คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า 851 ศิษย์น้องผู้นี้หน้าด้านเกินไปแล้ว

ตอนที่ 851 ศิษย์น้องผู้นี้หน้าด้านเกินไปแล้ว

ตอนที่ 851 ศิษย์น้องผู้นี้หน้าด้านเกินไปแล้ว

……….

โครม

ฉินหลิวซีลากเฉิงเจินจื่อพุ่งกระโจนออกมาจากปากถ้ำ เศษหินกระเด็นใส่ทั้งสองคน หินก้อนใหญ่หนึ่งก้อนตกใส่ขาของนาง ทว่าเฉิงเจินจื่อนั้นแย่กว่า ศีรษะโขกเข้ากับก้อนหินก้อนหนึ่ง เลือดไหลออกมาไม่หยุด

ฉินหลิวซีป้องศีรษะไว้ อดทนกับความเจ็บแล้วพยุงตัวลุกขึ้น คว้ามือเฉิงเจินจื่อลากไปข้างหน้า

เฉิงเจินจื่อ “…”

บรรพบุรุษน้อย ยังรู้อยู่ใช่หรือไม่ว่าข้าเป็นคนแก่แล้ว

เมื่อมาถึงที่ปลอดภัย ฉินหลิวซีทิ้งตัวลงนั่ง ก่อนจะมองไปยังถ้ำที่พังทลาย กัดฟันส่งเสียงหยันออกมาหนักๆ

เก่งนักนะ เพียงรูปปั้นเดียว ยังเล่นกลเช่นนี้กับข้าได้

ไม่พอใจ

เฉิงเจินจื่อลูบหน้าผากที่มีเลือดไหลออกมาเต็มมือ ไม่ได้ส่งเสียงใดออกมา มองไปยังถ้ำอีกครั้ง สีหน้าไม่น่ามองขึ้นมา

พวกเขาไม่ได้ทำสิ่งใดเลย ในถ้ำก็ไม่มีค่ายอาคม และฉินหลิวซีเพียงจับรูปปั้นนั้นก็ระเบิด แรงระเบิดรุนแรงจนแม้แต่ถ้ำยังถล่มลงมา

ฉินหลิวซีเห็นเฉิงเจินจื่อเลือดเต็มหน้า จึงหยิบเข็มเงินออกจากถุงใหญ่แล้วแทงเพื่อห้ามเลือดให้เขา จากนั้นก็หยิบขวดยาเล็กๆ ขึ้นมาโรยลงไป เลือดหยุดไหลอย่างรวดเร็ว

เฉิงเจินจื่อประหลาดใจไม่น้อย ที่แท้ในถุงนี้ใส่ของพวกนี้ไว้หรอกหรือ

“เจ้ามีฝีมือด้านวิชาการแพทย์ดีมาก” เลือดหยุดไหลเร็วเพียงนี้ หากไม่มีฝีมือจริงก็ทำไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการใช้เข็มเงินปักจุดห้ามเลือดอีก

ฉินหลิวซีเอ่ย “พอมีฝีมืออยู่บ้าง”

นางเลิกขากางเกงของตนขึ้น ขาเล็กของนางถูกหินกระแทก แต่ไม่มีเลือดออก มีเพียงรอยฟกช้ำสีดำม่วง กระดูกเองก็เจ็บเล็กน้อย

ตัวนางไม่มียาขี้ผึ้งสำหรับรักษารอยฟกช้ำ ฉินหลิวซีเองก็ไม่ได้สนใจ ปล่อยขากางเกงลง

“ไม่มียาหรือ” เฉิงเจินจื่อเห็นนางไม่ได้รักษาอาการบาดเจ็บที่ขา ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้

“แล้วที่นี่…” เฉิงเจินจื่อมองไปยังถ้ำ สีหน้าไม่ดี

“ถ้ำพังแบบนี้แล้ว คงหาอะไรไม่เจอแล้ว กลับเถิด” ฉินหลิวซีลุกขึ้น สีหน้าทะมึนเดินนำไป

พ่ายแพ้ในมือของปีศาจตนนั้นอีกครั้ง ทุกอณูขนของนางกระจายพลังว่านางไม่พอใจอย่างชัดเจน พลังกดดันที่บอกว่าอย่ามาเล่นกับข้า

เฉิงเจินจื่อไม่กล้าถามมาก เดินตามหลังนางไปเงียบๆ

สัญชาตญาณบอกเขาว่าอย่าถาม ถามไปก็หาเรื่องโดนต่อย

เมื่อทั้งสองกลับถึงอารามเป่าหวา เฉิงเจินจื่อให้นักพรตน้อยเอายาทาแก้ฟกช้ำมาให้ฉินหลิวซี ตนก็พันแผลสักหน่อย จึงกล้าเอ่ยถามเรื่องรูปปั้นนั้น

ฉินหลิวซีหน้าขรึม เอ่ย “ก็เหมือนกับชิงกู่จื่อนั่นแหละ ถูกลงคาถาบางอย่างไว้ หรือบางที นี่ก็คือคำเตือน”

“คำเตือนหรือ”

“ใช่ ก็คืออย่ายุ่งเรื่องชาวบ้านนั่นแหละ”

เฉิงเจินจื่อขมวดคิ้ว เอ่ยถาม “มารเอ้อฝูตนนั้น ต้องการอย่างไร”

ฉินหลิวซีไม่ได้บอกการคาดเดาของตนกับเขา เอ่ย “คงจะเตรียมการใหญ่แล้ว”

เฉิงเจินจื่อขมวดคิ้วไม่น่ามองยิ่งขึ้น

ฉินหลิวซีปรายตามองเขา “ในเมื่ออารามเป่าหวาเป็นสำนักที่มุ่งมั่นในทางที่ถูกต้อง เช่นนั้นก็น่าจะยินดีช่วยกำจัดตัวร้ายใหญ่ตัวนี้ใช่หรือไม่”

เฉิงเจินจื่อ “?”

สัญชาตญาณบอกเขาว่าประโยคนี้มีหลุมพราง

“แน่นอนอยู่แล้ว แต่ยามนี้ข้ามีตบะเพียงระดับสามเท่านั้น กลัวว่าจะ…”

“ศิษย์พี่มีความเมตตาแล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ยตัดวาจาของเขา เอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าขอเข้าไปดูตำราที่ไม่เปิดเผยในหอตำราของอารามเป่าหวาได้หรือไม่ โดยเฉพาะตำราเกี่ยวกับค่ายอาคมชั้นสูง ข้าเองไม่ปิดบัง ในมือข้ามีค่ายอาคมขังเซียน เพราะยังมีส่วนที่ขาดจึงไม่อาจสมบูรณ์ได้ ไม่รู้สามารถหาตำราของพวกท่านเป็นแรงบันดาลใจบ้างได้หรือไม่”

วาจาของนางนั้นมีหลุมพรางจริงๆ ไม่ควรรับข้อเสนอนี้ ผู้ใดจะเอาของล้ำค่าของสำนักออกมาให้ผู้อื่นดูง่ายๆ อย่างนั้นเล่า

ฉินหลิวซีอาจเห็นว่าเขาลำบากใจ จึงคลี่ยิ้มพลางเอ่ย “ข้าแค่ดู ไม่เอาไป” อย่างมากก็แค่คัดลอกไว้

“เอ่อ…”

“หากทำให้ค่ายอาคมนี้สมบูรณ์ได้จริง อนาคตใช้กับมารเอ้อฝูตนนั้นได้ อารามเป่าหวาก็จะได้รับบุญกุศลมากมายไปด้วย” ฉินหลิวซีวาดภาพให้เขาดู

กินหรือไม่ ไม่กินก็ต้องกิน

ฉินหลิวซีได้เข้าไปในหอตำราของอารามเป่าหวาที่เฉพาะศิษย์ในสำนักเท่านั้นที่สามารถเข้ามาดูได้ นางอยู่ในนั้นสามวันสามคืน ก่อนจะออกมาพร้อมกับตาขอบดำ ถือแผนภาพค่ายอาคมที่คัดลอกด้วยมือมาสิบแผ่น

เฉิงเจินจื่อเหลือบมอง ใบหน้าเขียวทันใด เจ้านี่ก็เกินไป (หน้าด้านเกินไป) หรือไม่

ฉินหลิวซียิ้มร่าเต็มหน้า เอ่ย “ศิษย์พี่เชิญนั่งก่อน ข้าจะตรวจชีพจรให้ท่าน แล้วแทงเข็มเพื่อช่วยเปิดทางเดินลมปราณให้ท่าน ชี่จะไหลเวียนราวกับน้ำ อีกทั้งใช้สูตรยาบำรุงร่างกาย บาดแผลนานหลายปีของท่านนี้ก็จะหาย การบำเพ็ญก็จะได้ผลดีขึ้น”

เฉิงเจินจื่อใจเต้นแรง “แผลเก่าแม้จะนานแล้วก็ยังรักษาได้หรือ”

“แน่นอน ข้าก็หวังให้ศิษย์พี่หายดี บรรลุพื้นฐานอย่างเร็ว” เพื่อจะได้ร่วมกันต่อสู้ในอนาคต

ผู้ใดไม่อยากให้ตบะการฝึกเพิ่มขึ้นบ้างเล่า เฉิงเจินจื่อก็เช่นกันจึงแสดงความมีมารยาทเล็กน้อย ทำเป็นไม่เห็นการที่นางเก็บแผนภาพค่ายอาคมลงในแขนเสื้อ

ทั้งหมดนี้เพื่อปวงชนบนโลก คิดว่าบรรพบุรุษคงไม่โกรธข้า

ฉินหลิวซีแทงเข็มอย่างรวดเร็วและมั่นคง ระหว่างที่ทิ้งเข็มไว้ นางก็เขียนใบสั่งยาตามชีพจรของเขา เมื่อถอนเข็มออกแล้ว นางจึงยื่นใบสั่งยาไปให้เขา

เฉิงเจินจื่อรับมา เหลือบมองเล็กน้อย เอ่ย “ถ้าได้ผลจริง ศิษย์พี่จะขอบคุณเจ้า”

“ไม่เป็นไร”

ฉินหลิวซีได้ผลประโยชน์ไม่น้อย ออกจากอารามเป่าหวาก็ตรงกลับตระกูลฉินทันที นางเอาสมุนไพรที่ได้มาไปเก็บในค่ายอาคมรวมวิญญาณในห้องยา ตรวจสอบดูว่าสมุนไพรสำหรับปรุงยาเสริมพื้นฐานขาดเพียงแค่เห็ดหลินจือพันปี อีกทั้งยังต้องมาจากดินแดนแห่งความว่างเปล่านอกสามโลกนั้นซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุด

ดินแดนแห่งความว่างเปล่า ซึ่งล่องลอยอยู่นอกสามโลก ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของสวรรค์ โลก และมนุษย์ การเข้าไปนั้นง่าย แต่การกลับออกมาเป็นเรื่องยาก

หากไม่มีเห็ดหลินจือจากนอกทั้งสามโลก ก็สามารถใช้จากในสามโลกได้ แต่ประสิทธิภาพของยาอาจจะไม่ดีเท่าในดินแดนแห่งความว่างเปล่า

ดังนั้น เพื่อให้สำเร็จ ต้องเตรียมสองทาง หากไม่มีเห็ดหลินจือพันปี ต้องเตรียมเห็ดหลินจือที่มีอายุมากกว่าหนึ่งร้อยปีขึ้นไป และเกิดจากพลังธรรมชาติ อยู่ในพื้นที่มีพลังไหลเวียน

ฉินหลิวซีมองสมุนไพรที่นางรวบรวมมา ถอนหายใจยาว เพื่อความปลอดภัย นางเสริมค่ายอาคมที่นอกค่ายรวมวิญญาณ แม้ไม่มีผู้ใดสามารถแอบเข้ามาขโมยของในยามที่มีผีชายหญิงเฝ้า แต่หากเกิดขึ้นได้เล่า

สมุนไพรเหล่านี้คือชีวิตของตาเฒ่า นางไม่กล้าประมาท นางไม่อาจเดิมพัน

ฉินหลิวซีเสริมค่ายอาคมให้แน่นหนาแล้วออกจากห้องยา เปลี่ยนเส้นทางไปยังห้องของฉินหมิงเยี่ยน เขากำลังนอนอยู่บนเตียง มองไปที่แผนที่เส้นเลือดและเส้นประสาทของร่างกายที่แขวนอยู่ที่ปลายเตียง เมื่อเห็นนางมา ตาพลันสว่าง

“ท่านกลับมาแล้ว”

ฉินหลิวซีเดินเข้าไป มองแผนภาพเส้นเลือดและเส้นประสาท เอ่ย “ขยันดีนะ ยังท่องจำแผนภาพด้วย”

ฉินหมิงเยี่ยนหน้าแดงเล็กน้อย เอ่ย “นอนเฉยๆ ก็เบื่อ ดูสักหน่อยก็ท่องจำได้คล่องแล้วขอรับ”

“เป็นเช่นนั้น ถูกต้อง เจ้าต้องทำจนสามารถสัมผัสและบอกได้ว่ากระดูกแต่ละชิ้นคือส่วนใดกระทั่งหลับตา ถือว่าบรรลุแล้ว”

“อืม”

“เถิงเจา เถิงเจามาเร็ว” เสียงร้องดังจากข้างนอก

ฉินหลิวซีขมวดคิ้ว ให้ฉินหมิงเยี่ยนนอนต่อ ตนเองเดินออกไป มองเห็นฉินหมิงซินวิ่งเข้ามาหน้าซีด เอ่ยเสียงเข้มถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”

“ท่านอยู่หรือ เร็วเข้า ท่านย่าไม่ไหวแล้ว” ฉินหมิงซินกระทืบเท้าร้อง

คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Score 10
Status: Completed
คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า นางคือปรมาจารย์ปู่ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น! รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาชีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่ง ฉินหลิวชี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเดำเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไป เบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู่ฉิว ผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงิน ปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิด เมื่อโชชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่นปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้ เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมรื่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัว เฮ้อ แม้ไม่หวังการก้วหน้าใดๆ แต่สรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเขียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้า เขาก็ดั้นดันเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า! "เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ" "ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ" "ไม่ป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง" "ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า" ฉีเซียนเอ่ย "ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป..." ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ "เดิมที่ท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน" "..."

Options

not work with dark mode
Reset