เสวียนเฟยกลับมาที่เสวียนตูกวันเขาดื่มน้ำชาอึกใหญ่แล้วมายืนที่หน้าต่างมองดูคืนที่มืดมิด ตัวอักษรปาจื๊อนั้นแค่เห็นก็รู้ว่าเป็นของผู้ใด
เป็นเรื่องบังเอิญที่ก่อนหน้านี้หมิงเวยเพิ่งบอกกับเขาว่าคิดหาวิธีให้ฮ่องเต้ตรวจดวงชะตานางหลังจากนั้นฮ่องเต้ก็เรียกตัวเขาไปโดยที่ไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลย ความโชคดีนี้ราวกับได้รับความช่วยเหลือจากสวรรค์
เสวียนเฟยสงสัยในตนเองเป็นไปได้หรือไม่ว่าคนผู้นั้นคือดาวตี้ชิงจริงๆ แม้ว่าเขาจะถูกผลักออกจากตำแหน่งเดิม แต่ก็มีโอกาสโผล่ขึ้นมาอย่างฉับพลัน เมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็กมักจะตามท่านอาจารย์เข้าวังจึงเข้าใจในนิสัยของฮ่องเต้ผู้นั้น
ฮ่องเต้มีทัศนคติเกี่ยวกับดวงชะตาที่ขัดแย้งกันมาก ด้านหนึ่งสงสัยอีกด้านหนึ่งเมื่อพบเจอเรื่องต่างๆ ก็มักมีคำถาม เมื่อต้นปีเขาไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้เสวียนเฟยเข้าใจรากเหง้าของความขัดแย้งนี้แล้ว เพราะเขารู้ว่าบัลลังก์ของตนเป็นเรื่องของความบังเอิญจึงรู้สึกอยู่เสมอว่าเขาไม่ใช่ฮ่องเต้ที่สวรรค์ลิขิตดังนั้นจึงมักสงสัย
แต่อีกด้านหนึ่งกลับรู้สึกว่าตนเองสามารถเป็นฮ่องเต้ได้ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นลิขิตสวรรค์ก็เป็นได้ ดังนั้นจึงหวังว่าจะได้รับการยืนยันจากโชคชะตาเสมอ
เสวียนเฟยจำเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ตอนที่เขายังเป็นนักบวชวัยเด็ก ฮ่องเต้เคยมาเยี่ยมเยียนเป็นการส่วนตัวในตอนกลางคืน และได้พูดคุยกับราชครูซูสิงอาจารย์ของเขา
ฮ่องเต้ถามราชครูซูสิงว่า “ท่านราชครูสามารถมองเห็นดวงชะตาหงส์หรือไม่”
ท่านอาจารย์ตอบ “ชะตาหงส์ไม่ได้ถูกกำหนดโดยสวรรค์เป็นการยากที่จะมองเห็น”
หลังจากที่ฮ่องเต้จากไปท่านอาจารย์ถอนหายใจแล้วพูดกับเขาว่า “โชคชะตาแม้จะมีวิถีของมัน แต่ก็ไม่อาจเชื่อได้ หากฮ่องเต้ที่เจ้ารับใช้ในอนาคตถามเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้จะต้องลดอิทธิพลของโชคชะตาให้น้อยที่สุด และอย่าปล่อยให้เขาคิดว่าโชคชะตากำหนดทุกสิ่ง”
เสวียนเฟยเข้าใจในภายหลัง หากผู้เป็นฮ่องเต้เชื่อเรื่องดวงชะตามากเกินไปเขาจะสูญเสียการแสวงหาความก้าวหน้า และเขาก็ตระหนักว่าคนผู้นี้เชื่อในโชคชะตา
“โชคชะตาตายก่อนวัยอันควร” เสวียนเฟยโยนเหรียญทองแดงสองสามเหรียญในมือของเขาพวกมันตกลงบนพื้นเป็นรูปแบบของกว้า เขายกมุมปาก “นางไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้วชะตาชีวิตจะเป็นชะตาชีวิตเดิมได้อย่างไร”
…………
เมื่อจวนโป๋วหลิงโหวทราบว่าฮ่องเต้กำลังจะเลือกพระชายาให้เยวี่ยอ๋อง และขอให้ซือฮว๋ายไท่จื่อเป็นคนเลือกด้วยตนเองทั้งครอบครัวก็ตกตะลึง
“เลือกอย่างไร” นางหลู่ถาม “ซือฮว๋ายไท่จื่อได้…จะสามารถพูดออกมาได้อย่างไร” คนอื่นเองก็สงสัยเช่นกัน
หยางซวนซื่อจื่อพูด “หรือว่าจะโยนลูกเต๋า”
โป๋วหลิงโหวชำเลืองมองเขา “พูดอะไรน่ะ! ฝ่าบาทหมายถึงผู้ที่สามารถจับได้ป้ายหงส์ต่อหน้าดวงวิญญาณของซือฮว๋ายไท่จื่อต่างหาก”
“มันก็ไม่ต่างอะไรกับการโยนลูกเต๋า!” คุณชายรองหยางจวิ้นพึมพำ
ทุกคนเห็นด้วย แค่คำว่าจับป้ายหงส์ฟังดูดีกว่าแค่นั้นเอง
นางหลู่สนใจมาก “มีคุณหนูเข้าร่วมกี่คนหรือ”
โป๋วหลิงโหวพูด “ฝ่าบาทตรัสว่าหากมาจากตระกูลที่ดีก็สามารถเข้าร่วมได้”
ต่างคนต่างมองหน้ากันโชคดีที่เป็นการเลือกหวางเฟยเงื่อนไขถึงได้กว้างเพียงนี้
โป๋วหลิงโหวถอนหายใจ “เยวี่ยอ๋องดื้อรั้นเกินไปบอกว่าจะต้องเป็นคนผู้นั้นให้ได้ แต่ฝ่าบาทคิดว่าสถานะของนางต่ำเกินไป แต่ไม่สามารถเปลี่ยนความคิดผู้อื่นได้จึงคิดวิธีเช่นนี้ขึ้นมา บอกว่าหากนางจับได้ป้ายหงส์ หมายความว่าเป็นคู่ลิขิตและจะไม่สนใจสถานะ เขาจะทำอะไรก็ได้ที่เขาต้องการ แต่หากจับไม่ได้ค่อยรับเข้าจวนในภายหลังก็ย่อมได้”
ทุกคนพยักหน้าเป็นเช่นนี้นี่เอง
แต่…
“แล้วถ้าคนอื่นจับได้ล่ะ”
“ก็ถือว่าเป็นโชคชะตา” ทุกคนพูดคุยกันพลางวางแผนอยู่ในใจ
โป๋วหลิงโหวฮูหยินคิดว่ายังมีหลานสาวอีกสองสามคนในครอบครัวของนางที่ยังไม่ออกเรือนลองดูสักหน่อยก็ได้ นางหลู่คิดว่ามีญาติสตรีคนไหนที่มีอายุเหมาะสมบ้าง
ตอนแรกคิดจะยกลูกพี่ลูกน้องจากตระกูลตนเองให้น้องสาม ผู้ใดจะรู้ว่าจะถูกลดขั้นแล้วไล่ออกจากเมืองหลวง ผ่านมาสามปีนางก็ออกเรือนไปแล้ว แต่ก็ยังมีน้องสาวจากตระกูลอีกสองคนที่เจริญวัยแล้ว
ตอนแรกเขาเป็นคุณชายสามแห่งจวนโป๋วหลิงโหวก็ถือว่าดูดี แต่ครั้งนี้ก็ดี ไม่สนว่าจะเป็นอ๋องจากไหน แต่หากได้แต่งงานก็ได้เป็นหวางเฟย!
นางหลู่ยิ่งคิดยิ่งพอใจแทบอยากจะกลับจวนตระกูลตนเองไม่ไหว บทสนทนานี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ตระกูลพวกเขาเท่านั้น พวกตระกูลชนชั้นสูงไปจนถึงพวกชนชั้นกลางก็รู้สึกสนใจ
ในสถานการณ์ปกติพวกเขาไม่อยากคบค้าสมาคมกับหยางชู แต่นี่เป็นการหาตำแหน่งพระชายาเอก ต่อให้ตระกูลสูงศักดิ์เพียงใดก็มีสตรีที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ออกเรือนตระกูลต่ำกว่าก็น่าเสียดาย แต่ออกเรือนกับตระกูลสูงกว่าก็ยาก สู้ไปคัดเลือกหวางเฟยจะดีกว่าหรือไม่ แม้สถานะของหยางชูจะน่าอึดอัด แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นซิ่นอ๋องหรืออันอ๋องแม้แต่โอกาสก็ไม่มี
อืม เช่นนี้ก็แล้วกัน!
ดังนั้นเพียงไม่กี่วันหลังจากที่ฮ่องเต้ประกาศออกไปก็เกิดกระแสขึ้นในเมืองหลวง หาไม่ใช่เพราะปกติเสวียนตูกวันจะไม่เปิดประตูเหล่าคุณหนูคงเข้าไปยึดอาณาเขตเพื่อฝึกมือก่อนแล้ว
เมื่อตระกูลจี้ได้ยินเรื่องนี้จี้ฮูหยินก็โกรธขึ้นมา “อะไรนะ มีป้ายเยอะเพียงนั้นจะไปโชคดีจับได้ได้อย่างไร นี่ไม่ใช่วิธีป้องกันไม่ให้เสี่ยวชีของพวกเราจับได้หรอกหรือ”
“ท่านแม่!” จี้หลิงร้องเตือน “นี่เป็นราชโองการนะขอรับ”
จี้ฮูหยินลดเสียงลง แต่ก็ยังมีอาการไม่พอใจ “ต่อหน้าผู้คนมากมายหากเสี่ยวชีจับป้ายหงส์ไม่ได้จะไม่ถูกผู้อื่นวิพากษ์วิจารณ์หรือ”
“ก็ถูกวิจารณ์มานานแล้วนะเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่พูด “ท่านแม่ ท่านอย่ากังวลเกินไปเลยถึงตอนนี้ไม่เพียงแค่น้องหญิงได้ยินมาว่าคุณหนูในห้องหอส่วนใหญ่ในเมืองหลวง พอได้ยินข่าวก็ออกปฏิบัติการทันทีคนเยอะมากเลยเจ้าค่ะ!”
“พวกนางไม่สนชื่อเสียงของคนผู้นั้นต่อให้จับไม่ได้ก็ไม่น่าอาย”
สะใภ้ใหญ่ยิ้ม “ข้าเห็นน้องหญิงดูมั่นอกมั่นใจไม่น่าอายหรอกเจ้าค่ะ”
จี้หลิงเห็นด้วย “น้องหญิงไม่พูดอะไรคงไม่มีปัญหาพวกเราทำได้แค่รอ”
สองสามีภรรยามั่นใจในตัวของหมิงเวย แต่จี้ฮูหยินกังวลใจจนกินไม่ได้นอนไม่หลับมาหลายวัน
ฟู่จินได้ยินข่าวนี้ก็หัวเราะเสียงดัง “คนผู้นั้นหมกมุ่นกับป้ายหงส์เพียงใดกัน” เขาหันไปถามเสวียนเฟย “ต้องให้แม่นางหมิงจับได้หรือจับไม่ได้ล่ะ”
เสวียนเฟยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เขาไม่ได้พูดอะไรเลย”
ฟู่จินเข้าใจ “เขาเกรงว่าไม่ต้องการให้แม่นางหมิงได้เป็นหวางเฟยคำพูดของราชครูทำให้เขาผ่อนคลายความระมัดระวัง หากแม่นางหมิงจับป้ายหงส์ไม่ได้ สำหรับเขาแล้วเป็นผลลัพธ์ที่ดี ไม่เพียงแต่ทำให้คนอื่นเห็นว่าเขาได้เป็นอ๋องแล้ว แต่ยังสามารถหาคนไปอยู่ข้างกายเขาได้อีกด้วย แต่แม่นางหมิงท่านสามารถจับได้หรือไม่”
หมิงเวยเพียงแค่ยิ้ม คำถามนี้นางไม่จำเป็นต้องตอบ ตราบใดที่จัดการหัวท้ายอย่างสะอาดเรียบร้อย อยากจะจับอะไรก็จับได้อย่างที่ใจต้องการ
“อาจารย์ จับโดยตรงดีหรือไม่เจ้าคะ เช่นนี้คงไม่ทำให้เขาสงสัย”
ฟู่จินพูด “แม่นางหมิงแค่ไปจับก็พอที่เหลือให้ข้าจัดการเอง”
หมิงเวยพยักหน้าแล้วไม่ถามอะไรอีก “ได้เจ้าค่ะ”
ฟู่จินพอใจกับทัศนคติของนางมากเขาพูดอีกว่า “ท่านจำคุณหนูสามจากจวนเฉิงเอินโหวได้หรือไม่”
“เหวินอิ๋งหรือ”
“ใช่ ตอนแรกนางถูกลักพาตัวเพื่อปกป้องชื่อเสียงของนาง ตระกูลเหวินจึงประกาศออกไปว่าคนที่ถูกลักพาตัวเป็นคุณหนูสี่เหวินหรู หลังจากนั้นก็ตั้งใจส่งนางเข้าตำหนักตงกง ข้าออกความเห็นกับไท่จื่อไปว่าคุณหนูสี่ไม่สามารถออกเรือนได้ง่ายๆ ในฐานะลูกพี่ลูกน้องสงสารผู้เป็นน้องสาวจึงยินดีที่จะรับนางเข้าจวน หากผู้อื่นได้ยินเรื่องนี้ก็จะพูดกันว่าไท่จื่อนั้นซื่อสัตย์ ตระกูลเหวินถูกเอารัดเอาเปรียบ แต่ก็บอกผู้ใดไม่ได้จึงยอมให้บีบจมูก”
ฟู่จินพูดด้วยรอยยิ้ม “เหวินอิ๋งไม่สามารถเข้าตำหนักตงกงได้ และไม่ยอมออกเรือนตระกูลที่ต่ำกว่าแน่ ตอนนี้จึงยังไม่มีคู่หมั้นคู่หมาย ครั้งนี้เฉิงเอินโหวขอร้องไท่จื่ออีกครั้ง ไท่จื่อนั้นหวาดกลัวท่านอ๋องจึงพายเรือไปตามน้ำ และวางแผนให้นาง”