เจี่ยงเหวินเฟิงไม่คิดว่าอาจารย์ของเขาจะใจกล้าถึงเพียงนี้ ราชโองการลับนี้มองดูเหมือนไม่มีปัญหา ทั้งหมดเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับ แต่เมื่อมองดีๆ อย่างละเอียดก็พบปัญหาใหญ่
ลายมือบนนั้นเป็นของโส่วเซี่ยงหลู่เฉียน! เหตุใดลายมือของหลู่เฉียนถึงมีปัญหางั้นหรือ เพราะหากผู้อาวุโสหลู่เซียงรู้ว่ามีราชโองการลับนี้เขาจะไม่สามารถกัดฟันโดยไม่ปล่อยได้ตลอดแน่นอน
เพราะฉะนั้นผู้อาวุโสหลู่เซียงจะไม่เคยเขียนราชโองการลับนี้อย่างแน่นอน
ในเมื่อไม่เคยเขียนดังนั้นจึงเป็นของปลอม ไม่แปลกใจเลยที่ก่อนหน้านี้เขาไม่จำเป็นต้องคำนับ
ฟู่จินเคี้ยวถั่วไปพลางพูดว่า “เมื่อครู่ข้าไปหาผู้อาวุโสหลู่เซียงมา”
“…” เจี่ยงเหวินเฟิงจินตนาการถึงสถานการณ์แล้วอยากจะฆ่าคนตรงหน้าให้ตายแทนหลู่เฉียน แต่มันดูไร้ยางอายมากกว่าการคุกคาม ลองนึกภาพผู้อาวุโสหลู่เซียงเปิดพระราชโองการลับนี้ อารมณ์ของเขาจะเป็นอย่างไรเมื่อเห็นลายมือของตนเอง ที่น่าเกลียดที่สุดคือกล้ำกลืนลมหายใจตนเองลงไป
ในเมื่อปลอมแปลงได้หนึ่งฉบับ เหตุใดจะปลอมแปลงฉบับที่สองไม่ได้เล่า
แม้ว่าราชโองการลับนี้ไม่ได้ไร้ที่ติอย่างสมบูรณ์ แต่ตราประทับบนนั้นสามารถใช้ตรวจสอบความถูกต้องได้ แต่จะมีประโยชน์อะไรที่จะสืบทราบภายหลัง ตราบใดที่ใต้หล้าเชื่อมั่นเช่นนั้นความจริงก็ไม่สำคัญ
“ผู้อาวุโสตอบรับหรือ”
ฟู่จินยิ้มและพยักหน้า “เขาเข้าวังแล้ว”
“…ดูเหมือนท่านจะมั่นใจมาก” เจี่ยงเหวินเฟิงรู้ความสามารถของคนผู้นี้ดี หากจะมีขุนนางในราชสำนักที่ฮ่องเต้เชื่อใจก็คงจะเป็นผู้อาวุโสหลู่เซียง
เขาอยากจะร้องไห้ให้กับผู้อาวุโสหลู่เซียง “ผู้อาวุโสหลู่เซียงยอมลงเรือเดียวกับเราแล้วหรือ”
“ใช่!” ฟู่จินมีความสุขมาก “หลังจากช่วยในครั้งนี้หากเขาอยากจะกระโดดออกมาอีกครั้งมันก็ไม่ง่ายเช่นนั้น”
“….”
“เจ้าทำหน้าอย่างนั้นทำไม” ฟู่จินกล่าวอย่างไม่พอใจ “ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อช่วยเหลือเขาให้บรรลุผลสมความปรารถนา!”
เจี่ยงเหวินเฟิงไม่เห็นด้วยอยู่ดีๆ จะให้ผู้อาวุโสหลู่เซียงช่วยเหลือเพื่อให้บรรลุผลอะไรกัน ผู้ที่มีอายุเจ็ดสิบกว่าปีช่วยเหลือฮ่องเต้มาถึงสองรัชสมัยจนได้รับความไว้วางใจอย่างยิ่ง เมื่อไท่จื่อขึ้นครองราชย์เขาก็ใกล้จะเกษียณแล้วแม้จะไม่ทำอะไรถึงเวลานั้นเขาก็มีหน้ามีตาจะกระโดดลงบ่อโคลนทำไมกัน
“เจ้าไม่เชื่อหรือ” ฟู่จินแกะเปลือกถั่วพลางถามเสียงจริงจัง “ข้าจะบอกให้ผู้อาวุโสผู้นั้นได้ถูกองค์หญิงใหญ่ช่วยชีวิตเมื่อนานมาแล้ว อีกทั้งซือฮว๋ายไท่จื่อยังแนะนำเขาให้ก้าวเข้าสู้เส้นทางทางการเมือง คนผู้นี้มีคุณธรรมสูงส่งรู้สึกไม่สบายใจเมื่อเห็นทายาทของซือฮว๋ายไท่จื่อสูญสิ้น
ข้าอ้อนวอนเขาหลายครั้งทำให้ความรู้สึกผิดในใจเขาลึกซึ้งขึ้น แต่เพราะความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้กับประชาชนเขาจึงไม่กล้าเคลื่อนไหวเพราะกลัวว่าจะสั่นคลอนบ้านเมือง วันนี้ดูเหมือนว่าการถูกข้าข่มขู่ได้ให้เหตุผลที่ทำให้เขาต้องปล่อยวางภาระทางจิตใจ และลงมือทำเรื่องนี้”
หลังจากกินถั่วแล้วเขาก็จิบชาและพูดต่อว่า “นอกจากนี้เจ้าคิดว่าหลายปีมานี้เขาจะไม่ลังเลใจบ้างเลยหรือ เห็นว่าไท่จื่อเป็นคนเช่นนี้ ซิ่นอ๋องเจ้าเล่ห์เพทุบาย อันอ๋องก็ไม่ได้เรียกว่าดีนัก จะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตก็ไม่แน่นอน เพียงแต่คนผู้นั้นเป็นผู้มีคุณธรรมสูง” พูดถึงเรื่องนี้ฟู่จินก็ส่ายหน้า “เมื่อผู้มีคุณธรรมสูงลำบาก รู้แก่ใจว่าต้องทำสิ่งใด ก็ยังต้องถูกผู้อื่นควบคุม แต่ในเมื่อเป็นผู้มีคุณธรรม เจ้าก็ต้องปฏิบัติตาม”
เจี่ยงเหวินเฟิงแอบกลอกตา โน้มน้าวให้ตนเป็นผู้มีคุณธรรมยอมให้เขารังแกงั้นหรือ
“อาจารย์ ท่านพูดเช่นนั้นต่อไปผู้อาวุโสหลู่เซียงจะอยู่ข้างเราหรือ”
“มันไม่ง่ายดายเพียงนั้น” ฟู่จินพูด “เขาในฐานะโส่วเซี่ยงมีเรื่องที่ต้องใส่ใจมากมาย พูดได้ว่าในอนาคตเรานำเรื่องนี้มาก่อให้เกิดสถานการณ์ซึ่งเขาอาจผลักไสออกไปนี่เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว”
เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้าเงียบๆ ฟังเขาอธิบายเรื่องทั้งหมดโดยละเอียด เขาเพียงต้องเคารพรักอาจารย์ผู้นี้…อยู่ห่างๆ
ทางนั้นผลักดันให้ข่าวลือกระพือออกไปทำให้หยางชูตกอยู่ในอันตราย ทางนี้ก็จะไปขอร้องถึงที่ใช้บุญคุณเก่ามาตอกย้ำความรู้สึกผิดของผู้อาวุโส จากนั้นเขาก็นำราชโองการลับออกมาทำให้หลู่เฉียนต้องคิดหาเหตุผล
สิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดคือแม้แต่เรื่องที่หลู่เฉียนเข้าเฝ้ายังต้องซ่อนอุบายไว้
แหวนหยกเป็นของจริง แต่ราชโองการลับเป็นของปลอม เขามอบแหวนหยกของจริงเข้าวัง แต่เก็บราชโองการลับไว้
ดีจริง! สถานการณ์ที่ครอบคลุมทั้งหมดในพริบตา ฮ่องเต้เป็นผู้เลือก
ด้านหนึ่งเป็นข่าวลือที่วิพากษ์วิจารณ์กันครึกโครม ราชโองการลับจากฮ่องเต้ไท่จู่ อีกด้านหนึ่งคือสงครามขยายอาณาเขต และคำขอของจงซู่ และกัวสวี่
ปฏิเสธตัวตนของหยางชูจะทำให้แตกคอกันไปข้างหรือ
ใช่ ตำแหน่งของฮ่องเต้มั่นคงจนไม่สามารถสั่นคลอนได้ แต่ปัญหาที่ตามมามีไม่น้อย หากถูกแทนที่ด้วยฮ่องเต้วัยหนุ่ม บางทีอาจจะไม่ยอมรับเพราะเรื่องนี้
แต่ตอนนี้พระองค์ทรงชราภาพแล้วสุขภาพไม่แข็งแรง ไม่มีแรงจะสู้กับข้าราชบริพาร แทนที่จะต่อสู้เพื่อฝ่ายสว่างจัดการในที่ลับย่อมดีกว่า ในฐานะฮ่องเต้จะหาโอกาสไม่ได้เลยหรือ
แสวงหาความมั่นคงเมื่ออายุมากขึ้น ดังนั้นความน่าจะเป็นที่เขาจะยอมจำนนมีมากกว่าแปดส่วน
ฟู่จินยืดเอว “เฮ้อ อายุมากแล้วนอนดึกไม่ได้! ข้ากลับไปนอนก่อนล่ะเจ้าตามสบาย”
เจี่ยงเหวินเฟิงกระตุกมุมปาก แก่กับผีสิ! คนเราจะอายุเท่ากันได้งั้นหรือ
…………
เมื่อหลู่เฉียนออกจากวังก็เกือบเข้ายามสามแล้วเขายืนอยู่หน้าพระราชวังและมองย้อนกลับไปที่กำแพงวังสูงตระหง่านเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจสูงสุดในใต้หล้านี้
เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาทำถูกหรือผิดเพียงแต่หวังว่าสิ่งที่เขาทำให้แคว้นจะเป็นโอกาสของการอยู่รอดเส้นทางหนึ่งไม่ใช่ที่มาของภัยพิบัติ ในตอนนั้นฮ่องเต้ก็เดินออกจากท้องพระโรงเช่นกัน
“ไปพระราชวังเชียนชิว”
“พ่ะย่ะค่ะ”
รถพระที่นั่งถูกยกขึ้นมุ่งหน้าสู่พระราชวังเชียนชิว เผยกุ้ยเฟยที่กำลังวาดภาพอยู่ออกมาต้อนรับ
“ดึกเพียงนี้แล้วเหตุใดสนมรักยังไม่นอนอีก” ฮ่องเต้ถามเสียงอ่อนโยน
เผยกุ้ยเฟยยิ้ม “คืนนี้จะนอนหลับได้อย่างไรเพคะ”
ฮ่องเต้ครุ่นคิด “คิดถึงชูเอ๋อร์หรือ”
เผยกุ้ยเฟยปรนนิบัติเช็ดหน้าเช็ดมือด้วยตนเอง “เรื่องแรกคงดีใจ ในที่สุดเขาก็เติบโตขึ้นไม่ได้ก่อเรื่องวุ่นวายอีกแล้ว แต่ยังสามารถปฏิบัติเรื่องสำคัญได้ เรื่องที่สองคือดีใจแทนฝ่าบาทที่ซีเป่ยได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ ความสำเร็จของฝ่าบาทจะถูกบันทึกลงในประวัติศาสตร์เพคะ”
ฮ่องเต้ยิ้มบาง “ดังนั้นดึกดื่นเช่นนี้สนมรักจึงมานั่งวาดรูปฉลองหรือ ไหนให้เจิ้นดูหน่อยว่าเจ้าวาดอะไร”
เผยกุ้ยเฟยให้นางในนำกระดาษมา ฮ่องเต้มองอย่างละเอียดเป็นภาพขุนเขาและแม่น้ำทอดยาวเป็นพันลี้ไม่มีที่สิ้นสุด
“ยินดีกับฝ่าบาทที่แผ่นดินมั่นคงเพคะ”
ฮ่องเต้ประคองเผยกุ้ยเฟยด้วยสายตาที่ดูซับซ้อน “นี่เป็นเรื่องดีอย่างแน่นอน แต่ข่าวลือที่แพร่กระจายเมื่อเร็วๆ นี้ สนมรักไม่กังวลหรือ”
เผยกุ้ยเฟยฝืนยิ้มแล้วถามอย่างประหม่า “ฝ่าบาท ก่อนหน้านี้ที่ท่านบอกว่าไม่ต้องกังวล หรือว่ามีอะไรผิดปกติหรือเพคะ”
ฮ่องเต้มองลึกเข้าไปในดวงตาของนางเมื่อเห็นความประหม่า และความสงสัยของนางเขาก็โล่งใจ และตอบกลับไปว่า “เกิดเรื่องยุ่งยากนิดหน่อย แต่เจิ้นคิดดูแล้วเรื่องนี้ทนลำบากทำเพียงครั้งเดียวหลังจากนั้นก็จะสบายไปตลอด สนมรักจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้อีกต่อไปในอนาคต”
เผยกุ้ยเฟยหัวเราะ “หม่อมฉันเชื่อฝ่าบาทเพคะ” แล้วถามด้วยความยินดีว่า “ฝ่าบาทจะยอมให้ชูเอ๋อร์กลับมาหรือเพคะ ไม่เจอกันสองปีไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง ฝ่าบาททรงอนุญาตให้เขาพักในเมืองหลวงสักระยะหนึ่งได้หรือไม่เพคะ ที่ซีเป่ยอากาศหนาวจัดรอให้พ้นฤดูหนาวก่อนแล้วค่อยให้เขาไป…”
ฮ่องเต้ตอบรับเสียงเบาในใจคิดว่าหากเขากลับมาครั้งนี้ก็ไม่จำเป็นต้องออกไปแล้ว เมื่อเทียบกับปล่อยเสือเข้าป่าสู้ให้อยู่อย่างขยะแขยงข้างกายไม่ดีกว่าหรือ