คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า 850 ให้ตายเถอะ พังอีกแล้ว

ตอนที่ 850 ให้ตายเถอะ พังอีกแล้ว

ตอนที่ 850 ให้ตายเถอะ พังอีกแล้ว

……….

ขณะที่เดินไปยังถ้ำที่อยู่ของชิงกู่จื่อ เฉิงเจินจื่อมองไปยังฉินหลิวซีที่เดินสบายใจอยู่ข้างๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ในหัวยังมีคำเอ่ยของนางดังก้องไปมา

ข้าสังหารเขาทางอ้อม

น้ำเสียงนั้นสบายๆ ไม่ใส่ใจราวกับเพียงตัดคอไก่ไปหนึ่งตัวเท่านั้น

“มีออะไรก็เอ่ยมาตรงๆ ไม่จำเป็นต้องมีท่าทีอึกอัก เราเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน หากท่านสงสัย ข้าจะช่วยไขข้อข้องใจให้”

เฉิงเจินจื่อคิดอยู่ชั่วครู่ เอ่ย “เขาตายแล้วจริงๆ หรือ”

“ระเบิดตนเอง รวมถึงวิญญาณด้วย ท่านคิดว่าอย่างไรเล่า” ฉินหลิวซีตอบกลับหนึ่งประโยค

เฉิงเจินจื่อเงียบไป สายตามีความซับซ้อนอยู่บ้าง ดังนั้น คนผู้นั้นหายไปจากโลกนี้แล้วจริงๆ แม้แต่จิตวิญญาณก็ไม่มีอยู่แล้วอย่างนั้นหรือ

ฉินหลิวซีเอ่ย “การระเบิดตนเองไม่ใช่ความเต็มใจของเขา เป็นฝีมือของผู้ที่อยู่เบื้องหลังเขา เหมือนกับคำต้องห้าม ไม่ให้เขาเอ่ยถึงเรื่องของคนผู้นั้น”

“ผู้ใดเล่า”

ฉินหลิวซีมองไปที่เขา เอ่ย “เขาเป็นอาจารย์ของท่าน ในเมื่อหลายสิบปีก่อนที่เขาก็จ้องจะทำร้ายตระกูลอวี้ ท่านไม่รู้เพราะเหตุใดเลยหรือ หรือท่านควรจะบอกมาว่าท่านกับอาจารย์ของท่านมีเรื่องขัดแย้งกันเพราะอะไร คงไม่ใช่เพียงเพราะตำแหน่งเจ้าอาวาสนี้จริงๆ กระมัง”

เฉิงเจินจื่อเม้มริมฝีปาก เอ่ย “แน่นอนว่าไม่ใช่ เขาเป็นศิษย์สายตรงของท่านอาจารย์ปู่ เดิมทีก็ต่อสืบทอดตำแหน่งเจ้าอาวาสต่อไป และได้เตรียมตัวรับตำแหน่งแล้ว แต่เขากลับช่วยตระกูลอวี้ปรับดวงชะตา และใช้โชคลาภของผู้อื่นเพื่อเสริมโชคลาภ การปรับดวงชะตานี้ หากเป็นเรื่องคนใช่ว่าจะไม่ได้ แต่ถ้าใช้วิญญาณของผู้อื่นเพื่อปรับ เท่ากับการแย่งชิงโชคชะตาความโชคดีและอายุขัยของผู้อื่น นี่เป็นการกระทำที่ชั่วร้าย ทำร้ายทั้งผู้อื่นและตนเอง สูญเสียคุณธรรมและผลบุญ ไม่ควรทำอย่างยิ่ง”

ฉินหลิวซีพยักหน้า มีเหตุผล

เฉิงเจินจื่อเอ่ยเสียงขรึม “รู้ว่าไม่ควรทำแต่ยังทำ เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง และเมื่อเส้นทางที่ผิดนี้เริ่มขึ้นแล้ว ก็ยากที่จะหยุดยั้งได้ และมันก็เป็นเช่นนั้น…”

เขาถอนหายใจยาว

“ในตอนนั้นอาจารย์ปู่เป็นคนแรกที่เห็นความผิดของเขา โกรธจนเกือบจะทำลายตบะของเขา ต่อมาไม่รู้อาจารย์ปู่ได้เอ่ยสิ่งใดกับเขา ให้เขาสาบานต่อหน้าเจ้าลัทธิเต๋า ว่าเขาจะไม่ถือว่าตนเองเป็นศิษย์ของอารามอารามเป่าหวาอีกต่อไป และจะไม่ทำร้ายอารามเป่าหวา เมื่ออาจารย์ปู่รับหยกคืนจากเขาแล้วก็ไล่เขาออกไป ประกาศให้ทุกคนในอารามได้รับรู้ เขาสร้างถ้ำแห่งหนึ่งเพื่อบำเพ็ญตบะที่ภูเขาของอารามเป่าหวา หลังจากเขาออกไป อาจารย์ปู่ได้ส่งมอบตำแหน่งเจ้าอาวาสให้ข้า ในช่วงสุดท้ายของชีวิตของอาจารย์ปู่ ข้าจึงได้รู้จากปากอาจารย์ปู่ เขาไม่ได้เป็นชิงกู่จื่อผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายอาคมดังเช่นเมื่อก่อนแล้ว แต่เป็นคนทรยศคนหนึ่ง เพราะเขามีความเชื่อใหม่ เหมือนเข้าสู่การเป็นมาร เขาบูชาเทพที่เรียกว่าซุนเฉินไม่ใช่อาจารย์ปู่ ไม่ละอายที่จะทำสิ่งที่ชั่วร้าย”

ฉินหลิวซีนึกถึงการกระทำของชื่อเจินจื่อที่ต้องการเปลี่ยนทุกคนให้เป็นสาวกของซื่อหลัวเจ้าชั่วนั่น แต่ชิงกู่จื่อไม่ได้เป็นเช่นนั้น จึงเอ่ย “เขาไม่แย่งตำแหน่งเจ้าอาวาสกับท่านและควบคุมอารามเป่าหวาหรือ”

“คำสาบานต่อหน้าเจ้าลัทธิเต๋าเหมือนกับการลงนามในสัญญา ถูกควบคุมโดยฟ้าดิน เขาผู้นั้น เป็นคนหยิ่งยโสโดยเนื้อแท้ เขาเป็นคนที่เมื่อยอมรับแล้วก็จะทำตามจนสุดทาง ในเมื่อจากไปแล้ว เขายอมสร้างสำนักของตนเองแทนที่จะกลับมาอารามเป่าหวาอีก”

“ฟังดูเหมือนท่านชื่นชมเขา”

เฉิงเจินจื่อถลึงตามองนางอย่างไม่พอใจ เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ตอนนั้นข้ายังเด็ก ข้าไม่เข้าใจว่าจู่ๆ ไยคนคนหนึ่งจึงเปลี่ยนไปได้มากเพียงนั้น ไยท่านอาจารย์จึงเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนแปลกหน้า ในวันที่ข้ารับตำแหน่งเจ้าอาวาส ข้าเกลียดเขาที่ทรยศอารามเป่าหวาไม่พอ ยังทำให้ท่านอาจารย์ปู่ตายอย่างไม่สบายใจ ข้าจึงตัดความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์ด้วยตนเอง มองว่าเขาเป็นศัตรู”

“นี่มีอะไรไม่เข้าใจเล่า เขาโดนล้างสมอง เหมือนกับคนโง่ที่เชื่อในพวกเทพปลอมเหล่านั้น เชื่อเพราะคำคุยโวโอ้อวดที่ดูน่าเชื่อถือ และผู้ที่อยู่เบื้องหลังเขาผู้นั้น ไม่ใช่คนธรรมดา เป็นบุคคลระดับสูงจริงๆ” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเย็น “ท่านเป็นเจ้าอาวาส คงสื่อสารกับเทพได้ ไม่ได้รับข่าวจากยมโลกว่ามีผีร้ายหนีออกมาหรอกหรือศาสนาพุทธและเต๋าต้องคอยระวังและต่อสู้”

เฉิงเจินจื่อชะงัก “หรือว่าผีร้ายตนนั้นคือ”

“ใช่แล้ว อย่างที่ท่านคิด คือซุนเฉินที่ชิงกู่จื่อบูชา บอกว่าเป็นผีร้าย แท้จริงแล้วคือพระพุทธเจ้าชั่วร้ายเมื่อหลายพันปีก่อน ถูกจับโดยศาสนาพุทธและเต๋าในตอนนั้นถูกคุมขังในนรกภูมิเป็นพันปียังหนีออกมาได้ ท่านว่าชิงกู่จื่อจะไม่บูชาเขาเหมือนเทพได้หรือ”

“แต่ข้าจำได้ว่า ข่าวจากผู้อาวุโสเฉินหวง[1]ถูกส่งมาเมื่อปีที่แล้วนี้เอง” เฉิงเจินจื่อสีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ เอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “แต่เขา เริ่มเมื่อสามสิบปีที่แล้วแล้ว…”

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ สีหน้าของเฉิงเจินจื่อเริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในเมื่อเป็นบุคคลที่เก่งเพียงนั้น เริ่มวางแผนไว้ตั้งนานก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

สีหน้าของเฉิงเจินจื่อตึงเครียดขึ้น หากเป็นเช่นนี้ มารเอ้อฝูตนนั้นจะต้องเป็นบุคคลที่ยากจะรับมือ แม้ว่าพวกเขาจะบำเพ็ญตบะ แต่จะสู้ผู้มีฝีมือระดับนั้นได้หรือ

“บังเอิญหรือ แต่ข้าหลอกเอาคำตอบมาแล้ว”

หัวใจของเฉิงเจินจื่อจมลง มองไปยังถ้ำที่อยู่ข้างหน้า รู้สึกเหมือนมันเป็นสัตว์ร้ายที่อ้าปากเผยเขี้ยวอยู่

ฉินหลิวซีมองถ้ำตรงหน้า ยังร่ายค่ายอาคมไว้ด้วย แต่ก็ไม่ยากเกินไปสำหรับนาง

นางเริ่มเดินตามทิศทางและดึงเฉิงเจินจื่อที่ยังนึ่งงันอยู่ไปด้วย เอ่ย “ไม่ต้องคิดไปเรื่อยแล้ว ที่นี่มีค่ายอาคมท่านดูไม่ออกหรือ”

เฉิงเจินจื่อได้สติกลับมา เหลือบมอง ขนลุกขึ้นมา นี่มันค่ายอาคมสังหาร

“ขอยืมแส้หางม้าสักหน่อย” ฉินหลิวซีหยิบแส้หางม้าของเขาไป โบกเบาๆ เพื่อให้ผลึกในสองตำแหน่งลอยออก จากนั้นใช้ปลายด้ามทิ่มไปที่จุดศูนย์กลางของค่ายอาคม

เสียงระเบิด ปัง เบาๆ ดังขึ้น ควันสีเขียวพวยพุ่ง ค่ายอาคมถูกทำลาย

เฉิงเจินจื่อ: “…”

ค่ายอาคมนี่ถูกทำลายเร็วเกินไปหรือไม่

เขาเข้าใจในทันทีที่นางบอกว่านางสังหารชิงกู่จื่อทางอ้อม นั่นอาจจะเป็นเรื่องจริง

ศิษย์น้องตัวแสบนี้มีความสามารถขนาดนี้จริงๆ

เพียงแต่การใช้แส้หางม้าของเขาแหย่ไปในดินนั้น จริงๆ แล้วเป็นการตั้งใจระบายความโกรธใช่หรือไม่

เฉิงเจินจื่อรับแส้หางม้าที่นางส่งคืนมา เช็ดปลายด้ามที่เปื้อนดินอย่างเงียบๆ

ฉินหลิวซีไม่รับรู้ว่าคนที่อยู่ข้างหลังคิดสิ่งใดอยู่ เพียงมองไปยังถ้ำที่ดูธรรมดา สัมผัสรู้ถึงพลังด้านใน ก่อนจะเดินเข้าไป

ถ้ำไม่ใหญ่มาก ไม่มีสิ่งของมากมาย มีเพียงชุดคลุมเต๋าสองชุด ของที่ใช้ในการสร้างค่ายอาคม เตียงหินสำหรับนั่งสมาธิ รวมไปถึงโต๊ะบูชาที่มีรูปปั้นเทพเจ้าเปล่งแสงสีแดงอยู่

ฉินหลิวซีเดินเข้าไป รูปปั้นนี้หลับตา มีเส้นขอบตายาว ริมฝีปากบาง นั่งขัดสมาธิ มือทั้งสองวางอยู่บนเข่าทำท่าดอกบัว

“นี่คือซุนเฉินผู้นั้นหรือ” เฉิงเจินจื่อเดินเข้ามาดู หัวคิ้วขมวดขึ้น

ชิงกู่จื่อบำเพ็ญตบะอยู่ที่นี่ แม้ว่าเขาจะเคยมาที่ถ้ำนี้เพื่อหยุดชิงกู่จื่อไม่ให้ลงมือกับตระกูลอวี้อีก ทว่าก็ไม่เคยเข้ามาในถ้ำนี้มาก่อน และไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ที่นี่

ฉินหลิวซีมองไปที่หน้าของรูปปั้น แตกต่างจากพระพุทธเจ้าองค์ที่ชื่อเจินจื่อบูชา รูปปั้นนี้มีหน้าตาธรรมดา ถ้าอยู่ในฝูงคนจะไม่สามารถจำได้แบบนั้น เป็นการตั้งใจทำให้เป็นเช่นนี้ หรือว่ามันเป็นเช่นนี้จริงๆ

นางกำลังยื่นมือไปจับรูปปั้นนั้นเพื่อดูให้ชัด ทันใดนั้นพลันนางก็รู้สึกหนาวเย็นที่ร่าง รีบขว้างรูปปั้นออกไป ตนเองกลับลากเฉิงเจินจื่อวิ่งออกไปจากถ้ำอย่างรวดเร็ว

เสียงระเบิดดัง ตูม ขึ้นมา รูปปั้นแตกสลาย ถ้ำสั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่ง

ให้ตายสิ พังอีกแล้ว

[1] เซี้ยฮ้วงเอี๋ย หรือเฉินหวงกง หรือเจ้าพ่อหลักเมืองของจีน มีหน้าที่เชื่อมต่อโลกมนุษย์และสวรรค์หรือนรก ภายหลังเซี้ยฮ้วงเอี๋ยได้ถูกย้ายลงไปคุมนรก

คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Score 10
Status: Completed
คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า นางคือปรมาจารย์ปู่ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น! รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาชีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่ง ฉินหลิวชี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเดำเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไป เบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู่ฉิว ผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงิน ปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิด เมื่อโชชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่นปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้ เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมรื่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัว เฮ้อ แม้ไม่หวังการก้วหน้าใดๆ แต่สรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเขียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้า เขาก็ดั้นดันเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า! "เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ" "ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ" "ไม่ป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง" "ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า" ฉีเซียนเอ่ย "ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป..." ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ "เดิมที่ท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน" "..."

Options

not work with dark mode
Reset