ตอนที่ 842 เรื่องอะไรต้องช่วยพวกเจ้าแก้ไข
……….
สายลมเหนืออันหนาวสะท้านพัดผ่าน ผีตายไปแล้วอาจไม่รู้สึกอะไร แต่คนมีชีวิตเหล่านั้น โดยเฉพาะเหล่าผู้อาวุโสในตระกูลที่มีอายุมาก หนาวจนสั่นระริกไปทั้งตัว โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าพวกเขาถูกหลอกแล้ว จากตัวถึงหัวใจ หนาวยะเยือก
ถูกบรรพบุรุษชี้กล่าวโทษต่อว่าทั้งยังทุบตี พวกเขาไม่อยากยอมรับอีกแล้ว และรู้ชัดว่าพวกเขาเป็นคนบาปของตระกูลอวี้
แต่ว่าพวกเขาไม่รู้เรื่องจริงๆ ความตั้งใจของเขาก็เพื่อตระกูลอวี้ ไม่อยากให้เสื่อมถอย ยิ่งไม่อยากให้มันตกต่ำไปในทุกๆ วัน ผู้ใดจะรู้ว่าจะดึงตัวร้ายอย่างหมาป่าผู้หิวโหยเข้ามา
นักต้มตุ๋นนี่ เป็นภัยจริงๆ
เหล่าผู้อาวุโสมองไปยังฉินหลิวซี นึกไปถึงชิงกู่จื่อผู้นั้น คนพวกนี้เป็นประเภทเดียวกันนี่นา กัดฟันขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ไม่รู้ว่าหนาวหรือโกรธ
อวี้เฉิงฉีสะกดความโกรธเอาไว้ เอ่ยถามฉินหลิวซี “เจ้าอาวาสน้อย ยามนี้หาของชั่วร้ายออกมาได้แล้ว หมายถึงการขโมยโชคลาภตระกูลอวี้ของข้าแตกแล้วหรือไม่”
“แตกแล้ว”
ผู้ที่อยู่ในสถานการณ์ไม่ว่าคนหรือผีล้วนพ่นลมหายใจออกมา
แตกแล้วก็ดี
“แต่สิ่งที่สูญหายไปไม่อาจเอากลับคืนมาได้ อีกทั้ง เวรกรรมที่พวกเขาก่อ ก็ยังตกมาอยู่กับพวกเขา ตอนนี้ยังไม่คิดบัญชี ลงไปอยู่ในนรกแล้วจะถูกคิดบัญชีเอง โชคของตระกูลอวี้…” ฉินหลิวซีปัดหมอกออก มองลงไปยังวงศ์ตระกูลด้านล่างเขา ฮวงจุ้ยเปลี่ยนแล้ว ฮวงจุ้ยที่เดิมซ่อนลมรวมพลังชี่ราวกับหยุดชะงัก เป็นเรื่องที่ดี และเป็นเรื่องร้าย
“ฮวงจุ้ยเปลี่ยนแล้ว โชคชะตาก็หยุดแล้ว โชคชะตาไม่หลั่งไหลถ่ายทอดออกไปให้ผู้อื่นได้ขโมยแล้ว แต่เช่นเดียวกัน โชคไม่ดี ในตระกูลไม่มีผู้มีบุญบารมีมาก หากคนในตระกูลไม่อยู่อย่างสงบ ยังจะนำพาความยากลำบากเข้ามา” ฉินหลิวซีปรายตามองเหล่าผู้อาวุโส เอ่ย “พวกเจ้าทำได้เพียงลอบภาวนาว่าจะไม่มีคนในตระกูลผู้ใดคิดสร้างความวุ่นวาย หากมี หึๆ…”
ถึงตอนนั้น เชื่อเถิดว่าสักหยดก็ไม่เหลือ
ทุกคน หึหึคืออะไรกัน ไยพวกเขาจึงรู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งร่าง
ผู้อาวุโสสามเอ่ย “เจ้าเองก็เป็นเทียนซือ ในเมื่อทำลายคาถาชั่วร้ายนี้ได้ ก็คงช่วยพวกเราแก้ไขสักหน่อยกระมัง”
แม้แต่บรรพบุรุษทั้งหลายยังมองมายังฉินหลิวซีด้วยความหวัง อย่างไรผู้ใดก็ไม่ต้องการให้วงศ์ตระกูลของตนจบสิ้น
ฉินหลิวซีเหยียดหยัน เอ่ยเสียงเย็น “เวรกรรมที่พวกเจ้าก่อ เรื่องอะไรข้าต้องช่วยพวกเจ้าแก้ไข ข้าไม่เป็นพระแม่เยี่ยงพวกเจ้า ถวายโชคลาภของครอบครัวตนเองให้ผู้อื่น”
นี่เป็นการดูถูกเหยียดหยามอย่างเห็นได้ชัด
เหล่าผู้อาวุโสหน้าม่วง หันไปหาอวี้ฉังคง “ฉังคง เจ้าก็เป็นลูกหลานตระกูลอวี้”
อวี้ฉังคงกอดโลงศพเล็กในอกแน่น เอ่ย “นับตั้งแต่วันที่ข้ารู้ความจริง ข้าก็โกรธแค้นตระกูลอวี้ เพื่อสิ่งที่เรียกว่าโชคลาภอายุยืนยาว พวกเจ้ายอมสละชีวิตของบิดามารดาข้าไปทำพิธีนั่น แล้วข้ายังต้องมาช่วยแก้ไขให้พวกเจ้า เช่นนั้นข้ายังมีหน้ามาเป็นลูกอีกหรือ พวกเจ้าไม่มีความเป็นคน ไยข้าต้องเป็นคนด้วย”
เขาลูบโลงศพเล็ก วางลง เอ่ย “เสี่ยวฉิน เผาเถิด สกปรกเกินไป คิดว่าท่านพ่อของข้าก็คงเฝ้ารอวันนี้”
อะไรนะ
ทุกคนชะงักงัน
ยังไม่ทันเอ่ยสิ่งใด ฉินหลิวซีก็ดีดจุดไฟไปบนไม้จื่อถาน
พรึบ
ไฟนรกแผดเผา
ทุกคนตื่นตกใจ เหล่าบรรพบุรุษตระกูลอวี้ยิ่งรู้สึกว่าดวงวิญญาณสะท้าน ก้าวถอยออกห่าง เฮยอู๋ฉังกลืนน้ำลาย แสร้งนิ่งสงบ ไม่มีผู้ใดมองเห็นว่าสองขาภายใต้ชุดคลุมของเขากำลังสั่นระริก
บรรพบุรุษน้อยบอกจะเผาก็เผา ไม่ลังเลแม้เพียงนิด
และในตอนที่โลงศพน้อยกำลังเผาไหม้ ก่อนอื่นรู้สึกว่ามีบางอย่างตัดขาดจากผู้นำตระกูลอวี้ เกิดเสียงร้องโหยหวน ผมกลายเป็นสีขาว สลบไป
ดวงตาลุ่มลึกของอวี้ฉังคงเจ็บปวด หลับตาลง
เหล่าผู้อาวุโสตกใจเกาะกันเป็นก้อน ชี้ไปยังอวี้ฉังคง “เจ้า เจ้าเจ้า…”
ฉินหลิวซีเก็บของที่ขุดขึ้นมาจากสุสาน รวมไปถึงคนของเล่นและดวงวันเกิดนั้น โยนเข้าไปในกองไฟ
ไฟนรกลุกโหมสูงขึ้น
นักพรตเฒ่าที่กำลังรีบมาถึงสุสานคุกเข่าลงกับพื้น กระอักเลือดติดกันหลายครั้ง กุมหน้าอกที่กระตุกเกร็งไม่หยุด โกรธจนดวงตาแทบถลน
“ชั่วช้า เจ้าชั่วตัวใดที่ทำลายคาถาของข้า”
เขาเพิ่งเอ่ยจบก็กระอักเลือดออกมาอีก มองร่องรอยเหี่ยวหย่นบนหลังมือ กัดฟันด้วยความโกรธ ในใจนั้นตกใจไม่มั่นคง ไยพลังสะท้อนกลับจึงรุนแรงเพียงนี้ คนของอีกฝ่ายทำอะไรกัน
เขายกนิ้วขึ้นมาคำนวณ พลันหมุนตัว ตรงไปอีกทาง
ไฟนรกนำพาความชั่วร้ายทุกอย่างไป
ฉินหลิวซีมองสภาพแก่เฒ่าอ่อนแอของผู้นำตระกูลอวี้ สายตาไม่มีความหวั่นไหวแม้เพียงนิด
“มีจุดหนึ่งที่บรรพบุรุษของพวกเจ้าเอ่ยถูก สิ่งที่มาจากอาคมชั่วร้าย มีที่มาไม่ถูกต้อง มักจะต้องชดใช้จากที่อื่น พวกเจ้าไม่มีผู้ใดจะหนีรอดไปได้”
เหล่าผู้อาวุโสตัวแข็งทื่อ
อวี้เฉิงฉียิ้มเย็น “อวี้คุน เจ้าไม่คู่ควรเป็นผู้นำตระกูลตระกูลอวี้อีกแล้ว หลังลงจากเขา พวกข้าจะเปิดประชุมวงศ์ตระกูล ยกตำแหน่งให้อวี้ลิ่งสือ”
อวี้ฉังคงเงยหน้าขึ้นมาทันใด เอ่ยเสียงเย็น “บรรพบุรุษ ข้าไม่คิดรับตำแหน่ง และไม่ต้องการรับ”
“อวี้ลิ่งสือ ข้ารู้ว่าในใจเจ้ามีความโกรธแค้นยิ่งกว่านั้นคือความโกรธ ยามนี้ตระกูลอวี้เสื่อมโทรม ยิ่งต้องการผู้นำการเปลี่ยนแปลง” อวี้เฉิงฉีจ้องมองเขา เอ่ย “เจ้าจะยอมมองบิดามารดาของเจ้าสละชีวิตโดยเปล่าประโยชน์หรือ”
อวี้ฉังคงใบหน้าต่อต้าน “ข้าทำอะไรนั้นพวกเขาคงไม่ว่า แต่หากข้ายังเป็นผู้นำตระกูลอวี้ คิดทุ่มเทให้กับมัน ถึงจะเป็นการอกตัญญูต่อพวกเขา”
“เจ้าเด็กคนนี้ ไยจู่ๆ จึงดื้อดึงเพียงนี้ น่าโมโหจริงๆ
อวี้ฉังคงไม่กลัวเขาโกรธ เอ่ยต่อ “อีกทั้ง นี่เป็นเพียงการเอาดวงจิตของบิดามารดาข้าไปปรับดวงชะตา วันที่พวกเขาตาย ข้าเห็นกับตา เลือดเนื้อของพวกเขาถูกตัดไปทำเป็นค่ายอาคมแล้ว ยามนี้ดวงวิญญาณไม่อยู่ ข้ายังต้องไปตามหาพวกเขา ให้พวกเขาได้เห็นเดือนเห็นตะวัน”
เหล่าบรรพบุรุษฟังจนใจเจ็บ “พวกชั่วช้า ยังมีเรื่องโหดร้ายเช่นนี้ พวกเขาเป็นอย่างไรหรือ”
เหล่าผุ้อาวุโสหดคอ
ผู้นำตระกูลอวี้หลับตาและเอ่ยอย่างหดหู่ “หาไม่เจอแล้ว ข้าบอกแล้วว่าถูกทำเป็นค่ายอาคม ไม่ใช่เรื่องโกหก ไม่อยากให้เจ้าสืบ และไม่ต้องการให้เจ้าไปอยู่ในมือของคนผู้นั้น ไม่ต้องการให้เจ้า…”
ความโกรธของอวี้ฉังคงปะทุขึ้นมา ดวงตาแดงก่ำ ตะโกน “เจ้าทำได้อย่างไร นั่นเป็นบุตรชายคนโตที่เป็นสายเลือดของเจ้า”
ฉินหลิวซีตบแขนเขาเบาๆ ไม่ต้องถามแล้ว ถามไปสมองก็มีแต่น้ำ คิดว่าอยู่ในบางตำแหน่ง บางการปกครอง ความจริงก็เป็นเพียงความเห็นแก่ตัว
อวี้ฉังคงหันไปประสานมือแก่บรรพบุรุษ เอ่ย “ฉังคงอกตัญญู รบกวนความสงบสุขของเหล่าบรรพบุรุษแล้ว เชิญพวกท่านกลับเถิด เดี๋ยวข้าจะเผาเครื่องเซ่นไหว้มากมายแก่พวกท่าน”
ไม่ใช่สิ เรื่องวุ่นวายยิ่งใหญ่นี้ เผาเครื่องเซ่นก็จบปัญหาอย่างนั้นหรือ
“เจ้า มีใจมั่นไม่คิดดูแลตระกูลอวี้หรือ” อวี้เฉิงฉีขมวดคิ้ว เขามองเห็นถึงโชคในตัวอวี้ฉังคง และรู้ว่าเขาคือจุดเปลี่ยนใหม่ของตระกูลอวี้ แต่เด็กคนนี้จะหลีกหนี ทำอย่างไรดี
อวี้ฉังคงปรายตามองเหล่าผู้อาวุโสด้วยใบหน้าเยือกเย็น “ตระกูลอวี้เสื่อมโทรมเช่นนี้ ควรล่มไปนานแล้ว”