คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า 573 เอ่ยแทงใจดำเป็นงานถนัดของข้า

ตอนที่ 573 เอ่ยแทงใจดำเป็นงานถนัดของข้า

ตอนที่ 573 เอ่ยแทงใจดำเป็นงานถนัดของข้า

งานที่ฉินหลิวซีรับในวันนี้คือผู้ป่วยอัมพาตที่ลิ่นชิงอิงชักนำมา คนที่บาดเจ็บคือซุนหลี่ซวินบุตรชายคนรองเชื้อสายหลักตระกูลซุนเจ้าเมืองซุ่นเทียน และนายหญิงรองซุนเป็นสหายสนิทของลิ่นชิงอิง ลิ่นชิงอิงเห็นสหายรักลำบากกับการหาหมอมารักษาไปทั่วทุกคนหนทุกแห่งมากว่าครึ่งปี และวิชาการแพทย์ของฉินหลิวซีไม่เลวจึงอยากเชิญนางมาช่วยดู

ซุนหลี่ซวินร่วมขี่ม้าท่องไปพร้อมกับสหาย ไม่ทันระวังม้าตกใจจนตกลงจากหลังม้า ถูกเหยียบกระดูกส่วนเอวหัก ต่อมารักษาหายแล้ว ทว่าอาการอัมพาตนั้นยังอยู่ ตอนนี้นั่งอยู่บนรถเข็น เดิมเป็นชายหนุ่มจิตใจดีร่าเริง หลังจากเป็นอัมพาตแล้ว ดูมืดมนลงไม่น้อย อารมณ์ฉุนเฉียว หากภรรยาไม่ได้มาจากตระกูลแม่ทัพ คงถูกเขาโวยวายจนกลับบ้านมารดาไปแล้ว

ฉินหลิวซีทำความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับซุนหลี่ซวินจากลิ่นชิงอิง ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เป็นเรื่องปกติหากผู้ป่วยบางคนนิสัยเปลี่ยนไปมากเพราะรับความเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่แย่ลงไม่ไหว อย่างเย่ว์ติ้งที่มีวินัยควบคุมตนเองรักษาความสดใสเอาไว้นั้นมีน้อยมากจริงๆ

“ตั้งแต่ซุนรองอัมพาต นิสัยเขาก็ฉุนเฉียว หากเอ่ยวาจาล่วงเกิน ถึงตอนนั้นท่านเจ้าอาวาสอย่าได้ถือสา ไม่ทะเลาะกับเขา” ลิ่นชิงอิงเอ่ยเอาใจ

ฉินหลิวซีเพียงยิ้มไม่เอ่ยวาจา

วางใจเถิด ปกติข้าไม่ถือสาคนไข้ ข้าเพียงสอนเขาให้เป็นคน

ลิ่นชิงอิงมองรอยยิ้มนี้ รู้สึกหนาวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ฤดูหนาวยังไม่ผ่านเลยไปหรอกหรือ

นายหญิงรองซุนให้เกียรติ มาต้อนรับฉินหลิวซีด้วยตนเอง รู้ว่านางเป็นหมอนักพรต เป็นนักบวช ไม่ได้ปฏิบัติแบบคนทั่วไป เชิญเข้าไปพบผู้อาวุโสในบ้านก่อน จากนั้นพาฉินหลิวซีไปยังเรือนของตน

ตลอดทาง เอ่ยเล่าถึงที่มาของอาการป่วยอัมพาตของซุนหลี่ซวิน เอ่ยถึงนิสัยน่าอึดอัดของเขา หากล่วงเกิน ต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง

ฉินหลิวซีคิดในใจ ซุนรองผู้นี้ไม่รู้จะเกเรเพียงใด จนทำให้ภรรยาและสหายของภรรยาต้องมาขออภัยล่วงหน้าแทนเขา

ไม่นาน นางก็เข้าใจลึกซึ้งแล้ว

เพราะยังไม่ทันเข้าไปในเรือน นางก็ได้ยินเสียงหยิ่งยโสเสียดแหลมของบุรุษกำลังด่าทอ นายหญิงรองสีหน้าพลันเปลี่ยน รีบสาวเท้าเดินเข้าไปในเรือน

ฉินหลิวซีเดินตามติดอยู่ด้านหลัง ดวงตาสว่างวาบขึ้น

แย่แล้ว มีอาวุธลับ

นางเบี่ยงตัวหลับว่องไว หมุนตัวเตะ อาวุธลับนั้นลอยกลับคืนไปทางเดิม

ในเรือนมีเสียงกรีดร้องขึ้น

ทุกคน “…”

เจ้าอาวาสยังทำเช่นนี้ได้ด้วยหรือ

ดูเหมือนไม่ใช่ครั้งแรก แม่นยำเพียงนี้

“ใคร ใครคิดร้ายกับข้า ไสหัวออกมา”

ทุกคนเดินเข้าไป ทว่าเห็นชายหนุ่มหน้าซีดนั่งอยู่ในรถเข็นริมระเบียง กุมจมูกก่นด่าเสียงดัง ร่องรอยสีแดงสดไหลออกมาจากร่องนิ้วของเขา หยดลงที่ข้างเท้าของเขา ยังมีรองเท้ากลับด้านข้างหนึ่ง คล้ายอาวุธลับที่ฉินหลิวซีเตะกลับมาเมื่อครู่

ดังนั้นนี่คือซุนหลี่ซวินที่ทำร้ายคนอื่น แต่ถูกทำกลับอย่างนั้นหรือ

ลิ่นชิงอิงนวดขมับ เจอกันครั้งแรกก็ซับซ้อนแล้ว ลอบจุดเทียนไว้อาลัยให้ซุนรอง

นายหญิงรองซุนเดิมได้ยินเสียงสามีเริ่มอาละวาด ในใจก็เริ่มหงุดหงิด เคยเอ่ยกี่ครั้ง นี่คือความสัมพันธ์ที่แม้แต่ผู้มีอำนาจยังไม่อาจไหว้วานได้ เขายังโวยวายไร้เหตุผล บอกว่าไม่รักษาอย่างนั้นหรือ

ช่างโวยวายน้อยลงแล้วจริงๆ

ยังไม่รอให้นางโมโห สามีขี้โมโหก็ปารองเท้าแล้ว ทว่าถูกรองเท้าที่โยนออกไปลอยกลับคืนมา ชนเข้ากับจมูกจนเลือดออก

นายหญิงรองซุนทั้งตกใจทั้งโมโห รีบเอ่ยกับบ่าวรับใช้ “ยังนิ่งอยู่ทำไมกัน ยังไม่รีบไปเอาน้ำมาให้นายน้อยรองล้างจมูกอีก”

เหล่าบ่าวรับใช้วิ่งวุ่น รีบไปจัดการหน้าที่ของตน

ซุนหลี่ซวินกลับผลักนายหญิงรองซุนออก เอ่ย “ออกไปๆ ไม่ต้องให้เจ้ามายุ่ง”

นายหญิงรองซุนฟาดไปที่ไหล่ของเขา “สงบสักหน่อย ท่านเจ้าอาวาสน้อยมาแล้ว”

“แล้วแต่เขาจะแก่จะน้อย อย่างไรข้าก็ไม่ตรวจ รักษาไม่หายทั้งนั้น จะตรวจไปไยเล่า ไม่ต้องมายุ่งกับข้า” ซุนหลี่ซวินเอ่ยเสียงดัง “เว่ยซื่อเจ้ารังเกียจที่ข้าพิการแล้ว เอาแต่ทรมานข้าอยู่ได้”

นายหญิงรองซุนโกรธแทบอยากยื่นมือไปหยิกเขา

ฉินหลิวซีรู้สึกเสียดาย ไม่ได้เอาเมล็ดแตงมาด้วย ดูละครขาดอะไรบางอย่างไป ซุนรองนี่ขี้โมโหจริงๆ ด้วยสินะ

ทันใดนั้น ตรงหน้ามีมือเล็กปรากฏขึ้นหนึ่งมือ ก่อนจะแบออก เป็นเมล็ดแตงโมจำนวนหนึ่ง

ฉินหลิวซีตาวาวแล้วรับมา ส่งสายตาชื่นชมและพึงพอใจไปให้ลูกศิษย์ ลูกศิษย์ของข้าเก่งขึ้นแล้ว

เถิงเจาคิดในใจ ตรงหน้ายังแสดงไม่จบเลยนะ

ลิ่นชิงอินเกรงว่าฉินหลิวซีจะโกรธจนหนีไป จับจ้องฉินหลิวซีอยู่ตลอด เห็นการกระทำของศิษย์กับอาจารย์ หนังตากระตุกสองสามครั้ง

ซุนหลี่ซวินคว่ำอ่างน้ำที่บ่าวรับใช้นำเข้ามา เอ่ย “หากเจ้ารังเกียจข้า ข้าจะเขียนหนังสือหย่าให้เจ้าเดี๋ยวนี้ พวกเราเลิกแล้วต่อกัน”

นายหญิงรองซุนโมโหถึงขีดสุด หยิกแขนเขาสองครั้งแรงๆ “เจ้าคนบ้า หุบปากเสียบัดนี้ มิเช่นนั้นข้าจะตีเจ้าให้ตาย”

ซุนหลี่ซวินเปลี่ยนเป็นเอ่ยด้วยเสียงสะอื้น “ตีสิ ข้าตายแล้วเจ้าจะได้แต่งงานใหม่”

ฉินหลิวซีแทะเมล็ดแตงถุยเปลือกออกมาเอร็ดอร่อย แสดงละครเก่งจริงๆ

นายหญิงรองหมดความอดทน เอ่ย “ชิงอิงไหว้วานมาให้ข้า เจ้าอย่ามาเรื่องมาก มิเช่นนั้นข้าจะให้ท่านพ่อใช้กฎตระกูล ขังเจ้าในหอบรรพบุรุษ”

“ข้ารู้อยู่แล้ว ทุกคนรักเกียจที่ข้าพิการ…โอ๊ย” ซุนหลี่ซวินกุมศีรษะ หดคอลง เอ่ยเสียงแหลม “เจ้าตีข้าอีกแล้ว”

“เข็นนายน้อยรองเข้าไป จัดการให้เรียบร้อย” นายหญิงรองซุนสั่งการบ่าวรับใช้

เหล่าบ่าวรับใช้ไม่กล้าต่อต้าน รีบเข็นเข้าไป

นายหญิงรองใบหน้าเหน็ดเหนื่อยอีกทั้งละอายแก่ใจเดินเข้ามา ย่อตัวนอบน้อมต่อฉินหลิวซี เอ่ย “ขายหน้าต่อเจ้าอาวาสน้อยแล้ว สามีของข้าช่าง…”

สายตาของนางเคลื่อนมาหยุดอยู่ที่เมล็ดแตงที่ยังกินไม่หมดของฉินหลิวซี สะอึกไปชั่วครู่ นี่คือของกินเล่นระหว่างชมละครหรือ

“ท่านช่างใจเย็น เหมาะสมที่จะเป็นคู่สามีภรรยากับเขา เขาแต่งท่านนับว่าเป็นวาสนาของเขา” ฉินหลิวซีเอ่ย

สายตาของนายหญิงรองซุนอ่อนโยนลง เอ่ย “เขาปากไม่ตรงกับใจ เป็นคนปากแข็ง ใจกลับไม่ได้ร้ายนัก”

“ดูออก” ฉินหลิวซีโยนเมล็ดแตงโมเข้าปาก เอ่ย “เข้าไปเถิด”

นายหญิงรองซุนดูท่าทางนางไม่ได้ใส่ใจกับการเสียมารยาทของสามี พ่นลมหายใจออกมาในใจ รีบเดินนำนางเข้าไป

ซุนหลี่ซวินยังคงฮึดฮัด มองเห็นฉินหลิวซี สายตาสงสัย ปรายตามองนาง เอ่ยเสียดสีอีกหนึ่งประโยค “นี่ก็คือเจ้าอาวาสน้อยอะไรนั่นอย่างนั้นหรือ น้อยจริงๆ ขนเกิดครบแล้วหรือไม่ เหล่านายหญิงพวกเจ้าอย่าถูกหลอกถึงจะดี มีบางคนดูเป็นผู้เป็นคน หลอกนายหญิงเช่นพวกเจ้าเก่งที่สุดแล้ว”

ความโกรธของนางหญิงรองปะทุขึ้นมาอีกครั้ง แส้ของข้าเล่า เอามาให้ข้าตีเขาให้ตาย

ฉินหลิวซีก้าวขึ้นมาด้านหน้าหนึ่งก้าว เอ่ย “ขนจะเกิดครบหรือไม่ไม่สำคัญ สำคัญคือข้ารู้ว่าท่านป่วย ทำไมหรือ ทำเช่นนี้ กลัวว่าภรรยาของท่านพบว่าช่วงนี้น้องชายของท่านลุกไม่ขึ้น จะหนีกลับบ้านมารดาจริงๆ หรือ”

อะไรกัน

ผู้คนในห้องชะงักนิ่งไปชั่วครู่

ใบหน้าทะมึนเหยียดหยามของซุนหลี่ซวินลุกลี้ลุกลนขึ้นมาชั่วครู่ อีกทั้งตึงลงอีกครั้ง ยิ่งทะมึนอย่างเห็นได้ชัด

นายหญิงรองซุนและลิ่นชิงอิงต่างได้สติกลับมาแล้ว คนแรกมองไปที่บริเวณเอวของเขาอย่างไม่ใส่ใจ ทว่าลิ่นชิงอิงกลับหันหลังด้วยใบหน้าแดงก่ำ ก้าวเท้าเหมือนมดย้ายบ้าน ออกไปแบบนี้คงไม่เป็นที่สนใจกระมัง

เจ้าอาวาสน้อยก็พูดเกินไปจริงๆ นางลืมไปหรือไม่ว่าตนเองเป็นนักพรตหญิง

ฉินหลิวซีกลับปรายตามองซุนหลี่ซวินอย่างท้าทาย พูดแทงใจดำ ข้านั้นเป็นมืออาชีพ

คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Score 10
Status: Completed
คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า นางคือปรมาจารย์ปู่ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น! รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาชีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่ง ฉินหลิวชี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเดำเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไป เบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู่ฉิว ผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงิน ปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิด เมื่อโชชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่นปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้ เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมรื่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัว เฮ้อ แม้ไม่หวังการก้วหน้าใดๆ แต่สรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเขียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้า เขาก็ดั้นดันเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า! "เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ" "ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ" "ไม่ป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง" "ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า" ฉีเซียนเอ่ย "ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป..." ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ "เดิมที่ท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน" "..."

Options

not work with dark mode
Reset