมิงเวยพูดอย่างเฉยเมย “เรื่องนี้สำหรับนางแล้วคงเป็นทางเลือกที่ดี ก็แค่จับป้ายไม่ต้องใช้ความพยายามอะไร จับไม่ได้ก็ไม่ขายหน้า หากจับได้ก็ได้เป็นหวางเฟยไม่มีผู้ใดหัวเราะนางได้อีก”
“เหตุใดเจ้าใจเย็นเช่นนี้ นางคิดจะแย่งตำแหน่งของเจ้านะ!” ฟางจิ่นผิงไม่สบายใจแทนนาง
หมิงเวยพูด “วันนี้คนเยอะเช่นนี้ไม่ได้มีแค่นางคนเดียวสักหน่อย”
ฟางจิ่นผิงคิดตามก็เห็นด้วย แต่ก็ยังกังวลแทนอยู่ดี “ป้ายที่จับมีเยอะมาก โอกาสที่จับได้มีน้อยหากจับไม่ได้เจ้าคง…”
“วางใจเถอะ หากมันควรเป็นของข้าไม่ว่าผู้ใดก็แย่งไปไม่ได้”
เมื่อเห็นว่าคนเข้ามาเยอะแล้วพวกเขาก็ลงจากอาคารเข้าไปในเสวียนตูกวัน
แม้ว่าคนที่มาเสวียนตูกวันล้วนเป็นคนที่ต้องการป้ายหงส์ ทุกคนก็ยังแสร้งทำเป็นเข้าไปสักการะแต่ละห้องก่อนที่จะไปสถานที่ประดิษฐานปี้เซี่ยหยวนจวิน
เมื่อเห็นคนมานักพรตที่เฝ้าห้องโถงก็หยิบกล่องเซียมซีมา กล่องเซียมซีของเสวียนตูกวันตามปกติมีเก้าสิบเก้าอัน เขาหยิบป้ายที่วาดขนนกของหงส์ใส่เข้าไปในกล่องต่อหน้าทุกคนรวมทั้งหมดเป็นหนึ่งร้อยอัน มีโอกาสหนึ่งในร้อยที่จะจับได้ป้ายหงส์
กล่องเซียมซีนี้วางไว้บนโต๊ะบูชาท่ามกลางสายตาของทุกคนที่จับจ้องมองอยู่
คนแรกที่เข้ามาในห้องโถงเป็นพี่น้องคู่หนึ่งพวกนางก้มศีรษะทำความเคารพปี้เซี่ยหยวนจวิน จากนั้นก็หยิบป้ายจากในกล่องท่ามกลางสายตาของทุกคน
ทั้งสองถามนักพรตผู้เฝ้าสถานที่ซึ่งอีกฝ่ายตอบว่า “จะเขย่ากล่องเซี่ยมซีหรือจะหยิบตามที่คุณหนูต้องการก็ได้เลยขอรับ”
พวกนางคนหนึ่งเลือกที่จะเขย่า อีกคนเลือกที่จะหยิบไม่นานพวกนางก็ได้ป้ายของตนเอง
…………….
[1] เทศกาลชิงหมิง : เทศกาลเช็งเม้ง
[2] ปี้เซี๋ยหยวนจวิน : เทวนารีแห่งเขาไท่ซาน
[3] ลักไก่ไม่สำเร็จเสียข้าวไปหนึ่งกำ : คิดเอาเปรียบผู้อื่น แต่ตอนท้ายกลับเสียเปรียบเอง