“เพล้ง…” เสียงกระเบื้องแตกดังขึ้นในท้องพระโรงของตกแต่งทั้งหมดที่เพิ่งนำมาเปลี่ยนล้วนพังทลายสิ้น
ว่านต้าเป่าที่เฝ้าอยู่ด้านนอกได้ยินก็หนังตากระตุกขันทีฝึกหัดที่อยู่ถัดจากเขาถามอย่างระมัดระวัง “อาจารย์ ฝ่าบาททรงกริ้วหรือ วันนี้ที่ซีเป่ยได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ เหตุใดฝ่าบาทถึงต้องกริ้วด้วย”
ว่านต้าเป่าก้มหน้าเพราะอาย “ธุระของฝ่าบาทเป็นสิ่งที่เจ้าสามารถพูดคุยได้หรือ ดูให้มากถามให้น้อยเสียจะดีกว่า”
หลิวกงกงที่ยืนอยู่อีกด้านเหลือบมองเขาแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ว่านกงกง ท่านไปรับศิษย์ที่ฉลาดผู้นี้มาจากที่ใดหรือ ดูกระตือรือร้นดีนะ”
ว่านต้าเป่ากระแอมแล้วตอบว่า “หลิวกงกงชมเกินไปแล้ว เด็กคนนี้หัวทึบ ฉลาดที่ไหนกันก็แค่ดูกระตือรือร้นก็เท่านั้น”
“การถามหมายความว่าอยากเรียนรู้คนเช่นนี้ไม่ช้าก็เร็วเขาจะมีอนาคต เมื่อถึงตอนนั้นท่านจะมีความสุขกับศิษย์ของท่าน!” หลิวกงกงมองท้องฟ้าแล้วคารวะด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนฝ่าบาทจะไม่มีเวลาให้ข้าเข้าพบแล้วข้าขอตัวกลับไปทำงานก่อน วันนี้วันดีที่ทำการเองก็วุ่นวายมาก ว่านกงกงข้าขอลาตรงนี้”
ว่านต้าเป่ายิ้มเยาะ “ท่านคงยุ่งมากเดินทางกลับดีๆ” หลิวกงกงหันหลังเดินจากไป
เมื่อร่างของเขาหายไปในความมืดว่านต้าเป่าเหลือบไปเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของลูกศิษย์ก็ตบเข้าที่หน้าผาก “เจ้ายังจะยิ้มอีก! เช่นนี้หากถูกเอาเปรียบในภายภาคหน้าก็คงไม่รู้ว่าถูกผู้ใดเอาเปรียบอยู่”
ลูกศิษย์ร้องไอหยาเขาจับหมวกพลางร้องขอความเมตตา “ท่านอาจารย์ ข้าผิดไปแล้ว”
“เจ้าผิดเรื่องอะไร”
“ผิดที่…”
ว่านต้าเป่าแค่นหัวเราะ “เหตุใดข้าถึงรับศิษย์ที่โง่เช่นนี้นะ เจ้าเชื่อคำพูดของหลิวชวงซีหรือ อย่าได้ดูถูกคนอย่างเขาที่นั่งยิ้มทั้งวัน รู้หรือไม่ว่าเขาเข้าหวงเฉิงซือได้อย่างไร ผู้ที่ตายด้วยน้ำมือของเขามีมากกว่าที่เจ้าเห็นเสียอีก!”
ลูกศิษย์ตกตะลึงเขาพูดด้วยความตกใจ “แต่หลิวกงกงดูใจดีมาก...”
“เขาใจดี แต่ข้าดุร้ายใช่หรือไม่ เช่นนั้นเจ้าก็ไปกับเขาเลย!”
ลูกศิษย์รีบอ้อนวอนขอความเมตตา “ข้าน้อยผิดไปแล้วได้โปรดสอนข้าด้วยอาจารย์”
ว่านต้าเป่าผ่อนคลายเล็กน้อยและพูดว่า “ข้าไม่พูดกับเจ้าแล้ว ถามให้น้อย มองให้มาก ดูว่าคนผู้นั้นดีหรือร้ายอย่าดูที่หน้าตา!”
เป็นเรื่องปกติที่คนสนิทสองคนที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้จะไม่ชอบหน้ากัน หากมองจากภายนอก ว่านต้าเป่าที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายเป็นที่โปรดปรานที่สุด แต่ผู้ที่มีหน้าที่จับตามองหวงเฉิงซือแทนฮ่องเต้นั้นถือเป็นคนสนิทในคนสนิทอีกที!
การอยู่ข้างกายฮ่องเต้ที่ขยันขันแข็งต้องคอยระวังคอยตรวจสอบอยู่เสมอ แต่ก็สู้หวงเฉิงซือไม่ได้ ว่านต้าเป่าสงสัยว่าเหตุใดฮ่องเต้ถึงกริ้วหนักถึงเพียงนี้
เมื่อคิดไปคิดมาก็รู้สึกอิจฉาหลิวชวงซีมากขึ้น เรื่องสำคัญเช่นนี้เป็นหลิวชวงซีที่เข้าใจจิตใจของฮ่องเต้ได้ดีกว่า และทุกครั้งที่ฮ่องเต้อารมณ์ไม่ดีก็จะเรียกเขามาทำงานบางอย่าง
ภายในท้องพระโรง
“พูดมา!” ฮ่องเต้ชี้หน้าหลู่เฉียนมือสั่น “เขาเป็นผู้ใดถึงได้กล้าพูดจาหยาบคายเช่นนี้! ข้าจะจับมันมาเฉือนเป็นหมื่นครั้ง!”
หลู่เฉียนกล่าวอย่างสงบ “ฝ่าบาท ผู้ใดเป็นคนพูดไม่สำคัญในเมื่อมีหนึ่งคนพูดก็ต้องมีคนด้านนอกรออยู่มากขึ้น ตอนนี้ท่านหุนหันพลันแล่น กระหม่อมเกรงว่าเรื่องต่างๆ คงมาถึงจุดที่ไม่สามารถจัดการได้”
ฮ่องเต้กำแหวนหยกในมือแน่นใช้ความพยายามอย่างมากที่จะระงับอารมณ์โกรธของตนเอง “ท่านพูดมาว่าต้องทำอย่างไร”
หลู่เฉียนพูดอย่างสบายๆ “กระหม่อมคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่งั้นหรือ” ฮ่องเต้แค่นหัวเราะเมื่อนึกถึงคำพูดเสียดสีก็ทำท่าเหมือนคิดอะไรอยู่ “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร…”
“พ่ะย่ะค่ะ” หลู่เฉียนรู้ว่าอีกฝ่ายเข้าใจจึงอธิบายด้วยน้ำเสียงสงบ “พระบรมราชโองการที่มอบบัลลังก์ให้กับท่านนั้น ฮ่องเต้องค์ก่อนเป็นผู้สั่งการด้วยตนเอง กระหม่อมเป็นคนร่างขึ้นมาเอง ขุนนางหลายคนเป็นพยานได้ ฝ่าบาทเป็นฮ่องเต้ผู้เที่ยงธรรมของแคว้นฉี ไม่มีผู้ใดสามารถปฏิเสธความเชื่อเรื่องสายเลือดโดยตรงของท่านได้ แม้ว่าภายหลังไท่จื่อองค์ก่อนจะมีทายาท แต่ผลลัพธ์ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ หย่งซีอ๋องถูกสถาปนาเป็นแค่จวิ้นอ๋องนับประสาอะไรกับบุตรชายของเขาอันที่จริงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย”
ฮ่องเต้พยักหน้าแล้วถามว่า “แล้วราชโองการลับเขียนว่าอย่างไร”
หลู่เฉียนพูด “เขียนว่าซือฮว๋ายไท่จื่อประสบเคราะห์ร้ายเหลือรอดเพียงหลานชายจึงมีผู้มีบารมีรับเลี้ยงดู องค์หญิงหมิงเฉิงเป็นผู้มีบารมีดังนั้นนางจึงเลี้ยงดูหลานชายภายใต้ชื่อของตนให้มีความเป็นอยู่ที่ดี แข็งแรงและปลอดภัย” เป็นเหตุผลที่สวยงามมาก
หัวใจของฮ่องเต้เยือกเย็นมากขึ้น “เป็นการดำเนินการของเขาหรือ อายุยังน้อยอุบายของเขาช่างล้ำลึกนัก…”
หลู่เฉียนพูดว่า “ฝ่าบาท พระราชโองการลับนี้ออกโดยฮ่องเต้องค์ก่อนคงเป็นคำร้องขององค์หญิงหมิงเฉิง”
ฮ่องเต้ส่ายหน้า “เสด็จพี่ไม่มีทางทำให้ข้าลำบากใจเช่นนี้”
หลู่เฉียนถอนหายใจ “ฝ่าบาท องค์หญิงหมิงเฉิงเป็นองค์หญิงใหญ่ นางรักท่าน แต่ก็ทนเห็นลูกหลานของซือฮว๋ายไท่จื่อตายไม่ได้ แม้จะทำเรื่องนี้ แต่ก็เป็นเพราะความห่วงใยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พึมพำ “ความห่วงใย…”
“พ่ะย่ะค่ะ” หลู่เฉียนชะงัก “ตัวอย่างเช่นในกรณีของหลิ่วหยางจวิ้นอ๋อง องค์หญิงใหญ่ทราบว่าฝ่าบาทไม่พอพระทัย แต่ก็ยังช่วยชีวิต…ต่อมาก็ขออภัยโทษต่อฝ่าบาท การกระทำขององค์หญิงใหญ่ไม่ใช่เพื่อประจบ ไม่ใช่เพื่อต่อสู้เพื่ออำนาจ แต่เป็นเพราะรักน้องชายเพื่อให้สายเลือดของจิ้นอ๋อง และสายเลือดของซือฮว๋ายไท่จื่อยังคงอยู่”
ฮ่องเต้ใจสั่น “ตอนที่เจิ้นอายุไม่ถึงสิบปี ฮองเฮาองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ด้วยอาการป่วย เสด็จพี่กังวลว่าข้าจะอยู่ในวังลำบากจึงมักมาดูแลข้าที่จวน”
“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ” หลู่เฉียนพูดอีกครั้ง “เพียงแต่องค์หญิงใหญ่สิ้นพระชนม์มาหลายปีแล้ว พระราชโองการลับนี้อาจถูกใช้โดยผู้อื่น คนพวกนั้นอาจตั้งใจบิดเบือนเจตนาขององค์หญิงใหญ่ และใช้ประโยชน์จากราชโองการลับ ฝ่าบาท…พวกเขาไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควรคิดว่าเรื่องนี้จะทำให้ฝ่าบาทลำบากใจได้ ช่างน่าขันเสียจริง หลายปีมานี้ฝ่าบาททั้งรัก และเอาใจใส่คุณชายสามมากทุกคนในใต้หล้าล้วนมองเห็น”
ฮ่องเต้เงียบไปครู่หนึ่งแล้วตรัสว่า “ถึงอย่างนั้นพวกเขาข่มขู่เจิ้นด้วยเรื่องนี้ ความจริงอาจ…”
หลู่เฉียนส่ายหน้า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องรีบร้อนข่าวลือทั้งหมดในตอนนี้จะได้รับการแก้ไขยังไม่สายเกินไปที่จะค่อยๆ จัดการในภายหลัง” เขาพูดกระตุ้นอีกฝ่ายว่า “ซีเป่ยมีชัยชนะครั้งใหญ่ช่วงเวลาที่ดีเช่นนี้ไม่คุ้มค่าเลยที่จะให้พวกเขาทำลายศักดิ์ศรีของท่าน”
…………
ฟู่จินยังไม่กลับมา เขามาเคาะประตูที่ศาลาว่าการกลางดึกแล้วพาเจี่ยงเหวินเฟิงออกไปดื่มข้างนอก เจี่ยงเหวินเฟิงที่ยุ่งมาทั้งวันเขาเหนื่อยล้ามาก แต่ต้องมากับเขาด้วยจนรู้สึกอยากจะบีบคออาจารย์ให้ตายไปเสีย
“อาจารย์ เหตุใดท่านถึงมีความสุขนัก” เจี่ยงเหวินเฟิงถามอย่างจริงจังสองปีมานี้ทำให้เขารู้จักใบหน้าที่แท้จริงของฟู่จินเป็นอย่างดี เห็นเขาเป็นเช่นนี้ต้องมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นแน่ต้องให้คนอื่นมาง้างปากถึงจะยอมพูด
ฟู่จินยิ้ม “หลังจากคืนนี้คนผู้นั้นก็จะมีสถานะจะไม่ดีใจได้อย่างไร”
เจี่ยงเหวินเฟิงตกใจเขาชูสามนิ้ว “ท่านหมายถึงคนผู้นี้หรือ”
“นอกจากเขาแล้วยังมีผู้ใดอีก”
เจี่ยงเหวินเฟิงแปลกใจ “ท่านทำอะไรเหตุใดถึง…”
ฟู่จินยิ้มเขาล้วงเอาผ้าไหมสีเหลืองออกมาแล้วโยนทิ้ง เจี่ยงเหวินเฟิงเห็นสีเหลืองสดใสนั้นก็ตกใจ “นี่มัน…”
“ดูสิ!” ฟู่จินพูดพลางแกะเปลือกถั่ว เจี่ยงเหวินเฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาคิดจะลุกขึ้นทำความเคารพ แต่ก็ถูกรั้งเอาไว้ “ไม่จำเป็นแค่ดูก็พอ”
หืม…เจี่ยงเหวินเฟิงแปลกใจเขาหยิบมันขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก และคลี่ออก...
“อาจารย์! ปลอมแปลงพระราชโองการถือเป็นโทษมหันต์นะขอรับ!”