คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า 845 ไม่ชอบเจ้าตั้งนานแล้ว

ตอนที่ 845 ไม่ชอบเจ้าตั้งนานแล้ว

ตอนที่ 845 ไม่ชอบเจ้าตั้งนานแล้ว

คำว่าโจรย่องเบาคำเดียวทำให้ร่างที่ซ่อนตัวอยู่ปรากฏตัวออกมา ชุดยาวสีม่วงขาว เส้นผมและเคราสีขาว หากไม่ใช่เพราะคิ้วทั้งสองข้างและดวงตาที่ดูน่ากลัว มองแล้วดูคล้ายเทพเซียนอยู่บ้าง ตอนนี้หรือ ร่างในชุดขาว เบื้องหลังยังมีพลังหยิน ราวกับผีอย่างไรอย่างนั้น

“เจ้าคือ ชิงกู่จื่อ ศิษย์ชั่วร้ายอำมหิตผู้นั้นที่ถูกอารามเป่าหวาลบชื่อออกหรือ” ฉินหลิวซีมองขึ้นลงสำรวจเขา เอ่ย “ดูสภาพเจ้าเช่นนี้ บอกว่าถูกลบชื่อออก คงเป็นเพียงที่เอ่ยกับคนข้างนอกกระมัง”

เพื่อป้องกันไม่ให้อวี้ฉังคงเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ ผู้นำตระกูลอวี้เอ่ยเกลี้ยกล่อมเขาด้วยความเท็จครึ่งความจริงครึ่ง ความจริงหากเป็นคนอื่นทั่วไปบางทีอาจเชื่อไปแล้ว น่าเสียดายมีนางอยู่ด้วย

ชิงกู่จื่อเป็นคนของอารามเป่าหวาไม่ผิด แต่ถูกลบชื่อ คงเป็นเรื่องเท็จ

“เจ้าเด็กปากพร่อย เป็นเจ้าที่ทำลายเรื่องของข้าหรือ” สายตาที่ชิงกู่จื่อมองฉินหลิวซีราวกับสายตาที่ใช้มองคนตายคนหนึ่ง ทว่าภายในดวงตามีความโกรธแฝงอยู่บ้าง โดยเฉพาะฉินหลิวซีที่อายุน้อยทว่าจองหอง

เรื่องของตระกูลอวี้ ถูกคนค้นพบได้เป็นสิ่งที่เขาไม่คาดคิด สามารถทำลายการถ่ายโอนโชคชะตาทำให้เขาได้รับการสะท้อนกลับมากเพียงนั้น แสดงให้เห็นว่าไม่ธรรมดา

นางอายุน้อยจริงๆ แต่อายุน้อยเพียงนี้ทว่าก่อกวนงานของเขา จึงทำให้เขายำเกรงและระมัดระวัง

ดวงตาของชิงกู่จื่อมีแววสังหาร

ฉินหลิวซีมองสำรวจเขา เอ่ยถาม “บุญกุศลมากมายของตระกูลอวี้ ไม่ได้อยู่ที่ตัวเจ้าเท่าใดนัก คนที่ชิงโชคชะตาไป อ้อ หรือกล่าวว่า คนที่เจ้ามอบโชคชะตาให้คือผู้ใดหรือ”

สีหน้าของชิงกู่จื่อเย็นยะเยือก ไม่ได้ตอบกลับ ทว่าเสกค่ายอาคมขึ้นมา “ในเมื่อมาแล้ว ก็ไม่ต้องกลับออกไปอีก”

ว่ากันว่าสองอารามใหญ่เมืองชิงโจว อารามชิงหลานโดดเด่นเรื่องยา อารามเป่าหวาโดดเด่นเรื่องค่ายอาคม ไม่ใช่เรื่องโกหก ชิงกู่จื่อสร้างค่ายอาคมขึ้นมารวดเร็ว เพียงไม่กี่อึดใจฉินหลิวซีและอวี้ฉังคงก็ยืนอยู่กลางค่ายอาคมแล้ว

ทั้งสองตกใจ ภาพบรรยากาศในค่ายนั้นคุ้นตา ก็คือพื้นที่ผีแห่งนี้ และทั้งสองราวกับยืนอยู่ในเตาไฟทันใด ถูกไฟแผดเผา ผิวหนังถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ข้างหูเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวน

“ท่านพ่อ ท่านแม่” อวี้ฉังคงได้ยินเสียงกรีดร้องนี้ก็นิ่งงัน

ฉินหลิวซีดวงตาแหลมคม สองมือตวัดเพื่อร่ายมนต์ มองค่ายชัดเจน มีเปลวเพลิงลุกไหม้อยู่ใต้หม้อหม้อหนึ่ง และคนในหม้อ ไม่ใช่บิดามารดาของอวี้ฉังคงแล้วจะเป็นผู้ใด

พวกเขาถูกเฉือนเนื้อหนัง เลือดในหม้อเป็นสีแดงฉาน พวกเขากำลังร้องโหยหวน จิตวิญญาณสั่นเทา

ฉินหลิวซีและอวี้ฉังคงรู้สึกเช่นเดียวกัน ดวงวิญญาณราวกับถูกเฆี่ยนตี เจ็บปวดจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป

ตรงหน้าหม้อต้ม มีคนเขียนยันต์และร่ายคาถาตลอดเวลาอยู่หน้าแท่นบูชา ใบหน้าโหดร้ายและบ้าคลั่ง

ฉินหลิวซีมองเขาพันธนาการดวงวิญญาณของทั้งสองคนที่เพิ่งออกจากร่าง รอโครงกระดูกสำเร็จ ก็ใช้คาถาสะกดวิญญาณเอาไว้ในโครงกระดูกอีกครั้ง ดึงเอาชิ้นส่วนกระดูกบางส่วนออกมาบดละเอียดผสมเข้ากับเลือดเนื้อ สร้างแท่นค่ายอาคมขึ้นมา

ในค่ายอาคมมีค่ายอาคม ในกระดูกมีวิญญาณ

บนค่ายอาคมโครงกระดูก วางค่ายอาคมรวบรวมหยิน ใช้ประโยชน์จากค่ายซ้อนค่ายนี้หล่อเลี้ยงแท่นค่ายอาคมโครงกระดูกของจริง

ใช่ ชิงกู่จื่อผู้นี้ทำค่ายอาคมโครงกระดูกให้เป็นแท่นค่ายอาคม ฉายภาพการตายของสองสามีภรรยาอวี้ชิงไป่ซ้ำๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ดวงวิญญาณในค่ายอาคมมีความแค้นทวีคูณ กลายเป็นผีร้าย

ฉินหลิวซีมองผีชายหนึ่งหญิงหนึ่งที่มีพลังชั่วร้ายสีดำกางเล็บพุ่งเข้ามาทางพวกเขา กำหมัดแน่น

ความโกรธความแค้นใดๆ ขโมยโชคชะตาก็ช่างเถิด ยังใช้วิธีการโหดร้ายกับคนเช่นนี้ ทนไม่ได้แล้วจริงๆ

เมื่ออวี้ฉังคงเห็นพ่อแม่ที่ใบหน้าเปลี่ยนไปแทบจำไม่ได้สติของเขาพลันว่างเปล่า กระทั่งพวกเขาเข้ามาอยู่ตรงหน้า ยื่นมือมาหาเขาอย่างดุร้าย ความโกรธของเขาพุ่งขึ้นถึงขีดสุด

“อ๊ากกก”

ความโกรธแค้นพุ่งทะยาน ราวกับเปลวเพลิงโหมไหม้ ห่อหุ้มตัวเขาเอาไว้ราวกับวังวน ความมืดดำห้อมล้อมเป็นชั้นๆ

ไม่ได้การแล้ว

เขาจะกลายร่างชั่วร้าย จิตใจเข้าสู่มาร โลกของเขาต่อจากนี้ไปก็คือนรก

ดังเช่นนักพรตชราชื่อหยวนเคยทำนายชีวิตให้เขา ความคิดหนึ่งสวรรค์ ความคิดหนึ่งนรก

ฉินหลิวซีพุ่งตัวเข้าไป กำลังจะดึงเขาออกจากเงาดำตรงหน้า มองเห็นภาพตรงหน้าพลันหยุดชะงัก

ปีศาจในใจยังคงต้องได้รับการรักษา

มือของเหล่าอวี้ชิงไป่หยุดลงตรงปลายจมูกของอวี้ฉังคง ความโกรธแค้นบิดมือของพวกเขาจนแตกละเอียด ทำให้ใบหน้าของพวกเขาบิดเบี้ยว ราวกับพวกเขาพยายามควบคุมบางอย่าง

“ฉังคง ไม่เอา” ดวงตาของอวิ๋นจู๋อิ่งมีเลือดไหลออกมา

อวี้ชิงไป่ยิ่งไม่รีรอ ดวงตาแดงก่ำวิ่งตรงเข้าไปในวังวนทันที ความแค้นความเกลียดชังดำทะมึนหนาแน่นล้อมรอบตัวเขาเอาไว้ บดขยี้โดยไร้ความปรานี

อวิ๋นจู๋อิ่งพุ่งตามเข้าไปโดยไม่ลังเล

ฉินหลิวซีเม้มริมฝีปาก

เปลวเพลิงแห่งความโกรธแค้นสามารถทำลายสิ่งชั่วร้ายให้มอดไหม้ โดยเฉพาะอวี้ฉังคงที่ร่างกายมีโชคชะตาที่ดี เดิมทีก็เป็นที่รักของสวรรค์ พลังยิ่งแข็งแกร่ง

แม้จะเป็นบิดามารดา ก็สามารถสังหารได้โดยไร้ความปรานี

ฉินหลิวซีไม่ได้ก้าวเข้าไปห้าม หากต้องถูกขังเป็นผีร้ายอยู่ในค่ายอาคม มิสู้วิญญาณแตกสลายภายใต้ฝีมือของบุตรชายแท้ๆ คงจะดีกว่าเป็นเครื่องมือของคนชั่วเช่นนั้น

อวี้ฉังคงคลายมีความสะเทือนอารมณ์ ลืมตาขึ้น มองเห็นวิญญาณของบิดามารดาดูเลือนรางลง ค่อยๆ แตกสลายไป แทบเป็นบ้าขึ้นมา

“ฉังคง เจ้าทำได้ดีมาก” อวี้ชิงไป่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

อวิ๋นจู๋อิ่งยื่นมือออกมาจับใบหน้าของเขา “ลูกชายของข้าโตแล้ว ไม่ต้องกลัว พ่อกับแม่ไม่โทษเจ้า และไม่กลัววิญญาณแตกสลาย”

เช่นตอนนั้น พวกเขาไม่เคยกลัวตาย ทว่ากลัวบุตรชายจะไม่มีคนปกป้อง

น้ำตาของอวี้ฉังคงร่วงลงมา จะเก็บเปลวเพลิงแห่งความโกรธกลับมาทว่าบิดามารดากลับยิ้มพร้อมส่ายหน้าให้เขา

“พวกเราจะไปแล้ว ความปรารถนาเดียวคืออยากให้บุตรชายมีความสุขไร้ความกังวล”

ดวงวิญญาณของอวี้ชิงไป่และอวิ๋นจู๋อิ่งระเบิดเสียงดัง กลายเป็นสะเก็ดดาวเล็กๆ น้อยๆ

มือของอวี้ฉังคงยื่นไปในอากาศ ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น

ค่ายอาคมโครงกระดูกสร้างมาจากวิญญาณของสองสามีภรรยา ยามนี้วิญญาณของทั้งสองแตกสลาย ค่ายอาคมเองก็ไร้พลังวิญญาณ หายไปทันใด เสียงร้องไห้โหยหวนเองก็หายไป รอบด้านเงียบลงไป

“ความสัมพันธ์แม่ลูกลึกซึ้งเสียจริง” สองมือของชิงกู่จื่อตวัดประสาน ปล่อยพลังโจมตีไปทางอวี้ฉังคง

ค่ายอาคมที่เขาหล่อเลี้ยงมากว่าสิบปี ไม่ง่ายกว่าจะสร้างผีร้ายขึ้นมาได้ เลี้ยงไปอีกไม่กี่ปี ไม่แน่ทั้งสองอาจจะกลายเป็นราชาผี ถึงตอนนั้นค่ายอาคมจะต้องกลายเป็นอาวุธล้ำค่าถึงที่สุด

คนพวกนี้กลับบีบบังคับให้เขานำค่ายอาคมออกมาก่อนเวลา เดิมคิดว่าผีร้ายทั้งสองจะสูญสิ้นสติรับรู้ ทว่าไม่คิดว่าเมื่อเผชิญหน้ากับบุตรชายผู้นี้ พวกเขากลับรู้ตื่นขึ้นมา

“ตอนนั้นไม่ควรเก็บเจ้าเอาไว้เป็นเมล็ดพันธุ์เลยจริงๆ” ดวงตาของชิงกู่จื่อมีความเกลียดชังมีความโลภ สมแล้วที่เป็นบุตรชายของผู้มีโชคชะตา ดวงแข็งยิ่งนัก ตอนนั้นเก็บเขาเอาไว้ เพียงอยากเลี้ยงเอาไว้ใช้ในอนาคต ตอนนี้ดูแล้ว คงเป็นตนที่มองไกลเกินไป

อาคมนั้นกำลังเข้าใกล้อวี้ฉังคง ฉินหลิวซีร่ายมนต์ผลักออกไป ผลักอวี้ฉังคงออก ตัวเองกลับมายืนอยู่ตรงหน้าชิงกู่จื่อ

“ไม่ชอบคนชั่วอย่างเจ้ามานานแล้ว ออกมาสู้” สองมือนางตวัดร่ายอาคมไว้บนเขา ดึงก้อนหินหลายก้อนขึ้นมาโจมตีไปยังชิงกู่จื่อ

“ทักษะเล็กๆ น้อยๆ” ชิงกู่จื่อยิ้มเย็น โจมตีด้วยคาถาห้าสายฟ้า

ฉินหลิวซีคลี่ยิ้ม เท้าถีบขึ้น พุ่งตัวเข้าไปหาเขา ปลายเท้าเหยียบเข้ากับก้อนหินที่ลอยอยู่ สะบัดยันต์เหลืองออกไปหลายแผ่น สองมือพลิกสลับ “ชอบเล่นค่ายอาคมเพียงนี้ ลองทำลายค่ายอาคมข้าสิ สวรรค์มีสี่สุนัขเฝ้าสี่ทิศ ข้ามีสี่สุนัขเฝ้าสี่มุม นำตรงนี้เป็นโลก ไฟสมุทรเป็นนรก เจ้าไปไม่ได้ สร้างค่าย”

อะไรกัน

ชิงกู่จื่อชะงัก ภาพตรงหน้าพลันเปลี่ยน ก้มลงมอง นี่คือค่ายอาคมอะไร ไฟนรกโลกันตร์หรือ

คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Score 10
Status: Completed
คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า นางคือปรมาจารย์ปู่ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น! รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาชีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่ง ฉินหลิวชี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเดำเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไป เบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู่ฉิว ผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงิน ปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิด เมื่อโชชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่นปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้ เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมรื่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัว เฮ้อ แม้ไม่หวังการก้วหน้าใดๆ แต่สรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเขียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้า เขาก็ดั้นดันเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า! "เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ" "ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ" "ไม่ป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง" "ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า" ฉีเซียนเอ่ย "ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป..." ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ "เดิมที่ท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน" "..."

Options

not work with dark mode
Reset