“รายงานฉุกเฉิน” หลู่เฉียนได้ยินสี่คำนี้ก็รู้สึกเหมือนหัวใจบีบรัดเขาเปิดปากพูดว่า “นำเข้ามา”
เขาคือหลู่เซียงดังนั้นจึงต้องให้เขาอ่านก่อน
หลู่เฉียนเปิดมันอย่างรวดเร็ว และอ่านรายงานทั้งหมดอย่างละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบ
อ่านรอบแรกก็รู้สึกยินดีที่สงครามนี้ได้รับชัยชนะ ชายแดนถูกขยายออกไปถึงเหลียงชวน หูเหรินถูกไล่ไปยังส่วนลึกของทุ่งหญ้าชายแดนซีเป่ยจะอยู่ในความสงบอย่างน้อยยี่สิบถึงสามสิบปี
ความสำเร็จเช่นนี้ไม่ทำให้ฮ่องเต้ไท่จู่ผิดหวัง แต่อ่านรอบสองเขาก็ต้องเลิกคิ้ว รายงานสงครามเขียนเกี่ยวกับการจัดกระบวนทัพสั้นๆ แต่อธิบายถึงการฝึกทหารชั้นยอดอย่างลับๆ ของหยางชูด้วยค่ายกลห่วงคู่เรียกรวมตัวนักรบเกราะเหล็กเพื่อร่วมมือกันทำลายปีกซ้ายขวาของทหารเผ่าหู และพูดอย่างไม่อายว่านี่คือกุญแจสู่ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ในการต่อสู้ครั้งนี้ถือเป็นความดีความชอบอันดับต้นๆ เลย
จนกระทั่งรอบที่สามหัวใจของผู้อาวุโสหลู่แทบหล่นไปอยู่ตาตุ่ม
รายงานสงครามฉบับนี้เป็นวิธีการอธิบายของจงซู่ แต่เป็นลายมือของกัวสวี่ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือทั้งคู่เห็นด้วยกับผลลัพธ์นี้ จะบอกว่าข่าวลือนี้ไปไม่ถึงซีเป่ย หลู่เฉียนไม่มีทางเชื่อ กองทหารของจงซู่ที่อยู่ด้านนอกมักจะใส่ใจกับทิศทางของลมในเมืองหลวงเสมอ
ในรายงานสงครามครั้งก่อนมีการกล่าวถึงหยางชูแค่ประโยคเดียวซึ่งแสดงให้เห็นว่าทั้งสองคนรู้ข้อห้ามของฮ่องเต้ดี
ในเมื่อพวกเขารู้ว่าฮ่องเต้ไม่พอพระทัยอีกทั้งยังได้ยินข่าวลือก่อนหน้านี้อีก แต่ก็ยังโอ้อวดคุณงามความดีทางด้านทหารของหยางชูอย่างยิ่งใหญ่ เช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน
พวกเขาปกป้องหยางชู!
หลู่เฉียนสูดหายใจเข้าลึกๆ นี่เป็นผลลัพธ์ที่ฟู่จินขอให้เขารอหรือไม่
“ผู้อาวุโส ผลลัพธ์ไม่ดีหรือ” เจ้าหน้าที่ถามอย่างระมัดระวัง
หลู่เฉียนเงยหน้าขึ้นเห็นทุกสายตาจับจ้องมาที่เขาจึงส่งรายงานสงครามให้
“พวกท่านดูเองเถอะ”
รายงานสงครามถูกส่งไปยังราชสำนักโดยตรงทำให้ไม่มีที่ว่างให้จัดการอะไรเลย กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือแม้ฮ่องเต้จะไม่พอพระทัย แต่ความดีความชอบของหยางชูก็เป็นที่ชัดเจนแล้ว
แน่นอนว่าผู้อื่นเห็นเนื้อหาของรายงานสงครามนี้ดีใจกันยกใหญ่ เจ้าหน้าที่บางคนถึงกับหัวเราะแล้วกระโดดโลดเต้นไปบนเก้าอี้ด้วยความดีอกดีใจ
นี่เป็นความสำเร็จที่ไม่เคยมีมาก่อนในสี่สิบแปดปีนับตั้งแต่ก่อตั้งอาณาจักร!
เมื่อหนึ่งปีที่แล้วจงซู่ได้ส่งรายงานสงครามเกี่ยวกับทุ่งหญ้ามายังราชสำนัก ซึ่งมีการถกเถียงกันอย่างดุเดือด
หลังจากอยู่ในความสงบมาสี่สิบแปดปีทำให้หลายคนกลัวการต่อสู้ ทางเหนือมีเผ่าหู ทางใต้มีแคว้นฉู่ ปีนั้นฮ่องเต้ไท่จู่ไม่สามารถรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งเดียวกันได้แล้วพวกเขาจะทำได้หรือ
แต่ก็มีคนสนับสนุนอย่างแข็งขันในการออกรบเผ่าหูกำลังตกอยู่ในความวุ่นวายเป็นโอกาสที่ดีเช่นนี้หากไม่คว้าไว้การรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งเดียวคงเป็นได้แค่ความฝันจริงๆ
ในท้ายที่สุดผู้อาวุโสหลู่เฉียนในวัยเจ็ดสิบปีได้แสดงความเห็นว่า หูเหรินขยับกระบี่อย่างเหี้ยมหาญ การออกรบจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้กองทัพซีเป่ยติดอยู่ในเมืองที่ถูกปิดล้อม แต่ก็ยังคงประสบความสำเร็จในการเอาชนะศัตรูทั้งที่ศัตรูมีจำนวนมากกว่าทำให้ไม่ง่ายที่จะเขย่าขวัญกำลังใจของกองทัพ
ดังนั้นฝ่ายสนับสนุนสงครามสามารถเอาชนะฝ่ายสันติภาพได้แม้แต่ความประสงค์ของฮ่องเต้ก็ถูกพวกเขาปฏิเสธกลับไป
หากจงซู่ไม่สามารถส่งมอบรายงานสงครามได้พวกฝ่ายสนับสนุนสงครามแม้จะไม่ถูกตัดสินถูกผิดหลังเกิดเรื่องราวหาความรับผิด แต่ก็รู้สึกละอายใจ
ตอนนี้จงซู่ไม่เพียงส่งมอบรายงานสงคราม แต่ยังชนะสงครามทั้งหมดด้วย!
ซีเป่ยอยู่ในความสงบแล้ว! เส้นเขตแดนถูกขยายไปยังเหลียงชวน! นี่คือความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของการเปิดพรมแดน!
หลังจากตื่นเต้นเสร็จเจ้าหน้าที่ก็เริ่มพูดคุยกันว่าควรจะให้รางวัลจงซู่อะไรดี
ตระกูลจงมีความดีความชอบทางทหารมาหลายชั่วอายุคน จงซู่ก็อยู่ในตำแหน่งกั๋วกงมานานแล้ว ตำแหน่งนี้ไม่มีรางวัลมอบให้อีกทั้งไม่สามารถแต่งตั้งเป็นอ๋องได้ คนนอกราชวงศ์จะได้รับตำแหน่งอ๋องก็ต่อเมื่อเสียชีวิตไปแล้วไม่เช่นนั้นไม่ว่าความดีความชอบทางทหารจะยิ่งใหญ่เพียงใดก็จะไม่มีตัวเลือกนี้
ถ้าเช่นนั้นต้องให้รางวัลอย่างอื่นให้ร่มเงาแก่ลูกหลานด้วยการมอบบรรดาศักดิ์เก๊ามิ่ง[1]แก่สมาชิกในครอบครัวที่เป็นหญิง หรือมอบราชทินนามที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ จริงสิ สมรสพระราชทานก็ได้
เป็นการหารือที่บรรยากาศคึกคักเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น แต่ก็มีคนที่นั่งมองดูรายงานสงครามอย่างสงสัย และขัดจังหวะการหารือของเพื่อนร่วมงาน
“เดี๋ยวนะ พวกท่านอ่านรายงานสงครามอย่างละเอียดแล้วหรือยัง จงซู่ไม่ได้เขียนถึงตัวเองเลยสักนิด แต่ผู้ที่ได้รับความดีความชอบเป็นคนแรกหมายถึงคนอื่น! ”
หืม…เหล่าผู้อาวุโสกรูกันเข้ามาอ่านรายงานการสงครามตั้งแต่ต้นจนจบอีกครั้ง ถึงได้พบเนื้อหาเบื้องหลังของรายงานนี้
หยางชู!
จงซู่กล่าวว่าผู้ที่มีความดีความชอบเป็นอันดับแรกคือบุตรชายตระกูลหยางจากจวนโป๋วหลิงโหวนามหยางชู เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลสนามเลี้ยงม้าเกาถางนามหยางชู!
ราชสำนักตกอยู่ในความเงียบ
หลังจากนั้นไม่นานมีคนพูดว่า “จงซู่เล่นตลกอะไรให้ความดีความชอบทางทหารกับเจ้าหน้าที่ดูแลสนามเลี้ยงม้าเนี่ยนะแล้วยังเป็นความดีความชอบอันดับแรกอีกด้วย”
บางคนตอบเสียงแผ่ว “เขาเป็นผู้บัญชาการกองบัญชาการจะให้ความดีความชอบแก่ผู้ใดก็เป็นสิทธิ์ของเขายิ่งไปกว่านั้นสงครามเป็นเรื่องเร่งด่วน เจ้าหน้าที่ดูแลสนามเลี้ยงม้าถูกเรียกเข้าร่วมสงครามชั่วคราวมันก็สมเหตุสมผล…”
จงซู่ยอมรับ กัวสวี่เองก็เห็นด้วย พวกเขาจะพูดอะไรได้อีก
ความดีความชอบในการรบครั้งนี้ทำให้ชื่อเสียงของจงซู่โด่งดังถึงขีดสุด แม้แต่ฮ่องเต้เองก็ไม่สามารถไม่ให้เกียรติเขาในตอนนี้ได้
ยิ่งไปกว่านั้นชัยชนะครั้งใหญ่นี้จะต้องรายงานไปยังแต่ละเมืองจงซู่ตั้งใจแน่วแน่พวกเขาทำได้เพียงยอมรับ เพียงแต่คนที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นขุนนางใกล้ชิดฮ่องเต้ มีหรือจะไม่รู้ความคิดของพระองค์
พวกเขาเลี่ยงไม่ได้ที่จะก่นด่าในใจจงซู่บ้าไปแล้วหรืออย่างไร ขัดต่อพระประสงค์ของฮ่องเต้ ความดีความชอบยิ่งใหญ่เท่าไรไม่ช้าก็เร็วจะถูกชำระบัญชี
ช่างเถอะ จงซู่หาเรื่องตายเองก็ปล่อยเขาไป ดังนั้นรายงานการสงครามนี้จึงถูกส่งไปยังฮ่องเต้ในวันเดียวกัน
ต่อหน้าขุนนางทั้งหลายฮ่องเต้ทำเป็นรู้สึกยินดี ฮ่องเต้ผู้มีความสุขได้สั่งให้จัดงานเลี้ยง ณ ที่นี่เพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะครั้งใหญ่
ข่าวแพร่กระจายสู่สถานที่ชุมชนอย่างรวดเร็วทั้งเมืองหยุนจิงมีแต่ความยินดี ตระกูลร่ำรวยแจกจ่ายเงินใส่ซอง เหล่าพ่อค้าต่างลดราคาสินค้า ผู้คนต่างพูดถึงรายละเอียดของสงครามราวกับได้เห็นกับตา
คุณชายสามตระกูลหยางที่ตกอับจนต้องออกจากเมืองหลวงผู้นั้นกลับมาอยู่ในสายตาของพวกเขาเรียกว่าได้เปลี่ยนแปลงเป็นคนใหม่
เมื่อเทียบกับแม่ทัพจงที่มีชื่อเสียงแล้ว คุณชายผู้สูงศักดิ์จอมเสเพลที่ถูกไล่ออกจากเมืองหลวง สองปีต่อมาเขาฟื้นคืนชีพด้วยการสร้างความดีความชอบทางทหารจนกลายเป็นที่พูดถึงได้ทั่ว
ดังนั้น ร้านอาหาร โรงน้ำชาที่ยังไม่ลืมอดีตนี้ ต่างก็พูดถึงอดีตของคุณชายสามจากตระกูลหยางว่าเขาเป็นคนเจ้าชู้ ไร้สาระเพียงใด เป็นพวกก่อกวน สำมะเลเทเมาแค่ไหน ในตอนที่ถูกไล่ออกจากเมืองหลวงจะตกระกำลำบากเพียงใด
แม้แต่นางคณิกาที่เคยมีเรื่องอื้อฉาวกับคุณชายสามพวกนั้นล้วนเป็นเพราะมีแขกทยอยกันมาอย่างไม่ขาดสายสถานะของพวกเขาจึงสูงขึ้น
ข่าวลือนั้นถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้…หลังจากงานเลี้ยงสิ้นสุดลงฮ่องเต้กลับไปที่ท้องพระโรง ตะเกียงถูกจุดขึ้นสองสามจุดนางในถูกฮ่องเต้ไล่ให้ถอยออกไป
ข้ารับใช้ถือแส้ขนหางจามรีเข้ามาในท้องพระโรงอย่างรีบร้อนแล้วโค้งคำนับอย่างสุภาพ
“บ่าว หลิวชวงซี ถวายพระพรฝ่าบาท”
ฮ่องเต้นั่งเหม่อลอยอยู่บนบัลลังก์มังกรเมื่อได้ยินเสียงก็เบนสายตาลงมาแล้วถามเสียงแหบ “ว่าอย่างไร”
หลิวกงกงก้มศีรษะลงและตอบว่า “ไม่มีข่าวจากค้างคาวราตรีพ่ะย่ะค่ะ”
เกิดความเงียบชั่วขณะฮ่องเต้กริ้วจัดเขายกแขนกวาดฎีกา พู่กัน หินหมึกบนโต๊ะทรงอักษรทั้งหมดออกไป
หลิวกงกงรีบคุกเข่าลง “บ่าวไร้ความสามารถ ขอฝ่าบาททรงพระทัยเย็น”
ฮ่องเต้ยิ้มเยาะ “หวงเฉิงซือของเจิ้นทำงานนี้ไม่สำเร็จด้วยซ้ำจะเก็บไว้ทำไมกัน พวกเขายังมีหน้ามาเรียกตนเองว่าค้างคาวราตรีอีกหรือ”
หลิวกงกงก้มศีรษะไม่พูดอะไร เขารู้ว่าในเวลานี้ต่อให้เขาจะโต้เถียงไปเพียงไรมันก็ไร้ประโยชน์ ฮ่องเต้จะยิ่งหงุดหงิด
การขยายอาณาเขตเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่เพราะเหตุการณ์นี้จะทำให้ชื่อเสียงของเขาถูกบันทึกในหนังสือประวัติศาสตร์
ในเรื่องที่น่ายินดีนี้มีเรื่องที่ทำให้เขาไม่พอใจ มีคำพูดมากมาย แต่พูดออกมาไม่ได้เหมือนมีชนักติดหลัง จะพ่นจะถอนอะไรก็ไม่ได้อีก
ฮ่องเต้สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วถามว่า “ความดีความชอบทางทหารนี้ทำได้แค่แต่งตั้งเป็นโหวใช่หรือไม่”
ในงานเลี้ยงเขาได้ยินพวกขุนนางหารือกันเรื่องราชทินนาม
หลิวกงกงคุกเข่าก้มต่ำ “บ่าวไม่ทราบเรื่องเหล่านี้พ่ะย่ะค่ะ”
“หึๆ!” ฮ่องเต้เตะโต๊ะทรงอักษรแล้วเดินจากไปด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
แต่เดินไปเพียงไม่กี่ก้าวเสียงว่านต้าเป่าก็ดังมาจากด้านนอก “ฝ่าบาท หลู่เซียงขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
…………….
[1] เก๊ามิ่ง : บรรดาศักดิ์ภรรยาของขุนนางระดับ 1 ถึงระดับ 5