คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า 677 มารเอ้อฝูอยากเป็นเทพเจ้า

ตอนที่ 677 มารเอ้อฝูอยากเป็นเทพเจ้า

ตอนที่ 677 มารเอ้อฝูอยากเป็นเทพเจ้า

ฉินหลิวซีมองไปยังเฟิงปั๋ว ตั้งแต่ที่ปั้นใบหน้ารูปปั้นดินเผาออกมา ผู้คนต่างพากันบอกปากต่อปาก ทำให้ข่าวที่ว่าเทพเจ้าน้ำแสดงอภินิหารแพร่สะพัดไปทั่ว จึงมีผู้คนจำนวนมากมาสักการะ

เมื่อได้รับควันธูปแห่งความศรัทธา ซ้ำยังมีบุญกุศลที่ช่วยคนตกน้ำ เฟิงปั๋วจึงมีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น มีแสงสีทองไหลเวียนไปทั่วร่างกาย ทำให้คนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง

ฉินหลิวซีนั่งลงที่ด้านหน้าศาลพลางสนทนากับเขา ทำเอาพ่อค้าผู้นั้นมองมาอยู่บ่อยๆ สายตาเต็มไปด้วยความระมัดระวัง

“คนที่ตระกูลเหยียนของพวกท่านหามาเฝ้าศาลดูโจ่งแจ้งไปสักหน่อย ท่านดูสายตาที่เขาหวาดระแวงข้าสิ หากข้ายื่นมือเข้าไปหาร่างดินเหนียวของท่าน เขาก็จะอุ้มข้ากดลงน้ำ ท่านเชื่อหรือไม่” ฉินหลิวซีสบถเบาๆ

เฟิงปั๋วมองไปตามสายตาของนาง และได้เห็นคนที่เห็นได้ชัดว่าเป็นพ่อค้าหาบเร่ แต่ความจริงแล้วเป็นองครักษ์ประจำตระกูลกำลังจ้องมองฉินหลิวซี เขาอดหัวเราะไม่ได้ และรู้สึกหมดปัญญาเล็กน้อย

“มีร้านสุรามากมายอยู่ทางด้านทะเลสาบลวี่หู บางคนดื่มสุราแล้วก็พลัดตกน้ำ บางคนก็อาละวาดไปทั่ว พรุ่งนี้ก็เป็นเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง จึงมีราษฎรมาสักการะมากขึ้น และก่อนหน้านี้ก็มีคนที่ดื่มสุราแล้วมาฉี่อยู่หน้าศาลของข้า ทำเอาหัวหน้าตระกูลโกรธเป็นอย่างมาก จึงได้เปลี่ยนเป็นผู้ที่มีฝีมือมาแทน เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนมาดูหมิ่นศาล” เฟิงปั๋วเอ่ยอธิบาย

“แต่การเฝ้าเช่นนี้ก็ยากที่จะไม่ให้คนสงสัยแรงจูงใจของตระกูลเหยียน”

เฟิงปั๋วยิ้มพลางเอ่ย “ไม่ว่าคนทั่วไปจะสงสัยแค่ไหน พวกเขาจะคิดถึงเรื่องที่ว่าบรรพบุรุษตระกูลเหยียนกลายเป็นเทพเจ้าได้อย่างไร ในโลกนี้ไม่มีตำนานเทพเจ้าใดที่น่าเชื่อถืออย่างแท้จริง”

ผู้คนในโลกมีความเชื่อ แต่หากไม่เชื่อในศาสนาพุทธก็เชื่อในลัทธิเต๋า บางตำนานเทพเจ้ามีคนเล่าขาน แต่จะมีสักกี่คนที่เชื่อในตำนานเทพเจ้าจริงๆ

หลายคนจะเชื่อเพียงแต่ว่าโลกนี้ไม่มีเทพเจ้า มันไม่มีอยู่จริง

ฉินหลิวซีหัวเราะ “เทพอย่างท่านกลับบอกว่าตำนานเทพเจ้าไม่มีอยู่จริง น่าขันเล็กน้อย”

“ข้าเป็นเพียงครึ่งเทพ” เฟิงปั๋วยิ้มอย่างถ่อมตน “ยังห่างไกลจากเทพเจ้าแท้จริงอยู่มาก เจ้าดูสิ คนเหล่านี้ทำงานหนักเพื่อเงินไม่กี่ตำลึง ไปบอกให้พวกเขาเชื่อว่าเทพเจ้ามีอยู่จริง เป็นไปได้หรือ”

ฉินหลิวซีมองไปตามนิ้วที่เขาชี้ไป มีพ่อค้าหาบเร่หยุดลงขายของให้กับแม่นางที่ถามราคา

ฉินหลิวซีหันกลับมา “ที่ท่านพูดก็ถูก”

เฟิงปั๋วกลับมาที่หัวข้อสนทนาเดิม “เจ้ามามีธุระอะไรหรือ”

ฉินหลิวซีสีหน้าจริงจัง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “กระดูกพุทธะอีกหนึ่งชั้นปรากฏขึ้นแล้ว”

เมื่อเฟิงปั๋วเห็นท่าทางเคร่งขรึมของนาง ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ เอ่ย “ดูเจ้าอารมณ์ไม่ดี หรือว่ากระดูกพุทธะนี้มีคนอื่นได้ไปแล้ว”

“อืม ซ้ำยังเป็นคนทรยศอารามชิงผิงของพวกเรา แต่ตอนนี้อาจจะไม่ได้อยู่ในมือเขา อาจอยู่ในมือของเจ้าของที่แท้จริงแล้ว”

“หมายความว่าอย่างไร”

ฉินหลิวซีเล่าทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องของชื่อเจินจื่อด้วยคำพูดเพียงไม่กี่ประโยค ตอนนี้กระดูกพุทธะชิ้นนั้นของเขาอยู่ในมือใคร บอกไม่ได้เลยจริงๆ

เฟิงปั๋วก็รู้สึกชาเล็กน้อย เอ่ย “หากเจ้าของที่แท้จริงได้ไป เช่นนั้นอย่างน้อยเขาก็มีอยู่หนึ่งชิ้น หรือสองชิ้น ในฐานะเจ้าของเดิม วิญญาณ ร่างกาย และกระดูกของเขาย่อมเข้ากันมากกว่าคนอื่น ตราบใดที่กระดูกพุทธะปรากฏอีกครั้ง ทันทีที่พลังงานมีการผันผวน จะต้องหาพบได้เร็วขึ้นอย่างแน่นอน”

ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “ดังนั้นทางด้านของท่านมีความรู้สึกอะไรหรือไม่”

เฟิงปั๋วมองกระดูกขาของตัวเอง ส่ายหน้า “ในมือเจ้าก็มีอยู่หนึ่งชิ้นไม่ใช่หรือ”

“ไม่ได้ถืออยู่ในมือของข้า” ฉินหลิวซีใช้นิ้วเคาะบริเวณต้นขา แล้วเอ่ยว่า “แต่ของสิ่งนั้น ข้าได้ซ่อนมันไว้แล้ว”

“ไม่กลัวเขามาหาหรือ”

ฉินหลิวซีหรี่ตาลงเล็กน้อย มีแสงจางๆ ผ่านเข้ามาในดวงตา เอ่ย “หากเขาต้องการรวบรวมกระดูกพุทธะทั้งเก้าชิ้นจริงๆ ย่อมมาหาไม่ช้าก็เร็ว ข้ารออยู่”

นางเพียงกลัวว่าเขาจะไม่ต้องการกระดูกชิ้นนี้

เฟิงปั๋วถอนหายใจ “การดำรงอยู่ของคนผู้นี้เป็นภัยคุกคามอันใหญ่หลวงของคนทั่วไป เขาหลบหนีออกมาได้ ไม่มีทางที่จะไม่ทำอะไรเลย ย่อมต้องสร้างปัญหาเป็นแน่”

“รับรองได้เลยว่าเขากำลังวางหมากใหญ่อยู่ มิเช่นนั้นคงไม่มีทางที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหว” ฉินหลิวซีรู้สึกว่าซื่อหลัวช่างรู้จักอดทนเสียจริง เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีแล้วที่เขาหนีออกมา แต่กลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เลย

ทั้งสองคนเงียบไป

“หากเจ้าเป็นเขา เจ้าคิดจะทำอย่างไร / หากท่านเป็นเขา ท่านคิดจะทำอย่างไร”

ทั้งสองคนถามขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย จากนั้นก็หัวเราะ

“มาระดมสมองกัน ท่านบอกก่อน” ฉินหลิวซีแบมือเชิญอีกฝ่าย

“ตั้งแต่ที่รู้ว่ากระดูกขาของข้าเป็นของเขา ข้าก็เคยได้อ่านประวัติของเขา กระทั่งเคยเชิญเทพเจ้าประจำเมืองมารวมตัวทำความเข้าใจเกี่ยวกับคนผู้นี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดเขาจึงถูกเรียกว่ามารเอ้อฝู”

ฉินหลิวซีไม่เข้าใจ “ก็เป็นเพราะฝึกวิชามารไม่ใช่หรือ”

เฟิงปั๋วตอบว่า “เป็นความจริงที่เขาฝึกฝนวิชามาร แต่สิ่งที่เขาฝึกบำเพ็ญกลับเป็นศาสนาพุทธแบบดั้งเดิม ดังนั้นที่เรียกว่ามารเอ้อฝูเป็นเพราะเขาฆ่าคนเป็นล้านแล้วกลายเป็นพุทธะจากการฆ่า ไม่ได้รับการยอมรับในใต้หล้า และถูกพุทธศาสนากับลัทธิเต๋าในช่วงเวลานั้นร่วมมือกันปราบปราม คุมขังไว้ที่มหาอเวจีนรก”

มีความคิดแวบเข้ามาในหัวฉินหลิวซี แต่มันก็หายไปก่อนที่นางจะคว้าไว้ได้

“อีกอย่าง แม้ว่าใต้หล้าจะเปลี่ยนแปลงไปหลายปี แม้ว่าเขาจะถูกคุมขังอยู่ที่มหาอเวจีนรก แต่เขาไม่เคยหยุดฝึกบำเพ็ญวิชาพุทธ แม้ว่ากำลังถูกลงโทษก็ตาม”

ฉินหลิวซีประหลาดใจ ยึดมั่นขนาดนั้นเชียวหรือ

“ข้าได้กระดูกพุทธะมาเพียงชิ้นเดียว แต่เมื่อศึกษาพระคัมภีร์และหลักธรรมคำสอนพุทธศาสนา กลับสามารถวิเคราะห์ได้อย่างง่ายดาย อีกอย่าง…” เฟิงปั๋วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยด้วยสีหน้าค่อนข้างเคร่งขรึม “ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายฆ่าคนจนกลายเป็นพุทธะหรือไม่ บางครั้งที่ข้าเจอเรื่องอยุติธรรมก็จะมีความรู้สึกอยากฆ่า”

ฉินหลิวซีรู้ว่ากระดูกพุทธะนั้นมีพลัง แฝงไว้ด้วยไอสังหารที่รุนแรง ดูเหมือนว่าตอนนั้นซื่อหลัวจะฆ่าคนไปมากมายจริงๆ

ไม่ใช่สิ

“กลายเป็นพุทธะจากการฆ่าคน เขาเป็นพุทธะแล้วจริงๆ หรือ” ฉินหลิวซีเอ่ยถาม

เฟิงปั๋วชะงักไปครู่หนึ่ง “คงเป็นแล้วกระมัง”

ฉินหลิวซีส่ายหน้า “ข้าคิดว่ายังขาดไปหนึ่งหมาก”

“ทำไมหรือ”

“พระพุทธเจ้าทั้งหลายอยู่บนนั้น” ฉินหลิวซีชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า เอ่ยว่า “ผู้คนในใต้หล้ากราบไหว้บูชาพระพุทธเจ้า กล่าวกันว่าเป็นพระตถาคตเจ้า และพระโพธิสัตว์กวนอิม พวกเขาเหล่านั้นเป็นใครกัน เป็นเทพเจ้า ท่านคิดว่าพระพุทธเจ้าที่แท้จริงจะถูกพุทธศาสนากับลัทธิเต๋าร่วมมือกันปราบได้หรือ ใต้หล้าจะยอมรับหรือ นรกจะขังเทพเจ้าหรือ ไม่มีทาง”

ฉินหลิวซีมองเขา สายตาลุ่มลึก เอ่ยว่า “ท่านเฟิงปั๋ว หากไม่อยากถูกจับขังไว้ที่มหาอเวจีนรกตลอดไป มีทางเดียวคือเป็นเทพเจ้า เมื่อเป็นเทพเจ้า แม้แต่สวรรค์ก็ทำอะไรมันไม่ได้”

เฟิงปั๋วชั่งน้ำหนักคำพูดเหล่านี้อย่างละเอียด แต่กลับส่ายหน้า “ที่เจ้ากล่าวมาก็มีเหตุผลเล็กน้อย แต่การเป็นพุทธะจากการฆ่าคน แม้ว่าจะเป็นพุทธะแต่ก็เป็นพุทธะสายมาร สวรรค์จะปล่อยไว้ได้อย่างไร เป็นเพราะสวรรค์ไม่เห็นด้วย เขาจึงได้มีจุดจบโดยการถูกจองจำ และอีกอย่าง หากเขาไม่ได้เป็นพุทธะ แล้วกระดูกพุทธะที่เหลือทิ้งไว้ ผ่านลมฝนมาเป็นเวลาหลายพันปี จะยังมีพลังพุทธะกับเจตนาฆ่าเช่นนี้ได้อย่างไร”

เฟิงปั๋วชั่งน้ำหนักคำพูดเหล่านี้อย่างละเอียด แต่กลับส่ายหน้า “ที่เจ้ากล่าวมาก็มีเหตุผลเล็กน้อย แต่การเป็นพุทธะจากการฆ่าคน แม้ว่าจะเป็นพุทธะแต่ก็เป็นพุทธะสายมาร สวรรค์จะปล่อยไว้ได้อย่างไร เป็นเพราะสวรรค์ไม่เห็นด้วย เขาจึงได้มีจุดจบโดยการถูกจองจำ และอีกอย่าง หากเขาไม่ได้เป็นพุทธะ แล้วกระดูกพุทธะที่เหลือทิ้งไว้ ผ่านลมฝนมาเป็นเวลาหลายพันปี จะยังมีพลังพุทธะกับเจตนาฆ่าเช่นนี้ได้อย่างไร”

ฉินหลิวซีเลียริมฝีปาก จากนั้นจึงเอ่ย “ข้าจะถือว่าท่านพูดถูก เขากลายเป็นพุทธะจากการฆ่าคน แต่กลับไม่ถูกยอมรับ ถูกจองจำ เช่นนั้นต้องทำอย่างไรประวัติศาสตร์จึงจะไม่ซ้ำรอยเดิม หลายพันปีมาแล้ว เขาย่อมคิดอย่างละเอียดจนเข้าใจแล้ว”

“อะไรนะ เป็น เป็นไปไม่ได้หรอกกระมัง!” เฟิงปั๋วสับสนเล็กน้อย เป็นเทพเจ้า ไหนเลยจะเป็นง่ายเช่นนั้น

สีหน้าของเฟิงปั๋วค่อยๆ เปลี่ยนไป “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

“เขาต้องการเป็นพุทธะที่แท้จริง” ฉินหลิวซีลุกขึ้นยืน มองออกไปไกล “เขาต้องการเป็นเทพเจ้า”

“อะไรนะ เป็น เป็นไปไม่ได้หรอกกระมัง!” เฟิงปั๋วสับสนเล็กน้อย เป็นเทพเจ้า ไหนเลยจะเป็นง่ายเช่นนั้น

เฟิงปั๋วตกตะลึง เป็นเทพเจ้าหรือ

ฉินหลิวซีมองเขา สายตาลุ่มลึก เอ่ยว่า “ท่านเฟิงปั๋ว หากไม่อยากถูกจับขังไว้ที่มหาอเวจีนรกตลอดไป มีทางเดียวคือเป็นเทพเจ้า เมื่อเป็นเทพเจ้า แม้แต่สวรรค์ก็ทำอะไรมันไม่ได้”

เฟิงปั๋วตกตะลึง เป็นเทพเจ้าหรือ

คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Score 10
Status: Completed
คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า นางคือปรมาจารย์ปู่ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น! รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาชีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่ง ฉินหลิวชี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเดำเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไป เบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู่ฉิว ผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงิน ปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิด เมื่อโชชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่นปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้ เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมรื่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัว เฮ้อ แม้ไม่หวังการก้วหน้าใดๆ แต่สรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเขียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้า เขาก็ดั้นดันเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า! "เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ" "ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ" "ไม่ป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง" "ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า" ฉีเซียนเอ่ย "ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป..." ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ "เดิมที่ท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน" "..."

Options

not work with dark mode
Reset