คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า 844 เรียกวิญญาณ ตามรอย

ตอนที่ 844 เรียกวิญญาณ ตามรอย

ตอนที่ 844 เรียกวิญญาณ ตามรอย

ฉินหลิวซีเห็นบรรยากาศรอบกายอวี้ฉังคงดูอึมครึมน่ากลัว หยิบถุงผ้าขึ้นมา ควักลูกอมลูกกวาดสาลี่หิมะป้อเหอออกมายื่นให้เขา

“ใจขมขื่น ปากหวานๆ”

อวี้ฉังคงชะงัก รับมาส่งเข้าปาก ริมฝีปากกระตุกขึ้น

ฉินหลิวซีเอ่ย “หากรังเกียจมาก ไม่รับตำแหน่งตระกูลอวี้นี้ก็ได้”

“ท่านบอกอย่าได้ปล่อยให้ทรัพย์สมบัติในคลังไปตกอยู่ในมือคนอื่นมิใช่หรือ” อวี้ฉังคงเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง เอ่ย “ไม่เป็นไร คนอยู่บนโลก มักจะมีเรื่องนี้เรื่องนั้นที่ไม่อาจทำตามใจได้ ท่านที่เป็นนักบวชไม่สนใจโลกภายนอกก็ยังทำไม่ได้ ข้าที่เป็นคนธรรมดาทั่วไปยิ่งทำไม่ได้แล้ว”

“เช่นนั้นเจ้าคิดจะทำอย่างไร”

ดวงตาคู่นั้นของอวี้ฉังคงหรี่ลงเล็กน้อย เอ่ย “ท่านรู้หรือไม่ว่าเทพจะลงมาจากแท่นบูชาต้องทำอย่างไร การเข้าสู่โลกมนุษย์และคลุกคลีอยู่กับเรื่องทางโลก หากต้องการดึงตระกูลอวี้ลงมาจากแท่นบูชา ต้องเดินเข้าสู่ทางโลก ใช้ชีวิตทำมาหากินเหมือนกับผู้คนบนโลก จึงจะละทิ้งความเย่อหยิ่งกลับสู่ความเป็นจริง”

“ความจริงแล้วคนตระกูลอวี้หลายคนเชี่ยวชาญงานฝีมือ แต่ท่านรู้หรือไม่ เหล่าผู้อาวุโสคิดว่านี่เป็นงานชั้นต่ำ เป็นช่างฝีมืออยู่ข้างนอก ลดตนเองลงต่ำ ทำงานค้าขายยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงแล้ว ระดับชั้นต่ำที่สุด มีแนวคิดดูถูกและหลีกหนีจากโลก” อวี้ฉังคงถากถาง เอ่ย “ในสายตาของพวกเขาคิดเพียงว่า คนในตระกูลอวี้ทำได้เพียงรับใช้ฮ่องเต้ นี่ถึงจะเป็นความภาคภูมิใจของตระกูลอวี้ อย่างอื่นไม่ควรทำ”

ตระกูลอวี้สืบทอดมาหลายร้อยปี ความจริงมีทรัพยากรล้ำค่าถูกส่งทอดสืบต่อกันมามากมาย นักวิชาการ เกษตรกรรม งานช่าง การค้าล้วนมี ลูกหลานตระกูลอวี้หากร่ำเรียนในสำนักศึกษาของตระกูล ก็สามารถเลือกเรียนได้ แต่เมื่อเรียนสำเร็จแล้ว จะทำสิ่งใดอยู่ข้างนอก กลับไม่ได้

บางคนคิดการใหญ่ ก็ต้องทิ้งความฝันเอาไว้เช่นนั้น แม้ว่าพวกเขารู้ ร่ำเรียนเชี่ยวชาญแล้ว ก็ไม่มีพื้นที่แสดงมันออกมา เพราะคนในตระกูลไม่อนุญาต ในเมื่อไม่อนุญาต ไยจะต้องเรียน

สิ่งเดียวที่ตระกูลอวี้อนุญาตก็คือเป็นอาจารย์ของฮ่องเต้

แต่ลองถามทั่วทั้งตระกูลอวี้ จะมีสักกี่คนที่เป็นอาจารย์ของฮ่องเต้ แม้แต่ตนเอง ยังไม่กล้าเอ่ยได้ว่าความสามารถรอบด้าน

“ตระกูลอวี้กลายเป็นกรงขังหรูหราแห่งหนึ่ง มันกักขังคนมีความสามารถไม่มีพื้นที่ให้แสดงออกไม่พอ ยังตัดปีกของพวกเขาอย่างไร้ความปรานี บางคนท่องอยู่ภายนอก เย่อหยิ่งทะนงตนว่าตนเองเป็นตระกูลอวี้ น่าขันสิ้นดี”

ฉินหลิวซีเอ่ย “ดังนั้นตอนนี้โอกาสปรับเปลี่ยนแก้ไขอยู่ในมือของเจ้าแล้ว เจ้าอยากให้มันเป็นตระกูลอวี้อย่างไรก็ขึ้นอยู่กับเจ้า ข้าเฝ้ารอดูยิ่งนัก”

ดวงตาของอวี้ฉังคงสั่นไหวเล็กน้อย

ทั้งสองเดินออกมาจากเส้นทางหยิน ยืนอยู่ในสถานที่ที่อวี้ชิงไป่สองสามีภรรยาตาย

ยามนี้ท้องฟ้ามืดไปนานแล้ว บริเวณนี้มีแต่ความเงียบงัน ลมทางเหนือพัดผ่าน คล้ายผสานไปด้วยเสียงกรีดร้องและเสียงร้องไห้ รวมไปถึงเสียงผี

อวี้ฉังคงตัวแข็งทื่อหนาวเหน็บขึ้นมา

“พลังหยินเข้มข้นนัก” ใบหน้าฉินหลิวซีตึงเครียด สองนิ้วแนบชิดแล้วชูขึ้น ส่งพลังไปยังปลายนิ้ว เขียนยันต์เอาไว้บนหน้าผากอวี้ฉังคง

เมื่อนางเขียนยันต์เอาไว้แล้ว อวี้ฉังคงรู้สึกว่าความหนาวเหน็บนั้นหายไป พลังหยินที่อยู่รอบตัวหายไปราวกับพบกับพลังทำลาย

ฉินหลิวซีสัมผัสได้ เอ่ย “สถานที่แห่งนี้ไม่เหมือนเป็นเพียงสถานที่สร้างค่ายอาคม ยังมีค่ายรวมพลังหยิน ดูเหมือนคนผู้นั้นจะทำให้ที่ตรงนี้กลายเป็นพื้นที่แห่งหยิน”

“เขามีประสงค์อะไรหรือ”

ฉินหลิวซีเดินไปพลางมองไปรอบๆ ตอบกลับ “พื้นที่พลังหยิน เลี้ยงสิ่งชั่วร้ายได้ อย่างเช่นอาวุธอาคม หรือวิญญาณผี ทั้งหมดเป็นสิ่งของพลังหยิน”

อวี้ฉังคงสีหน้าเย็นยะเยือก

เมื่อครั้งฉินหลิวซีรักษาดวงตา เขานึกว่าการเห็นผีเป็นความรู้ใหม่ๆ แล้ว ตลอดหนึ่งปีมานี้ เขาอ่านวิชาฉีเหมินตุ้ยเจี่ย[1]และคัมภีร์อี้จิงไม่น้อย ตอนนี้ได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ ลัทธิเต๋านี้ ยังมีความเป็นไปได้อีกมากมาย ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเปิดประสบการณ์การเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ให้เขา

ใช้พื้นที่แห่งหยินหล่อเลี้ยงอาวุธอาคม เพียงฟังก็รู้สึกถึงความชั่วร้าย

“ปู่…ผู้นำตระกูลบอกว่าท่านพ่อท่านแม่ข้าถูกทำเป็นอาคม เช่นนั้นดวงวิญญาณของพวกเขาอยู่ที่นี่หรือ” อวี้ฉังคงไม่สนใจรอบข้าง เรียกหาบิดามารดาอยู่ในใจเงียบๆ

ฉินหลิวซีหยิบยันต์ออกมาหนึ่งแผ่น ใช้เข็มทิ่มปลายนิ้วอวี้ฉังคง บีบเลือดให้หยดลงไปบนยันต์ มีทำสัญลักษณ์ปากร่ายคาถาอย่างรวดเร็ว “วิญญาณล่องลอย หยุดพักที่ใด สามวิญญาณมาถึง เจ็ดจิตตามมา…ยามนี้ขออัญเชิญ ข้าขอเรียกวิญญาณโดยบุตร เทพภูเขาห้าเส้นทาง แม่ทัพผู้พิทักษ์นำทาง พาวิญญาณมาอยู่ตรงหน้า ออกคำสั่งด้วยอำนาจปรมาจารย์แห่งเต๋า”

“ไป” ฉินหลิวซีตามควันนั้นไป

เสียงผีร้องไห้โหยหวน

พลังหยินเข้มข้น

อวี้ฉังคงพลันกลับมาอยู่ในช่วงสิบขวบ มองดูบิดามารดาถูกมีดเฉือดเนื้อ ทว่าเขากลับไม่อาจเอ่ยออกมาได้แม้เพียงคำเดียว ยิ่งไม่สามารถขยับได้ ทำได้เพียงยืนมอง กระทั่งภาพตรงหน้ากลายเป็นสีแดงฉาน กระทั่งไม่รับรู้อะไรเลย

“กำเครื่องรางหยกที่ข้าให้เจ้าเอาไว้ ท่องบทชำระจิต”

อวี้ฉังคงได้สติ ตื่นขึ้นมาจากความทรงจำที่บังเกิด ดึงเครื่องรางหยกที่อยู่บนคอมาไว้นอกเสื้อ กำไว้แน่น ท่องคาถาชำระจิตอยู่ในใจ

ฉินหลิวซีเดินนำเขา ไม่นานก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าถ้ำหิน เงยหน้าขึ้น เห็นด้านในถ้ำมีโครงกระดูกสองโครงอยู่

อวี้ฉังคงเดินเข้าไป “โครงกระดูกนี้ มีตั้งแต่เมื่อใด”

“พวกเจ้ามองไม่เห็นที่นี่มีอาคมบังตา อาศัยพวกเจ้ามาเอง ดูร้อยรอบก็เห็นเพียงภูเขาเท่านั้น” ฉินหลิวซีมองดู รู้สึกว่ามีเสียงร่ำไห้ดังขึ้น

“นี่เป็นร่างของท่านพ่อท่านแม่ข้าหรือไม่” อวี้ฉังคงมองโครงกระดูกสองร่างที่ถูกห่อด้วยยันต์จนคล้ายหุ่นจำลอง ปวดใจขึ้นมา

“ใช่” ฉินหลิวซีเอ่ย “แผ่นยันต์เมื่อครู่ มีเลือดของเจ้าอยู่ ดึงดูดสายเลือดเดียวกันได้เป็นอย่างดี นี่เป็นยันต์ตามรอยเรียกวิญญาณเช่นกัน ควันเมื่อครู่มาจบอยู่ที่นี่”

“ท่านพ่อ ท่านแม่” อวี้ฉังคงคุกเข่าลงกับพื้น น้ำตาไหลทะลักออกมา

ฉินหลิวซีเรียกวิญญาณอีกครั้ง เอ่ย “วิญญาณของพวกเขาไม่อยู่”

อวี้ฉังคงเงยหน้า สองมือกำแน่น

ฉินหลิวซีเดินขึ้นบันไดเรียบง่ายที่ถูกขุดไว้มีทางเข้ายื่นออกมาจากหน้าถ้ำ มองเข้าไปด้านใน หรี่ตาลง ยื่นมือออกไป ปัดฝุ่น เอ่ย “มีคนเอาของบางอย่างออกไปจากที่นี่”

นางหันมองไปยังโครงกระดูกทั้งสอง กวาดตามอง โครงกระดูกทั้งสองล้วนไม่สมบูรณ์ ก็เหมือนจะถูกเอาบางส่วนมาทำอย่างอื่น

ทำอะไรเล่า

“ทำเป็นค่ายอาคม…” ฉินหลิวซีเอ่ยออกมา ในหัวพลันนึกถึงบางอย่าง นึกถึงสิ่งที่พบในเมืองหลวง คุณชายผู้อ่อนโยนแห่งจวนปั๋วผู้นั้นและวิชามาร ใช้ผิวหนังของสตรีมาทำกลองผี หรือว่าอวี้ชิงไป่พวกเขาเองก็ใช่หรือ

นางมองร่องรอยของที่ถูกนำออกไป ลักษณะกลม ขนาดเท่าเข็มทิศ เรียกได้อีกว่าเป็นแท่นค่ายกล

นำแท่นค่ายกลวางตรงนี้เพื่อหล่อเลี้ยงมันหรือ

“เก็บร่างของพวกเขาก่อน…ระวัง” ฉินหลิวซีรับรู้ถึงลม ของมีคมลอยเข้ามา เบี่ยงตัวกระโดดลงมา เตะอวี้ฉังคงลอยออกไป

ฉึก ฉึก

ใบมีดคมหลายใบปักลงบนพื้นที่ที่อวี้ฉังคงนั่งคุกเข่าเมื่อครู่

นิ้วของฉินหลิวซีสะบัดเข็มเงินออกไปยังทิศทางที่ใบมีดคมลอยมา ได้ยินเสียงปักเข้ากับเนื้อ ยิ้มเย็น “ชิงกู่จื่อ อารามเป่าหวา ที่แท้ก็เป็นโจรย่องเบาซ่อนหัวซ่อนหางหรือ”

[1] เป็นศาสตร์เร้นลับของจีนโบราณ และเป็นหนึ่งในศาสตร์พยากรณ์ชั้นสูงในคัมภีร์อี้จิง

คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Score 10
Status: Completed
คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า นางคือปรมาจารย์ปู่ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น! รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาชีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่ง ฉินหลิวชี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเดำเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไป เบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู่ฉิว ผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงิน ปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิด เมื่อโชชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่นปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้ เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมรื่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัว เฮ้อ แม้ไม่หวังการก้วหน้าใดๆ แต่สรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเขียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้า เขาก็ดั้นดันเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า! "เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ" "ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ" "ไม่ป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง" "ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า" ฉีเซียนเอ่ย "ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป..." ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ "เดิมที่ท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน" "..."

Options

not work with dark mode
Reset