คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า 839 รอก่อนเถิด ข้าจะเรียกบรรพบุรุษเจ้าออกมา

ตอนที่ 839 รอก่อนเถิด ข้าจะเรียกบรรพบุรุษเจ้าออกมา

ตอนที่ 839 รอก่อนเถิด ข้าจะเรียกบรรพบุรุษเจ้าออกมา

อะไรนะ? โจรโง่ร้องจับโจร?

เมื่อถูกฉินหลิวซีไร้ด่าอย่างไม่ไว้หน้า เหล่าผู้อาวุโสก็โกรธจนต้องกระทืบเท้า

“เด็กอวดดี!”

พวกเขามองอวี้ฉังคงด้วยความโกรธและความไม่พอใจ สายตาที่มองฉินหลิวซีก็เหมือนกับมองศัตรูที่ฆ่าบิดาของเขา เพราะนางคือต้นเหตุของปัญหาทุกอย่าง

ต่อให้อวี้ฉังคงจะมีไหวพริบและฉลาดแค่ไหน แล้วเขารู้วิชาเต๋าหรือ ไม่เลย แต่คนที่จะดูเป็นสตรีก็ไม่ใช่จะบุรุษก็ไม่เชิงข้างๆ เขารู้ และสร้างเรื่องใหญ่โตทันทีที่มาถึง

ถ้าไม่ใช่เพราะฉินหลิวซี ต่อให้อวี้ฉังคงสืบอย่างไรก็คงไม่มีทางมองออกได้ แต่ฉินหลิวซีไม่เพียงแต่มองออกเท่านั้น นางยังเปิดโปงความลับด้วย นี่ไม่เท่ากับการถลกหนังหน้าของพวกเขาออกมาหรือ

จะไม่เกลียด จะไม่โกรธได้อย่างไร

หากจัดการไม่ดี หน้าตาและโชคลาภของตระกูลอวี้ก็อาจจะจบลงแค่นี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทนไม่ได้

สายตาที่ผู้อาวุโสทั้งสี่มองฉินหลิวซีราวกับว่าคนผี พวกเขากันไปมองคนที่อยู่รอบๆ “ยืนโง่อยู่ทำไม ยังไม่ไปจับพวกเขาอีก?”

“จิ๊ๆๆ ถูกข้าเปิดโปงก็เลยโกรธมากอย่างนั้นหรือ” ฉินหลิวซีเยาะ “ผู้ใหญ่ก็มักจะเป็นแบบนี้ ทำผิดแล้วไม่กล้ารับผิด ชอบเอาเรื่องอื่นขึ้นมากลบเกลื่อนปกปิด พิสูจน์ว่าตัวเองไม่ผิด อย่างเจ้า ไม่ต้องขึงตาใส่ข้าหรอก หมายถึงเจ้านั่นแหละ ตัวเองชักนำหมาป่าเข้ามาในบ้านแล้วปล่อยให้คนอื่นเข้ามาเอาสมบัติในบ้านไปจนหมด แถมยังมาโทษที่คนอื่นเปิดโปงอีก ถ้าข้าเป็นบรรพบุรุษของพวกเจ้า คงจะโกรธจนลุกขึ้นมาจากหลุมโบยตีพวกเจ้าแล้ว”

ทุกคนกลอกตาด้วยความโกรธ

“ฉังคง เจ้าอย่าได้เหลวไหลกับนาง” หัวหน้าตระกูลอวี้เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ผู้อาวุโสสามเยาะหยัน “จะพูดมากกับเขาไปทำไม ให้ข้าจัดการเถิด”

มีคนล้อมเข้ามา ฉินหลิวซีเยาะหยัน “ทำไมหรือ จะใช้คนมากรังแกคนน้อยหรือ เชื่อหรือไม่ว่าข้าเรียกบรรพบุรุษของพวกเจ้ามาฆ่าพวกเจ้าได้”

ฉินหลิวซีหยิบยันต์ออกมาจากแขนเสื้อ “เจ้าอะไรล่ะ รอก่อนเถิด!”

นางคีบยันต์ไว้ระหว่างนิ้ว พึมพำอะไรบางอย่าง และทำสัญลักษณ์มือ ยันต์นั้นก็ติดไฟขึ้นมาเอง ควันก็ลอยขึ้นสูงไปไกลๆ

ทุกคนต่างตกใจอกสั้นขวัญแขวน “รีบจับพวกเขาไว้เร็ว”

คนที่ดูเหมือนสตรีก็ไม่ใช่บุรุษก็ไม่เชิงผู้นี้ดูแปลกๆ รู้สึกว่านางจะก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ได้เสมอ

คนคุ้มกันรีบวิ่งเข้ามา ฉินหลิวซีดึงเถาวัลย์จากต้นไม้ข้างๆ มาอย่างง่ายๆ หมุนเป็นวงหลายรอบ จากนั้นก็แตะปลายเท้าทะยานขึ้นไปกลางอากาศ และสะบัด

เผียะ

คนคุ้มกันที่วิ่งเข้ามาก่อนถูกกระแทกออกไป ทุกคนอยู่ในอาการตกตะลึง

“ได้ๆๆ อวี้ฉังคงเจ้าจะต้องเป็นศัตรูกับคนทั้งตระกูลอวี้แล้ว เสียแรงที่เจ้าเป็นลูกหลานตระกูลอวี้” ผู้อาวุโสรองตัวสั่นไปทั้งตัว

อวี้ฉังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คนที่ผิดต่อตระกูลอวี้คือพวกท่าน” เขามองหัวหน้าตระกูลอวี้ด้วยสายตาเย็นชา “พวกท่านทำเรื่องที่ทำลายบุญกุศลเช่นนั้น คิดว่าเสียสละพวกท่านพ่อของข้าและคนอื่นๆ แล้วจะรับประกันไม่ให้เกียรติยศความรุ่งโรจน์ของตระกูลอวี้ไม่ให้สลายหายไป โชคลาภยังสืบเนื่องต่อไป แต่พวกท่านกลับไม่รู้ว่าพวกท่านตัดสินใจทำอะไรโง่ๆ ลงไป ชักนำหมาป่าที่ใจทะเยอะทะยานตัวจริงเข้ามา ขโมยโชคลาภที่เกิดจากบุญกุศลหลายร้อยปีของตระกูลอวี้เรา”

อะ อะไรนะ?

“เจ้า เจ้าพูดอะไร” หัวหน้าตระกูลอวี้กระวนกระวายใจ

อวี้ฉังคงเผยรอยยิ้มเยาะหยันเสียดสีออกมา

ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรออกมา จู่ๆ ก็มีลมหยินสายหนึ่งม้วนขึ้นมาเหนือสุสานบรรพชน ทุกคนตัวสั่นสะท้าน จากนั้นก็เห็นเด็กแปลกๆ ทักทายไปยังทิศทางหนึ่ง

“เหล่าเฮย”

เฮยอู๋ฉังมาถึงตรงหน้าฉินหลิวซีราวลมกรรโชกแรง และประสานมือ “ท่านมีธุระอะไรหรือ” แล้วเขาก็กวาดตามองคนที่อยู่ที่นั่นและสถานที่ที่ตนอยู่ ก่อนจะเอ่ย “สถานที่นี้ไม่เลวเลย มีบุญกุศลมหาศาล ของบ้านไหนหรือ”

อวี้ฉังคงเองก็ตัวแข็งทื่อไปแล้ว ดวงตาสวรรค์ที่ฉินหลิวซีเปิดให้เขายังทำงานอยู่ เขาจึงมองเห็นคนที่ดำไปทั้งตัวผู้นี้ เป็นท่านผู้สวมหมวกสีดำในตำนานท่านนั้น

“ของตระกูลอวี้น่ะ” ฉินหลิวซียังชี้ไปที่อวี้ฉังคง “นี่อวี้ฉังคง คนที่ข้าคุ้มครอง ต่อไปก็ช่วยดูแลเขาหน่อย”

เฮยอู๋ฉังมองไป แล้วเลิกคิ้ว อวี้ฉังคงรีบประสานมือและคารวะทักทายทันที “ใต้เท้าอู๋ฉัง”

“บุตรแห่งโชค” เฮยอู๋ฉังมองประเมินอวี้ฉังคง โชคลาภแข็งแกร่งมาก ใช่แหละ คนคนนี้กำลังหลงทางอยู่ในระหว่างดำและขาว หากจากขาวกลายเป็นดำ คนธรรมดาทั่วไปก็อาจจะเดือดร้อนได้

บาปกรรมจริงๆ หยกขาวดีๆ คนหนึ่ง ใครมันทำผิดจนเกือบทำให้เขากลายเป็นมารไปแล้ว

หัวหน้าตระกูลอวี้และคนอื่นๆ มองฉินหลิวซีและอวี้ฉังคงพูดคุยกับตัวเองในความว่างเปล่า ก็ขนลุกซู่ขึ้นมาทันที เมื่อครู่นี้อวี้ฉังคงเรียกใคร ใต้เท้าอู๋ฉัง?

ใช่ท่านนั้นที่พวกเขาคิดหรือไม่

แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่น่าสติแตกที่สุด สิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นคือคำพูดหลังจากนั้นของฉินหลิวซี

“ที่เรียกเหล่าเฮยมาก็ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก ท่านไปหามาให้ข้าหน่อยว่าบรรพบุรุษตระกูลอวี้ที่ยังไม่ไปเกิดใหม่มีกี่คน เชิญพวกเขาขึ้นมาสั่งสอนลูกหลานไร้ยางอายพวกนี้หน่อย เด็กซนน่ะ ถึงจะเป็นคนนอกข้าก็ไม่ถือสาที่จะช่วยสั่งสอนแทนพวกเขาหรอก แต่พวกเราเป็นคนมีเหตุผลทั้งยังมีมารยาท ให้ผู้ปกครองเขาสั่งสอนกันเองจะดีที่สุด”

ทุกคน “!”

ฟังเข้าสิ นี่มันภาษาคนหรือ

เฮยอู๋ฉังส่งเสียงอุทานรับรู้ แล้วเหลือบมองชายชราที่อยู่ตรงข้าม จากนั้นก็เหลือบไปมองหลุมศพใหญ่น้อยของตระกูลอวี้ที่มีนับหลายร้อยนั้น

ยกพวกตีกันก็ยังไม่ได้เล่นกันแบบนี้

“เรียกมาหมดเลยหรือ”

“ใช่ มีเท่าไรก็เรียกมาให้หมด พวกเขาก็ใช้คนมากรังแกคนน้อยไม่ใช่หรือ” ฉินหลิวซีชี้ตัวเองและคนที่อยู่อีกด้าน เรื่องไม่ยุติธรรมแบบนี้ใครจะทำไม่ได้บ้าง?

เฮยอู๋ฉังอดกลั้นเล็กน้อย “แต่ปัญหาคือ ท่านเรียกบรรพบุรุษของพวกเขามาตีลูกหลานของตัวเอง นี่มัน…”

“มีปัญหาหรือ ท่านดูช่องเปิดนั่นสิ”

เฮยอู๋ฉังมองไปและขมวดคิ้วทันที “บุญกุศลของตระกูลอวี้รั่วไหลออกไปได้อย่างไร”

“มันจะเป็นอะไรอีกล่ะ คนโง่พวกนี้ชักนำหมาป่าเข้ามาในบ้านน่ะสิ” ฉินหลิวซีจู๊ปากถอนหายใจ “จะพูดอะไรได้อีก นักพรตต้มตุ๋นก็เชื่อถือไม่ได้ นักพรตที่มีความสามารถจริงๆ ก็ยากที่จะเชื่อใจได้พอๆ กัน การฉวยโอกาสยิ่งเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ภายในเวลาไม่นานก็ขุดหลุมฝังตัวเองโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เพราะตัวเองไม่รู้ว่าคนอื่นทำอะไรลงไปกันแน่”

เฮยอู๋ฉัง “อย่างไรก็ตามแต่ท่านเองก็เป็นนักพรตเหมือนกัน ท่านพูดอย่างนี้ ไม่คำนึงถึงความรู้สึกของเพื่อนร่วมอาชีพบ้างหรือ”

หัวหน้าตระกูลอวี้เและคนอื่นๆ รู้สึกไม่สบายใจ รู้สึกว่ามีบางอย่างอยู่นอกเหนือการควบคุมของพวกเขา

“อารอง พวกท่านว่าอย่างไร” เขาขมวดคิ้วและหันไปมองผู้อาวุโสที่อยู่ข้างๆ เขา

“เสแสร้งหลอกหลวง จับพวกเขาไว้!”

เหล่าผู้คุ้มกันก้าวเข้าไป แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด จึงรู้สึกเหมือนจะมีสิ่งกีดขวางที่มองไม่เห็นอยู่ข้างหน้า ขวางทางพวกเขาไว้ จนอดอุทานด้วยความประหลาดใจไม่ได้ “พวกเราผ่านไปไม่ได้”

สีหน้าของเหล่าผู้อาวุโสเปลี่ยนไปอีกครั้ง “นางปีศาจ เจ้าใช้เวทมนต์คาถาอะไร”

ฉินหลิวซีตอบด้วยรอยยิ้ม “อยากรู้หรือ รอก่อนเถิด ข้าจะเรียกผู้ปกครองของพวกท่เจ้ามา!”

อวี้ฉังคง “…”

ท่านพูดกลับกันแล้วหรือเปล่า

ท้องฟ้าและโลกก็เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน

ทันใดนั้นหมอกก็ปกคลุมสุสานบรรพบุรุษ คนที่อยู่ตีนเขาเห็นเพียงชั้นหมอกปกคลุมเนินเขา บ่งบอกว่าสภาพอากาศกำลังจะเปลี่ยนแปลง

แต่คนที่อยู่ที่สุสานบรรพบุรุษต่างก็ขนลุกซู่ ฟันบนฟันล่างกระทบกันดังกึกๆ ไม่หยุด

เพราะคนที่อยู่ที่สุสานของบรรพบุรุษตอนนี้มองเห็นเงาคน… ไม่สิ เงาผีเพิ่มขึ้นมาอีกมากมายในเงามืด

คนเหล่านี้ล้วนเป็นบรรพบุรุษที่มีชื่อเสียงที่โด่งดังที่มีรูปอยู่ในห้องโถงบรรพบุรุษ มืดฟ้ามัวดิน พวกเขาต่างก็ยืนขึ้นเหนือหลุมศพของตน!

ทุกคนรู้สึกวิงเวียน “…”

เด็กบ้านี่เรียกผู้ปกครองของพวกเขามาที่นี่จริงๆ!

คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Score 10
Status: Completed
คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า นางคือปรมาจารย์ปู่ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น! รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาชีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่ง ฉินหลิวชี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเดำเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไป เบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู่ฉิว ผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงิน ปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิด เมื่อโชชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่นปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้ เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมรื่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัว เฮ้อ แม้ไม่หวังการก้วหน้าใดๆ แต่สรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเขียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้า เขาก็ดั้นดันเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า! "เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ" "ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ" "ไม่ป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง" "ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า" ฉีเซียนเอ่ย "ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป..." ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ "เดิมที่ท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน" "..."

Options

not work with dark mode
Reset