ตอนที่ 852 เรื่องเข้าใจผิด เสียวิญญาณไปหนึ่ง
……….
นางฉินผู้เฒ่าตกอยู่ในอาการไม่ได้สติอีกครั้ง
ตอนที่ฉินหลิวซีมาถึง ได้ยินเสียงสะอื้นแผ่วเบาแว่วมาจากที่ไกลๆ เสียงนั้นเต็มไปด้วยความโศกเศร้า เมื่อเดินเข้าไปในเรือน เห็นทุกคนอยู่ครบ รวมถึงอนุวั่นด้วย
นี่คงกลัวว่าท่านย่าจะไม่รอดแล้วอย่างนั้นหรือ
สะใภ้เซี่ยเดินออกมา เอ่ยด้วยความร้อนรน “เร็ว ไปที่สำนักศึกษาพาเหล่านายน้อยกลับมา”
หากท่านย่าไม่รอดจริงๆ คงไม่อาจให้ไร้ลูกหลานชายอยู่เฝ้าข้างกายได้
นางมองเห็นฉินหลิวซีเห็นได้ชัดว่ามีความประหลาดใจเล็กน้อย แต่ไม่นานสายตาของนางพลันสว่างขึ้น เอ่ย “นางหนูซี ท่านย่าของเจ้าสลบไปอีกแล้ว เจ้า…”
ฉินหลิวซีรีบก้าวผ่านนางไปอย่างรวดเร็ว
สะใภ้เซี่ยยู่ปาก ตอนนี้รู้สึกกังวลขึ้นมาแล้ว ท่านย่าของเจ้าเป็นสภาพนี้แล้ว ยังไม่รู้จักอยู่บ้านดูแล ไม่รู้ไปที่ใดมา
ฉินหลิวซีเดินเข้าไปในห้องนอน เห็นเหล่าสะใภ้หวังและคนอื่นๆ ต่างก็อยู่ นางกวาดตามองไปทั่วห้อง พลางเอ่ย “ไม่ต้องกังวล ยังไม่ถึงเวลา” แม้ในห้องจะมีพลังหยินเล็กน้อย แต่ยังไม่มียมทูตมาเอาชีวิต แสดงว่านางยังอดทนได้อีกสักพัก
นางมองไปยังฮูหยินผู้เฒ่า เห็นว่าใบหน้าของนางซีดเหมือนกระดาษทอง หน้าอกพองยุบไม่มากนัก จึงหยิบเข็มทองออกมา
สะใภ้หวังเห็นนางกลับมา ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด จึงหลีกทางให้ เอ่ย “ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น เหมือนท่านย่าตกใจ แล้วเป็นลมไป”
ฉินหลิวซีใช้เข็มทองแทงเข้าไปในจุดสำคัญและค่อยๆ หมุนเข็ม จนเหงื่อออกที่หน้าผาก แต่ท่านย่าก็ยังไม่ฟื้น จึงขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้
นางปล่อยเข็มทองไว้ที่จุดสำคัญเพื่อยื้อชีวิต แต่ใช้สองนิ้วจับข้อมือของฮูหยินผู้เฒ่าเพื่อตรวจชีพจร ชีพจรยังคงอ่อนแรงและเชื่องช้า หัวใจเนิ่นนานกว่าจะเต้นสักครั้ง หากไม่สังเกตดีๆ บอกว่านางตายแล้วคนก็เชื่อ
“ซีเอ๋อร์ ท่านย่าของเจ้าไม่ไหวแล้วอย่างนั้นหรือ” สะใภ้หวังเห็นสีหน้าฉินหลิวซีไม่ดีนัก รู้สึกกังวลขึ้นมาในใจ อาจรอเจอพวกฉินปั๋วหงไม่ได้อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นเยี่ยนเอ๋อร์จะมาเจอท่านย่าได้หรือไม่ จะบอกกับคนในครอบครัวอย่างไร
ฉินหลิวซีเปิดเปลือกตาของฮูหยินผู้เฒ่าดู เอ่ยถาม “ผู้ใดเฝ้าอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าหรือ ไยถึงได้ตกใจเล่า”
ในห้องมีพลังหยินอยู่บ้าง มีวิญญาณพเนจรเร่ร่อนเข้ามาอย่างนั้นหรือ ไม่ควรจะเป็นเช่นนี้นี่นา ผีชายหญิงอยู่ในบ้านแล้ว วิญญาณผีน้อยทั่วไปคงไม่กล้าปรากฏตัวในนี้
“เป็นบ่าวเองเจ้าค่ะ” จวี๋เอ๋อร์เอ่ย “บ่าวเฝ้าอยู่ข้างเตียงตลอดเวลา ฮูหยินผู้เฒ่านอนหลับอยู่ตลอด จู่ๆ นางก็ตื่นขึ้นมานั่งตัวตรง มือทั้งสองข้างคว้าอะไรบางอย่างไปทั่ว ตะโกนร้องว่านางไม่ไป นางไปเช่นนี้ไม่ได้ จากนั้นก็เป็นลมไปเจ้าค่ะ ”
นางทำท่าทางเลียนแบบตอนฮูหยินผู้เฒ่าตื่นขึ้นมา ใบหน้าขาวซีด มีคำหนึ่งที่นางไม่กล้าเอ่ย นางรู้สึกว่าตอนนั้นฮูหยินผู้เฒ่าเหมือนถูกวิญญาณสิงและกำลังสนทนากับใครบางคน ทำให้นางรู้สึกขนลุก
แต่นางเป็นบ่าวรับใช้ รู้จักอ่านสีหน้าของนายเป็นความสามารถ โดยเฉพาะฮูหยินผู้เฒ่ายังป่วยหนักอยู่ แน่นอนรู้ว่าสิ่งใดควรเอ่ยสิ่งใดไม่ควรเอ่ย การเอ่ยว่าวิญญาณสิงนั้นเป็นเรื่องที่ไม่เป็นมงคล ถ้าเอ่ยไปจะทำให้เจ้านายไม่พอใจ จึงไม่สามารถเอ่ยได้
ฉินหลิวซีรู้สึกแปลกใจ นางครุ่นคิดชั่วครู่ หลับตาลงเบาๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้ง จรดนิ้วเป็ญสัญลักษณ์ ปากเริ่มท่องคาถาเบาๆ มองไปยังนางฉินผู้เฒ่า
ในที่ที่คนอื่นมองไม่เห็น วิญญาณของนางฉินผู้เฒ่าถูกฉินหลิวซีดึงขึ้นจากร่าง เมื่อเห็นแล้วจึงเข้าใจ
ที่แท้ก็เสียจิตวิญญาณไปหนึ่ง
ฉินหลิวซีดึงจิตวิญญาณที่เหลือและส่งกลับเข้าร่าง ถอนคาถา มองพลังหยินจางๆ ในห้องพลันเข้าใจขึ้นมาบ้าง
เกรงว่าคงมียมทูตเข้ามาเอาวิญญาณจริงๆ ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าตกใจ วิญญาณยังดึงไปไม่หมด แถมยังหายไปหนึ่งวิญญาณด้วย
“ซีเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้นหรือ”
ฉินหลิวซีเอ่ยตอบ “ฮูหยินผู้เฒ่าตกใจจนเสียวิญญาณหนึ่งไป จึงสลบไม่ฟื้น ข้าจะไปหาดู”
เพื่อไม่ให้คนอื่นตกใจ นางจึงไม่เอ่ยความจริง
เสียวิญญาณหรือ
ทุกคนต่างก็งุนงง
ฉินหลิวซีให้เถิงเจาที่รีบมาเพราะเพิ่งได้รับข่าวหยิบยันต์สีเหลืองและธูปมาด้วย เขียนวันเดือนปีเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าลงบนกระดาษ จากนั้นจุดธูปและยันต์ เริ่มทำพิธี
นางทำพิธีอยู่ในลานบ้าน ทุกคนต่างก็สงสัย นี่คือการเรียกวิญญาณหรือ
แต่ฉินหลิวซีไม่ได้เรียกวิญญาณของฮูหยินผู้เฒ่า นางเรียกยมทูตผู้ที่มาที่นี่เพื่อเอาวิญญาณ
ในเมื่อเจ้าคนนั้นมาเอาวิญญาณแต่กลับไม่เอาไป แต่วิญญาณยังหายไปหนึ่ง เขาควรรู้ว่าอยู่ที่ใด
แต่ว่าสิ่งที่มานี้คืออะไรกัน
หลังจากลมหยินเย็นยะเยือกพัดผ่าน เหล่าสตรีอดไม่ได้ที่จะกอดตนเอง หนาวจนฟันกระทบกัน รู้สึกเสียวสันหลังวาบ หนาวแทบไม่ไหว
ทุกคนมองตามทิศทางที่ฉินหลิวซีมองไป ว่างเปล่าไม่มีผู้ใด แต่ว่าไยจึงขนลุกอยู่ในใจเล่า
“ในเมื่อมาแล้ว” ฉินหลิวซีมองไปที่ยมทูตหน้าซีด บนศีรษะเขียนว่าในเมื่อมาแล้ว จากนั้นมองใบหน้าที่ดูเด็กเกินไปของเขา เอ่ย “เดี๋ยวนี้ตั้งชื่อกันง่ายๆ อย่างนี้เลยหรือ ก่อนหน้านี้มี ‘ลองมาดู’ ตอนนี้มี ‘ในเมื่อมาแล้ว’ เจ้าเพิ่งมาใหม่หรือ”
“ตอบท่าน ท่าน ท่าน ข้าน้อยเพิ่งเข้ามาได้ไม่ถึงสิบวัน ทักษะยังไม่ชำนาญ โปรดท่านให้อภัยด้วยขอรับ” ในเมื่อมาแล้วแทบร้องไห้
ผู้ใดเข้าใจบ้างว่าหลังจากสอบเข้าราชการได้มาไม่นาน เพิ่งรู้กระบวนการขั้นตอนการทำงาน ครั้งแรกก็มาเจอบ้านท่านผู้นี้ ยิ่งกลัวเข้าไปอีก ฮูหยินผู้เฒ่าผู้นั้นไม่ยอมให้ความร่วมมือ ไม่อยากไปไม่พอวิญญาณยังหนีไปหนึ่งดวง เขาตกใจกลัวจนต้องไปตามจับวิญญาณนั่นก่อน
แต่ใครจะรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่านั้นจะลอยเร็วมาก วิญญาณของนางเข้าไปในร่างของฮูหยินผู้เฒ่าอีกคนหนึ่งที่เพิ่งตาย สร้างความวุ่นวายที่นั่น
ลองถามดูว่ามีผู้ใดที่โชคร้ายเท่าเขาบ้าง
ยังไม่ทันได้ดึงวิญญาณฮูหยินผู้เฒ่าออกมาก็ถูกฉินหลิวซีเรียกมา รีบปรากฏตัวทันที
สอบเข้าราชการห้าสิบปีเพิ่งจะติด ยังไม่ทันได้ทำงานก็ทำเรื่องวุ่นแล้ว เขาตายแน่
ฉินหลิวซีฟังคำอธิบายติดๆ ขัดๆ ของเขา หลอดเลือดที่ขมับเต้นตุบๆ นี่มันเรื่องอะไรกัน
“ก่อนจะมา เจ้าควรดึงวิญญาณฮูหยินผู้เฒ่าออกมาก่อน เจ้ากลับปล่อยให้นางอยู่ในร่างนั้น แล้วตนเองกลับหนีไป ฮูหยินผู้เฒ่าผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ คนที่บ้านนั้นจะคิดอย่างไร” ฉินหลิวซีรู้สึกปวดหัว
ในเมื่อมาแล้วเอ่ยตอบอย่างน้อยใจ “ในข้อสามของคู่มือยมทูต ท่านมีคำสั่งใด ต้องปฏิบัติตามไม่ว่าฟ้าจะถล่ม ข้าน้อยเพียงทำตามกฎขอรับ”
ฉินหลิวซี “…”
เทพเฟิงตูกำลังไม่พอใจนางเพราะนางปล้นของจากเขา ตั้งใจแกล้งนางหรือ มิเช่นนั้นไยถึงมีกฎแบบนี้ ทำให้นางดูเหมือนคนเอาแต่ใจ กลัวนางโดนฟ้าผ่าไม่พอหรือ
จริงๆ ใจคอผีเลวร้ายจริงๆ
“รีบไปดึงวิญญาณฮูหยินผู้เฒ่ากลับมา ถ้าชักช้าจะยิ่งแย่”
ในเมื่อมาแล้วรีบตอบรับ ก่อนจะวิ่งออกไปทันที
นี่มันเรื่องผิดพลาดอะไรกัน
ฉินหลิวซีหันกลับมา เห็นทุกคนในลานมองนางด้วยใบหน้าซีดขาว จึงเอ่ย “ดูสิ อากาศเย็นจนหน้าพวกท่านซีดกันหมดแล้ว กลับไปเถอะ”
“เจ้า เจ้า เมื่อครู่เจ้าเอ่ยกับใคร” สะใภ้เซี่ยถามด้วยเสียงสั่น
ฉินหลิวซียิ้มกว้าง “จะใครเล่า ยมทูตที่มาเอาวิญญาณอย่างไรเล่า”
ตึง
สะใภ้เซี่ยหงายหลังล้มหมดสติ
เด็กๆ ที่เพิ่งรู้ตัวร้องเสียงหลง ล้มไปตามๆ กัน