ด่านเหลียงชวน กัวสวี่นั่งอยู่บนที่สูงพลางถอนหายใจ มองจากตรงนี้จะเห็นสันเขาเป็นคลื่นเล็กน้อย ทุ่งหญ้ากว้างไกลไม่มีที่สิ้นสุดมีแม่น้ำสายยาวงดงามผ่านพื้นหญ้าสีเขียวตรงไปไกล
เป็นทัศนียภาพที่งดงามมาก แต่กัวสวี่ไม่มีอารมณ์จะชื่นชมเลย เขากำลังคิดเกี่ยวกับครึ่งเดือนที่ผ่านมา ที่ถูกจงซู่ข่มขู่ให้เขียนรายงานสงคราม
ในสายตาของคนอื่นๆ เขาและจงซู่ให้การรับประกันกับหยางซาน อารมณ์ของคนผู้นั้นในตอนนี้เขารู้ดี หมวกใบนี้ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไรเขาก็ถอดออกไม่ได้
พูดอีกอย่างก็คือหากตอนนี้ตนกลับเมืองหลวงก็จะเป็นพรรคพวกเดียวกับหยางซาน…แม้ว่าคนอื่นจะรู้ว่าเขาถูกบังคับ ฮ่องเต้จะสวมหมวกให้ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปคนอื่นก็จะคิดว่าเขาเป็นเช่นนั้น ไม่มีทางอื่นให้ไป
กัวสวี่รู้สึกท้อแท้ เขาแสวงหาชื่อเสียงมายี่สิบปีทุกอย่างเสียไปเปล่าๆโดยไม่เกิดผลลัพธ์ใดๆ
สวรรค์รู้ว่าหยางซานเป็นทายาทของคนผู้นั้น!
สวรรค์รู้ว่าเหตุใดจงซู่ถึงกินน้ำมันหมูพอกใจ[1]! ฮ่องเต้ไม่ชอบหยางซานอย่างแน่นอน ไท่จื่อ ซิ่นอ๋อง และคนอื่นๆ ก็ยิ่งไม่ชอบเขา
อนาคตตนจะยังมีทางรอดอีกหรือ จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อไปยังราชสำนักอีกสักพักก็คงโดนไล่ออกอีกแล้ว…
กัวสวี่จนปัญญาคิดหาวิธีกำจัดป้ายห้อยที่ว่า ‘พรรคพวกของหยางซาน’ ไม่ออก ดังนั้นเขาจึงได้แต่สาปแช่งในใจเท่านั้น
ไอ้สารเลวจงซู่! พอด่าเสร็จคนสารเลวคนนั้นก็มาพร้อมคนผู้หนึ่ง
“ใต้เท้ากัวกำลังชื่นชมทิวทัศน์ท่านคิดจะวาดภาพหรือ” จงซู่หัวเราะ “อย่าลืมวาดท่าทางกล้าหาญของข้ากับศัตรูด้วยล่ะ!”
กัวสวี่แทบอยากบีบคอเขาให้ขาดอากาศหายใจตายจะเอาอารมณ์ที่ไหนมาเล่นกับเขากัน เขาเพียงแต่กลอกตา และมองดูทุ่งหญ้าต่อไป อากาศหนาวเพียงนี้ ฤดูหนาวใกล้จะถึงแล้วเชื่อว่าอีกไม่นานหิมะคงตกเหมือนอารมณ์เขา…ช่างเหน็บหนาวเสียจริง
“ใต้เท้ากัว” จงซู่ไม่เข้าใจสายตานั้นจึงปีนขึ้นไปคุยกับเขา “ใช้ช่วงเวลานี้มองให้มากขึ้นหน่อยก็ดีเหมือนกัน อีกไม่นานที่นี่ก็จะมีการสร้างเมืองด่าน ด่านเหลียงชวนจะเป็นแนวแรกของเราที่จะต่อต้านชาวหูจากนี้ไป! ฮ่าๆ ลักษณะพื้นที่นี้หลังจากสร้างเสร็จจะเป็นด่านที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”
“เฮอะๆ” กัวสวี่กระตุกมุมปากแล้วเขาก็สังเกตเห็นคนที่อยู่ข้างกายจงซู่
เขาคนนั้นสวมชุดสามัญชนธรรมดามีกลิ่นอายสุภาพเรียบร้อยราวกับอาลักษณ์ แต่มือทั้งสองข้างหยาบกร้านราวกับทำงานมาทั้งปีซึ่งดูแปลกมาก
จงซู่สังเกตเห็นสายตาของอีกฝ่ายก็ยิ้ม “เขาเป็นน้องหกของข้า แต่ออกจากตระกูลไปตั้งแต่อายุยังน้อยไม่ได้ใช้แซ่จงแล้ว”
คนผู้นั้นยิ้มแล้วคารวะ “ข้าน้อยจงเยวี่ย คารวะใต้เท้า”
กัวสวี่คุ้นเคยกับชื่อนี้มาก นี่มันหมอเทวดาจงเยวี่ยผู้มีชื่อเสียงดังก้องไปทั่วหล้า! เขาเป็นน้องชายคนที่หกของจงซู่งั้นหรือ ตระกูลจงมีคนที่ไม่ได้อยู่ในกองทัพด้วยไม่แปลกที่จะไม่ได้ใช้แซ่จง
เดี๋ยวนะ…กัวสวี่ชินกับการใช้เหตุผลสรุปจากเรื่องหนึ่งก็สามารถอนุมานไปถึงเรื่องอื่นๆ ได้ จากการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของจงเยวี่ย เขานึกถึงทัศนคติของจงซู่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ตาแก่ผู้นี้ก่อนที่จะโจมตีกับซูถูยังปฏิบัติเช่นนั้นต่อหยางซานอยู่เลย แต่จู่ๆ ก็มีท่าทีเปลี่ยนไปมันต้องมีอะไรเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น
จู่ๆ ก็มีสมาชิกในตระกูลจงที่ไม่ได้ใช้แซ่จงโผล่มาเป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาเป็นคนส่งข่าว พูดถึงเรื่องนี้คนแซ่จงวางแผนมาเป็นอย่างดี!
เพราะเหตุใดกันหยางซานผู้นั้นควรค่าแก่การเดิมพันอย่างไร
“ใต้เท้ากัว ท่านอย่าอารมณ์เสียไปเลย” จงซู่ที่นั่งอยู่ข้างเขาพูดด้วยความจริงใจ “อันที่จริงเรื่องนี้ไม่แน่ว่าอาจมีความโชคดีในความโชคร้าย!”
“หึ!” กัวสวี่จ้องมองจงเยวี่ย
จงซู่พูดต่อว่า “ท่านลองคิดดู หากดูในแง่ของความสามารถท่านเป็นที่หนึ่งในขุนนางร้อยคนในราชสำนัก เหตุใดชื่อเสียงถึงได้แย่เพียงนั้นกัน”
“หึ!” เขาโกหก เสแสร้ง
“ก่อนหน้านี้นักเล่าเรื่องมักจะเล่าเกี่ยวกับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของท่าน และตอนนี้เมื่อรวมเข้ากับบุญคุณต้องทดแทน ภาพลักษณ์ของท่านก็ดีขึ้นมาก!”
“หึ!” เขานึกภาพถึงตำแหน่งโส่วเซี่ยง!
“อย่าดูถูกผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ตรงหน้าเลย ตอนนี้ท่านอายุเท่าไร เดิมทีในราชสำนักชื่อเสียงของท่านอยู่เป็นอันดับสุดท้ายทำตัวโดดเด่นเกินไปจะดึงดูดให้คนเกลียดได้! สู้รออีกสักแปดปีสิบปีให้อายุถึง ถึงตอนนั้นก็เป็นเวลาที่ควรเก็บเกี่ยวแล้ว”
“หึ…เดี๋ยวนะ” กัวสวี่ได้ยินอะไรบางอย่าง และถามเขา “หลังจากแปดปีสิบปี จะเกิดจุดเปลี่ยนอะไร”
จงซู่ยิ้ม “จะเกิดจุดเปลี่ยนอะไรท่านเองก็รู้อยู่แก่ใจ”
อย่างไรเสียเรื่องที่ต้องการเอาชีวิตก็จุดขึ้นมาแล้วเรื่องนี้ก็เช่นกัน จงซู่ลดเสียงลงแล้วพูดว่า “ก่อนหน้านี้น้องหกไปเมืองหลวงมาอาการของฝ่าบาทเกรงว่าจะอยู่ได้อีกไม่กี่ปี”
“…” กัวสวี่พูด “แต่ไท่จื่อขึ้นครองบัลลังก์พวกเราก็ไม่ได้ผลประโยชน์ที่ดีไม่ใช่หรือ”
จงซู่ถอนหายใจ “ท่านคิดว่าไท่จื่อสามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้หรือ”
กัวสวี่เหลือบมองเขาแล้วเลิกคิ้ว “จงซู่ เบื้องหน้าท่านดูเป็นคนซื่อสัตย์ แต่เบื้องหลังกลับวิจารณ์ครอบครัวของโอรสสวรรค์โดยพลการหรือ”
จงซู่หัวเราะ “ก็แค่พูดต่อหน้าใต้เท้ากัว เชื่อว่าใต้เท้ากัวไม่พูดออกไปอยู่แล้ว ถูกหรือไม่”
กัวสวี่อยากจะพูดออกไปมาก แต่เมื่อคิดถึงสถานการณ์ของเขาการพูดแบบนี้จะมีประโยชน์อะไรเขาถอนหายใจอีกครั้ง
เมื่อถอนหายใจเสร็จเขาก็พูดว่า “ท่านคิดว่าไท่จื่อไม่สามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้ หรือจะเป็นซิ่นอ๋อง ไม่สิ หากเป็นซิ่นอ๋องท่านคงไม่วางใจเช่นนี้” กัวสวี่คิดไปคิดมาพลางชำเลืองมองเขา และถามอย่างไม่แน่ใจ
“อันอ๋องหรือ”
จงซู่ยิ้มอย่างมีความหมาย “ใต้เท้ากัวไม่คิดว่าสถานการณ์ปัจจุบันคล้ายกับในอดีตมากหรือ” เขาไม่พูดออกมากัวสวี่ก็เข้าใจ
ในตอนนั้น ไท่จื่อ จิ้นอ๋อง และฉินอ๋องต่อสู้เพื่อบัลลังก์ ทั้งสามคนไม่มีผู้ใดรอดชีวิต ทุกอย่างจึงตกมาอยู่ที่คนที่เฝ้าดูอย่างนิ่งดูดายอย่างองค์ปัจจุบัน
ตอนนี้ไท่จื่อ และซิ่นอ๋องต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายไม่มีผู้ใดสนใจอันอ๋อง
เป็นไปได้จริงๆ หรือว่าจงซู่อยู่ฝ่ายอันอ๋องถึงได้กล้าทำเช่นนี้
ไม่ใช่…ความสัมพันธ์ระหว่างอันอ๋องกับหยางซานนั้นดีกว่ากับไท่จื่อนิดหน่อย แต่ก็แค่นิดหน่อยได้ยินว่าตอนที่หยางซานออกจากเมืองหลวงยังเอาชนะอันอ๋องอยู่เลย…
จงซู่พูด “พูดตามตรงที่ข้าข่มขู่ใต้เท้ากัววันนั้นเพราะไม่มีทางเลือกจริงๆ ซือฮว๋ายไท่จื่อกับบิดาของข้ามีมิตรภาพเก่าต่อกัน ข้าก็แค่ไม่ต้องการให้สายเลือดของเขาสูญสิ้น สถานะของน้องหกเป็นความลับสุดยอดหากไม่เกิดเรื่องก็ไม่ต้องการให้ผู้ใดรับรู้ ตอนนี้ต้องการให้ใต้เท้ากัวรับรู้เพื่อเป็นการไถ่โทษ และเพื่อให้ใต้เท้ากัวสบายใจ ท่านสามารถอยู่อย่างสงบสุขได้สักสองสามปีเชื่อว่าเมื่อถึงเวลานั้นจะเกิดจุดเปลี่ยน”
กัวสวี่คิดอยู่ครู่หนึ่ง และถามจงเยวี่ย “พระพลานามัยของฝ่าบาทถึงจุดนั้นแล้วจริงๆ หรือ”
จงเยวี่ยประสานมือตอบ “อย่างน้อยสามถึงห้าปีขอรับ”
กัวสวี่คิดว่าแม้หลังจากผ่านไปห้าปีเขาจะอายุห้าสิบซึ่งไม่แก่เลยสำหรับขุนนางที่เข้ามาในราชสำนัก ฮ่องเต้มีพระชนมายุไม่ยืน แต่คนที่มีตำแหน่งโส่วเซี่ยงล้วนมีอายุห้าสิบขึ้นไป ถ้าอยู่นานเท่าหลู่เซียงก็ทำงานได้ยี่สิบปี…
กัวสวี่เก็บสีหน้าแล้วยิ้ม “ข้าเข้าใจผิดไปเองหยางซานช่วยชีวิตข้า ตอบแทนบุญคุณเป็นเรื่องสมควรแล้ว”
จงซู่ยิ้มตาม “ใต้เท้ากัวคิดได้เช่นนั้นข้าก็ดีใจ”
ทั้งสองกล่าวชื่นชมกันอย่างไม่ได้มาจากใจจริงนักก่อนจะจบการสนทนาอันไร้สาระแล้วทั้งสองก็กล่าวลากันอย่างมีความสุข
กัวสวี่ลงจากเนินเขาพลางคิดในใจท่านปิดตาไปเองแล้วกัน! บัญชีนี้ข้าจะจำเอาไว้! แต่ทางฝั่งอันอ๋องก็ควรผูกมิตรจริงๆ อย่างไรก็ไม่มีทางอื่นให้เดินแล้ว…
ทางด้านจงซู่พูดว่า “คนแซ่กัวนี่ใจแคบเสียจริงการหาเรื่องให้เขาทำเพื่อที่จะไม่ต้องกังวลว่าจะสร้างเรื่องให้พวกเราเดือดร้อนในภายหลัง เจ้านี่นะ! อายุขนาดนี้แล้วควรหาภรรยามีชีวิตดีๆ หากเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลจงของพวกเราเจ้าจะเป็นสายเลือดเพียงหนึ่งเดียว”
ในขณะที่เขากำลังพูด ทหารผู้ส่งสารร่างกำยำขี่ม้าเข้าไปในค่ายใหญ่ ไม่นานหลังจากนั้นจงรุ่ยก็วิ่งจนแทบเหาะออกมา
“ท่านพ่อ!” เขาตะโกนเสียงแหบ “ฝ่าบาทมีพระราชโองการเรียกตัวหยางซานกลับสู่ราชวงศ์!”
จงซู่ที่เดินไปได้ครึ่งทางหยุดฝีเท้า จงซู่ และน้องชายของเขามองมาทางนี้ด้วยความประหลาดใจ
จงรุ่ยเอามือป้องปากราวกับคนบ้า “หยางซาน...ฮึ่ย! เขากลับไปใช้แซ่เจียง ได้รับแต่งตั้งเป็นเยวี่ยอ๋อง!”
……………
[1] น้ำมันหมูพอกใจ : ถูกครอบงำจนมืดบอดไร้มโนธรรม