ตอนที่ 849 ข้าสังหารทางอ้อม
……….
เจ้าอาวาสอารามเป่าหวาก็มีอายุมากกว่าครึ่งศตวรรษแล้ว ร่างกายผอมบาง ดวงตาเคร่งขรึม อยู่ในชุดเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้ม ใส่หมวกสูงสีดำ มีผ้าไหมสีดำห้อยอยู่ด้านหลังของหมวก สวมเสื้อคลุมผ้าบางสีดำทับอีกชั้นหนึ่ง คาดด้วยสายรัดเอวสีขาวแขวนด้วยเครื่องรางหลายสี สวมรองเท้าสีเดียวกัน มือหนึ่งถือแส้หางม้า อีกมือหนึ่งสวมสร้อยลูกปัดลัทธิเต๋าที่ทำจากเส้นไหมห้าสี
การแต่งกายอย่างถูกต้องนี้ทำให้ดูสง่างามและแสดงถึงสถานะและตำแหน่งน่าเคารพนับถือของเขา คนอาศัยการแต่งกาย จริงใจไม่หลอกลวง เพียงแต่การหายใจดูไม่ค่อยสม่ำเสมอนัก
แต่ว่าเมื่อเทียบเจ้าอาวาสที่มีฉายาว่าเฉิงเจินจื่อผู้นี้กับอาจารย์เฒ่าของตนกลับเทียบกันไม่ได้ ทำให้รู้สึกราวกับฝ่ายดีกับคนป่าเถื่อนอย่างไรอย่างนั้น
ถุยๆ ตาเฒ่าป่าเถื่อนของนางน่ะ ยังมีศิษย์ที่มีความสามารถอย่างนางด้วย เขามีหรือไม่
ฉินหลิวซีมองพิจารณาเฉิงเจินจื่อ ในขณะที่อีกฝ่ายก็มองพิจารณานางเช่นกัน ฉินหลิวซีแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีครามชั้นดี เสื้อคลุมปักด้วยอักษรลัทธิเต๋า คาดสายรัดเอวสีขาว ถุงผ้าสีเขียวขนาดใหญ่หนึ่งใบแขวนอยู่บนเอว ใบหน้าอ่อนเยาว์ ดวงตาสดใสมีพลังและล้ำลึก ผมถูกมัดเป็นหางม้าสูง ใช้ปิ่นหยกสีขาวปักเอาไว้
ผู้นี้คือคนในลัทธิเต๋าเช่นเดียวกัน
เฉิงเจินจื่อรู้สึกแสบตาเล็กน้อยจากรัศมีสีทองรอบตัวนาง ทำให้เขาไม่กล้าจ้องมอง
เขาหลุบตาลงเพื่อซ่อนความตกใจในสายตา นั่นคือแสงทองแห่งคุณงามความดีใช่หรือไม่ ไยเด็กผู้นี้จึงมีมากมายเพียงนี้
“ข้าน้อยปู้ฉิวคารวะท่านเจ้าอาวาส” ฉินหลิวซีแสดงการคารวะ
เฉิงเจินจื่อเงยหน้า ขมวดคิ้วเล็กน้อย ล้อเล่นอะไรกัน ปู้ฉิวหรือ
“เจ้าเป็นใครมาจากที่ใด ศิษย์อาจารย์ผู้ใด”
ฉินหลิวซีเอ่ยตอบ “ข้ามาจากอารามชิงผิงเมืองหลี ศิษย์ของนักพรตชื่อหยวน ฉายาทางเต๋าปู้ฉิว”
ไม่น่าเชื่อว่าเป็นฉายาทางเต๋าจริงๆ ไยจึงฟังดูแปลเช่นนี้เล่า อารามชิงผิงเมืองหลี…ป่าเถื่อนหรือ มิเช่นนั้นจะตั้งฉายาทางเต๋าเช่นนี้ได้
เดี๋ยวก่อนนะ อารามชิงผิง ชื่อหยวนหรือ
“เจ้าคือศิษย์ของท่านอาจารย์ลุงชื่อหยวนหรือ” เฉิงเจินจื่อนึกขึ้นมาได้ นักพรตชื่อหยวนนั่นไม่ใช่นักพรต เรียกได้ว่าเป็นผู้สำเร็จบรรลุแล้ว เพราะตอนนั้นเขาตบะขั้นสูง เพียงเพราะต่อสู้กับศิษย์ทรยศในอารามชิงผิงทำให้ตบะถอยหลังไปอย่างมาก ในยามนั้นผู้คนในลัทธิเต๋าไม่น้อยรู้สึกเสียดายเป็นอย่างยิ่ง
อย่างไรลัทธิเต๋าในช่วงหลายสิบปีมานี้มีความเสื่อมถอย แต่ผู้บำเพ็ญเพียรที่มีพลังสูงเช่นนี้ เป็นความโชคดีของเต๋า ทว่าเพราะการต่อสู้ทำให้ตบะเสื่อมถอย จะไม่เสียดายได้อย่างไร
ตอนนั้นที่เขาเจอท่านอาจารย์ลุงผู้นี้ จิตใจและอำนาจสูงส่ง ต่อมาตบะเสื่อมลง ไม่เอ่ยถึงจะดีกว่า
แต่ตอนนี้คนตรงหน้านี้เป็นลูกศิษย์ของปรมาจารย์ชื่อหยวนอย่างนั้นหรือ
“ท่านรู้จักอาจารย์ของข้าด้วยหรือ”
เฉิงเจินจื่อใบหน้าอ่อนลงเล็กน้อย “แน่นอนว่ารู้จัก หลายปีก่อนเคยเจอท่านอาจารย์ลุง ตอนนั้นข้ายังเป็นเพียงศิษย์ที่คอยปรนนิบัติยกชายกน้ำอยู่เลย…”
เอ่ยถึงอาจารย์ ใบหน้าของเขาก็เย็นลงอีกครั้ง
ฉินหลิวซีดวงตาเป็นประกาย เอ่ย “ในเมื่อรู้จัก เช่นนั้นก็คุยง่ายแล้ว เข้าไปคุยด้านในหรือไม่”
เฉิงเจินจื่อเชิญนางเข้าไปในที่พัก รินน้ำชาขู่ติง[1]หนึ่งถ้วยแล้วผลักไปให้ มองฉินหลิวซีก่อนจะเอ่ย “จะว่าไป ข้ากับเจ้าก็ถือว่าอาวุโสเท่ากัน ไม่คิดว่าศิษย์ของอาจารย์ลุงจะยังเยาว์วัยถึงเพียงนี้ เป็นศิษย์คนสุดท้ายของเขาหรือ”
“ศิษย์สายตรง เพียงหนึ่งเดียว”
เฉิงเจินจื่อรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “รับเจ้าเพียงคนเดียวหรือ”
“รับข้าคนเดียวก็พอแล้ว ข้าคนเดียวเท่ากับสิบคน”
เฉิงเจินจื่อมองดูนางที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ สะอึกไปเล็กน้อย ยังเป็นเด็กอยู่จริงๆ
ไม่คิดว่าท่านอาจารย์ลุงจะรับศิษย์ที่หยิ่งและอวดดีเช่นนี้ ไม่กลัวลมหนาวแหลมคมยามนี้พัดมาเป่าลิ้นบ้างหรือ
“เขาสบายดีหรือไม่”
ฉินหลิวซีพยักหน้า “ยังสบายดี ตอนนี้กำลังปิดประตูบำเพ็ญเพียรอยู่ เอ่อ ศิษย์พี่ ข้ามีเวลาจำกัด เอ่ยถามตรงๆ ได้หรือไม่”
เฉิงเจินจื่อที่ดูอบอุ่นหายไป กลับมาเคร่งขรึมอีกครั้ง เอ่ย “นักพรตน้อยที่มาส่งข่าวบอกว่าเจ้าบอกว่าชิงกู่จื่อตายแล้วอย่างนั้นหรือ”
“อืม ท่านคำนวณดูแล้วมิใช่หรือ ไม่เช่นนั้นจะยอมพบข้าได้อย่างไร”
สีหน้าของเฉิงเจินจื่อเปลี่ยนไปทันที ริมฝีปากบางเม้มเป็นเส้นตรง เป็นความจริง
เมื่อครู่เขาคำนวณชีวิตของคนผู้นั้นด้วยดวงวันเกิดแล้วจริงๆ พบว่ามันว่างเปล่า แสดงว่าเขาตายแล้ว เพียงแต่ไยจู่ๆ จึงเป็นเช่นนี้เล่า
“ชิงกู่จื่อเป็นอะไรกับศิษย์พี่ท่าน” ฉินหลิวซีเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้เมื่อเห็นสีหน้าซับซ้อนของเขา
“เขาเป็นอาจารย์ของข้า” เฉิงเจินจื่อตอบด้วยใบหน้าอดทนอดกลั้น
ฉินหลิวซีหรี่ตา “อาจารย์ของท่านหรือ”
นางดูโหงวเฮ้งเฉิงเจินจื่ออีกครั้ง เห็นว่าไม่มีกรรมปกคลุมแม้แต่น้อย กระทั่งมีแสงแห่งคุณธรรมอยู่ในตัว แสดงว่าเขาประพฤติตนอย่างถูกต้อง เช่นนั้นเขาไม่ได้มีส่วนร่วมในเรื่องเลวร้ายของชิงกู่จื่อใช่หรือไม่
“เอ่ยให้ถูก คือเขาเคยเป็นอาจารย์ของข้า ตั้งแต่ข้ารับตำแหน่งเจ้าอาวาสอารามเป่าหวา เขาก็ไม่ใช่อาจารย์ของข้าอีกต่อไป เราได้รายงานให้สวรรค์รับรู้ถึงการตัดขาดความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์แล้ว” เฉิงเจินจื่อเอ่ย
ฉินหลิวซีหูผึ่งตั้งใจฟัง ที่นี่มีเรื่องซุบซิบแน่ ศิษย์อาจารย์กลายเป็นศัตรูเพราะแย่งตำแหน่งเจ้าอาวาสหรือ
“พวกท่านแย่งตำแหน่งนี้จนกลายเป็นศัตรูกันหรือ” เอ่ยถามออกไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ไม่เช่นนั้นจะรบกวนใจจนนอนไม่หลับ
เส้นเลือดที่ขมับเฉิงเจินจื่อเต้นกระตุก “เอ่ยเหลวไหลอะไร”
ฉินหลิวซีเลิกคิ้ว “ถ้าเช่นนั้นก็เพราะเขาประพฤติตนไม่ถูกต้อง เรียนวิชาผิดบาปใช่หรือไม่”
สายตาคมของเฉิงเจินจื่อจ้องมายังนาง
“ดูจากท่าทางของศิษย์พี่แล้ว ดูเหมือนข้าจะกล่าวถูกแล้ว” ฉินหลิวซีเคาะโต๊ะ เอ่ย “เช่นนั้นศิษย์พี่ท่านก็รู้ว่าเขาแสร้งทำเป็นช่วยตระกูลอวี้ แท้จริงแล้วทำเพื่อแย่งชิงโชคชะตาของตระกูลอวี้น่ะสิ”
มือของเฉิงเจินจื่อสั่น ไม่ได้เอ่ยตอบ
ทว่าบางครั้งความเงียบก็เป็นการตอบประเภทหนึ่งแล้ว
ฉินหลิวซีตกใจเล็กน้อย “ศิษย์พี่รู้ ทว่าแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไม่ห้ามปราม เห็นแก่ความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์ หรือจงใจให้เป็นเช่นนั้น ถึงได้มองดูเงียบๆ ด้วยความเฉยชา”
“ไม่ใช่” เฉิงเจินจื่อตอบโต้เสียงดัง “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่ได้ห้ามปราม”
“หากท่านทำตระกูลอวี้ก็จะไม่เกิดเรื่องปรับโชคชะตา บิดามารดาของอวี้ฉังคงก็ไม่ต้องถูกสังหารรวมถึงวิญญาณก็จะไม่ต้องถูกเอาไปสร้างแท่นค่ายอาคมเพลิงมารนั่น” ฉินหลิวซีหัวเราะเยาะ “การกระทำชั่วร้ายเช่นนี้ ท่านบอกว่าท่านห้ามแล้วอย่างนั้นหรือ”
เฉิงเจินจื่อตกใจ “แท่นค่ายอาคมเพลิงมารหรือ”
“ท่านไม่รู้หรือ การตายของอวี้ชิงไป่สองสามีภรรยาเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านไม่รู้เรื่องหรือ”
เฉิงเจินจื่อเอ่ยเสียงขรึม “สิบเอ็ดปีก่อน ข้าปิดประตูบำเพ็ญเพียรห้าปีไม่ออกมา หลังจากออกมา ได้ยินข่าวการตายของบิดามารดาตระกูลอวี้ แต่ผ่านไปห้าปีแล้ว จึงไม่ได้คิดอะไรมากกับเรื่องนี้”
“อ้อ บังเอิญปิดประตูฝึกตนตอนนั้นพอดีหรือ”
เฉิงเจินจื่อเห็นน้ำเสียงสงสัยของนาง หัวเราะเบาๆ “เพราะตอนนั้นข้ารู้ว่าผู้อาวุโสตระกูลอวี้ต้องการให้เขาปรับโชคชะตาอีกครั้ง อีกทั้งเป็นการแย่งชิงส่งต่ออายุขัย ข้าไปที่ถ้ำของเขาเพื่อยับยั้ง แต่ถูกเขาทำร้ายอย่างหนัก ตบะเสื่อมถอยลง จำต้องปิดประตูบำเพ็ญเพียรห้าปี ก่อนปิดประตูบำเพ็ญตน ข้าได้คำนวณโดยใช้วิชาดวงดาว พบว่าตระกูลอวี้จะมีโอกาสเปลี่ยนแปลง ข้าจึงกล้าปิดประตูบำเพ็ญเพียร…ถ้าเจ้าไม่เชื่อ ตรวจสอบตบะของข้าได้ ปิดประตูบำเพ็ญห้าปี เพิ่งกลับมาถึงระดับสามเท่านั้น”
เขายื่นมือออกมา
ฉินหลิวซีตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นจริง บาดแผลการบาดเจ็บภายในยังไม่หายดี ไม่แปลกใจที่เขาดูหายใจไม่สม่ำเสมอ
เฉิงเจินจื่อเก็บมือกลับไป “การตายของคู่สามีภรรยาตระกูลอวี้ ข้าพอได้ยินมาบ้าง แต่พวกเราอารามเป่าหวาเป็นนักบวช ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องสกปรกของตระกูลใหญ่จึงไม่ได้คิดมากไปกว่านั้น ไม่คิดว่าตายด้วยน้ำมือของเขา และยิ่งไม่รู้ว่าเขาจะสร้างค่ายอาคมเพลิงมารที่ชั่วร้ายเช่นนี้ นับวันเขายิ่งบ้าไปแล้ว เจ้าบอกว่าเขาตายแล้ว เดิมข้าไม่เชื่อนัก คนอย่างเขาจะตายง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไร”
“โอ้ ข้าสังหารเขาทางอ้อม” ฉินหลิวซีหนึ่งประโยคขึ้นมาสบายๆ
เฉิงเจินจื่อ “?”
[1] ชาขู่ติง เป็นเครื่องดื่มจีนที่มีรสขมเป็นพิเศษ เป็นชาสมุนไพรชั้นเลิศอย่างหนึ่ง มีรสขมเมื่อจิบแรก แต่หากกลืนลงคอแล้วจะทำให้รู้สึกชุ่มคออย่างมาก