คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า 464 ข้าจะสอนการประพฤติตนให้เจ้า

ตอนที่ 464 ข้าจะสอนการประพฤติตนให้เจ้า

ตอนที่ 464 ข้าจะสอนการประพฤติตนให้เจ้า

ทั้งต้าเฟิง ผ้าไหมของอวี๋หังมีคุณภาพดีที่สุด ร้านขายผ้าไหมที่นี่ย่อมมีมากมาย แต่ร้านขายผ้าไหมที่ใหญ่ที่สุดคือร้านของตระกูลซู ตระกูลหลี่ และตระกูลหลิ่ว และยังมีตระกูลชีซึ่งเป็นกิจการของราชวงศ์

หากเอ่ยถึงร้านที่ราคาแพงที่สุดย่อมเป็นของตระกูลชี อย่างไรเสียก็ได้ครองฐานะเป็นกิจการของราชวงศ์ ด้วยเหตุนี้ตระกูลชีจึงได้รับการสนับสนุนที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ดำเนินการต่างๆ อย่างเผด็จการ ยิ่งคนตระกูลชีที่กระทำการอยู่ข้างนอกก็ยิ่งหยิ่งผยองเป็นอย่างมาก

ตระกูลชีสูงส่ง แต่หากเอ่ยถึงเรื่องชื่อเสียงนั้นไม่ดีเท่าตระกูลซู เดิมทีตระกูลซูเคยเป็นกิจการของราชวงศ์ฮ่องเต้องค์ก่อน แต่เมื่อฮ่องเต้องค์ปัจจุบันขึ้นครองบัลลังก์ เครื่องราชบรรณาการของตระกูลซูเกิดความผิดพลาด จึงถูกตระกูลชีดึงลงจากม้า

คนวงในต่างก็กล่าวว่าตระกูลซูสูญเสียตำแหน่งกิจการราชวงศ์เนื่องจากกลอุบายของตระกูลชี หลายปีมานี้ตระกูลซูก็พยายามคิดที่จะยึดคืนฐานะกิจการราชวงศ์มาโดยตลอด เกือบชนะการแข่งขันในปีนี้ แต่ตระกูลชีกลับเลือกเส้นทางร่วมมือกับพระสนมเหมิงกุ้ยเฟย ตระกูลซูจึงแพ้ไปเพียงนิดเดียว

“ได้ยินมาว่าตระกูลชีถวายส่วนแบ่งหนึ่งส่วนให้กับจวนอันเฉิงโหวซึ่งเป็นตระกูลแม่ของพระสนมเหมิงกุ้ยเฟย” หย่งเฉวียนเอ่ยเสียงแผ่วเบา

ฉินหลิวซีพยักหน้า เดินเข้าไปในร้านผ้าไหมซูจี้ที่มีทั้งหมดสองชั้นและยังมีเรือนด้านหลัง ทันที่เข้าไปก็แทบจะตาลาย

ในร้านมีผ้ามากมายจริงๆ ซ้ำยังมีลวดลายหลายแบบ ในร้านก็มีคนจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นสตรี บุรุษมีเพียงหนึ่งถึงสองคน

ต่อจากที่หย่งเฉวียนแนะนำก่อนหน้านี้ ชั้นหนึ่งคือผ้าไหม ชั้นสองเป็นเสื้อผ้าสำเร็จรูป ห้องหย่าที่เรือนด้านหลังมีไว้สำหรับให้ลูกค้าผู้สูงศักดิ์ได้พักผ่อนหรือเลือกลองเสื้อผ้า

เมื่อทั้งสามคนเดินเข้ามาก็มีคนงานเข้ามาต้อนรับ มองสำรวจดูพวกเขาเล็กน้อยโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ยิ้มพลางถามว่าต้องการซื้ออะไร

“อยากจะดูลวดลายผ้าไหมที่กำลังเป็นที่นิยมในตอนนี้” ฉินหลิวซีมองดูแล้วเอ่ยว่า “มีสมุดลวดลายและสีให้เลือกหรือไม่”

มีหลายแบบมากเกินไป นางดูได้ไม่หมด ไม่สู้ดูกลุ่มคนและกลุ่มอายุที่เฉพาะเจาะจง เลือกเสร็จแล้วจะได้ออกไป

“มีขอรับ ลูกค้าโปรดรอสักครู่” คนงานผู้นั้นรีบเดินไปที่โต๊ะเก็บเงิน หยิบสมุดมาเล่มหนึ่ง ในสมุดเล่มนั้นมีผ้าชิ้นเล็กๆ และมีตัวเลขกำกับ เลือกง่ายเป็นอย่างมาก

แววตาของฉินหลิวซีแสดงให้เห็นถึงความสนอกสนใจ ร้านผ้าไหมของตระกูลซูนี้ช่างรู้จักจัดการจริงๆ มีสมุดผ้าไหมเช่นนี้ หากต้องการแบบใด ไม่ต้องดูผืนใหญ่ ดูผืนเล็กก็สามารถรู้ได้ จากนั้นก็เทียบกับหมายเลขที่กำกับไว้แล้วไปหามา รวดเร็วและแม่นยำ ประหยัดเวลาได้มาก

ฉินหลิวซีเลือกผ้าดิ้นสีกรมท่าลวดลายมงคลหนึ่งผืนก่อน จากนั้นก็ชี้ผ้าดิ้นสีแดงลายดอกไห่ถัง ผ้าไหมสีแดงดอกโบตั๋นหนึ่งผืนกับสีน้ำเงินเข้มอีกหนึ่งผืน

“ดูเสร็จแล้วหรือยัง หากไม่ซื้อก็อย่าทำให้เสียเวลา สมุดนี้ยังมีคนอื่นรอดูอยู่” เสียงที่ฟังดูไม่พอใจเล็กน้อยดังขึ้นจากทางด้านซ้าย

ฉินหลิวซีหันไปมอง สตรีผู้หนึ่งถือพัดพลางจ้องมองมาที่นาง สายตาแฝงไว้ด้วยความดูหมิ่น ข้างๆ นางยังมีบุรุษที่รูปร่างหน้าตาอ่อนโยนและดูโดดเด่น

สายตาของฉินหลิวซีมองผ่านใบหน้าของบุรุษผู้นั้นไปและไม่สนใจนาง ยังคงดูสมุดต่อ

สตรีผู้นั้นรู้สึกเหมือนถูกดูหมิ่น นางเลิกคิ้วพลางกล่าวเสียดสีว่า “พี่เซิน ท่านดูสิว่ามีคนที่ไม่มีปัญญาซื้อแล้วยังแกล้งทำเป็นคนมีเงินอีก”

“มีคนเช่นนี้อยู่ทุกที่ พวกเราแค่รอก็พอแล้ว”

ขวับ

ฉินหลิวซีปิดสมุด เอ่ยกับคนงานว่า “ผ้าที่ข้าสั่งไปเมื่อครู่ เอามาให้ข้าแล้วคำนวณค่าใช้จ่ายให้ด้วย ข้าจะไปดูอย่างอื่นต่อ”

ไม่แม้แต่จะดูผืนใหญ่ด้วยซ้ำ

คนงานประหลาดใจเล็กน้อย ตอบตกลงอย่างรวดเร็ว

สตรีและบุรุษผู้นั้นรู้สึกเหมือนถูกตบหน้า ใบหน้าแดงถึงใบหู

ฉินหลิวซีจูงเถิงเจาเดินผ่านสองคนนั้นไป กล่าวกับเถิงเจาว่า “อาจารย์จะสอนบทเรียนเกี่ยวกับการประพฤติตนให้เจ้า การประพฤติตนต้องมีเมตตาและมีคุณธรรม มีภรรยามีบุตรอยู่แล้วก็ยังแสร้งทำเป็นผู้ดีมาหลอกลวงสตรี การเป็นคนต้องเบิกตามองสิ่งต่างๆ ให้ชัดเจน อย่ารอให้ถูกคนอื่นหลอกขายแล้วยังโง่ช่วยเขานับเงิน โง่เง่าเหมือนกับหมู จุดจบมักจะน่าอนาถ”

เถิงเจา ‘เข้าใจแล้ว การด่าคนสามารถด่าทางอ้อมได้!’

บุรุษผู้นั้นสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็กลับมาเป็นปกติในไม่ช้า เพียงแต่สายตาแฝงไว้ด้วยความครุ่นคิดเล็กน้อย

สตรีผู้นั้นขมวดคิ้ว ในใจรู้สึกแปลกๆ และหงุดหงิด รู้สึกอยากจะจับฉินหลิวซีมาคุยกันให้รู้แล้วรู้รอด

ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องตกใจดังมาจากเรือนด้านหลัง ราวกับมีเรื่องใหญ่บางอย่างเกิดขึ้น มีเสียงเอะอะดังขึ้นมาเล็กน้อย

มีคนพุ่งออกมาหาคนงานพลางเอ่ย “เร็ว รีบไปเชิญหมอมา”

มีคนป่วยหรือ

ผู้ที่กำลังเลือกผ้าไหมอยู่ก็ไม่มีกะจิตกะใจแล้ว ต่างไปที่เรือนด้านหลังอยากดูความครึกครื้น

ฉินหลิวซีก็เดินเข้าไปด้วยเช่นกัน ทันทีที่เข้าไปในเรือนด้านหลังก็ได้ยินเสียงร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวดังขึ้นมา “ถวนถวน เจ้าอย่าทำให้แม่ตกใจ สวรรค์ หมอ รีบไปตามท่านหมอมา”

“ไม่ทันแล้ว อุ้มเขาออกไปเถิด” สตรีผู้หนึ่งเอ่ยด้วยความกังวล

ไม่นานฉินหลิวซีก็เห็นสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งแต่งตัวเหมือนเถ้าแก่เนี้ยของร้านรีบวิ่งออกไปนอกประตูโดยมีเด็กอยู่ในอ้อมแขน ตามด้วยผู้ที่แต่งตัวหรูหราหลายคน ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

ฉินหลิวซีมองดูเด็กคนนั้น ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีม่วง มือทั้งสองข้างวางอยู่บนคอพลางส่งเสียงร้องอึกอัก ตาเหลือก

มีอะไรติดคออย่างนั้นหรือ

ฉินหลิวซีเดินเข้าไป “ส่งมาให้ข้าเถิด ข้าเป็นหมอ ข้าช่วยเขาได้”

สตรีผู้นั้นตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง หญิงสาวแต่งกายสวยงามที่อยู่ข้างหลังนางก็ลังเลเช่นกัน ไม่ใช่ว่าพวกนางไม่ต้องการหมอ แต่ฉินหลิวซีเด็กเกินไป ไม่มีใครกล้าเชื่อ

ฉินหลิวซีกล่าวว่า “หากลังเลจะไม่ทันแล้ว”

นางเดินเข้าไปรับเด็กคนนั้นมา เอามือกดไว้ที่ลิ้นปี่ เช่นเดียวกับเด็กซึ่งถูกพุทราติดคอที่นางเคยช่วยตอนรักษาการกุศลก่อนหน้านี้ มือกำหมัด ส่งแรงไปที่กำปั้น สามนิ้วกดลงบนสะดือของเขาเบาๆ ทางเดินหายใจของเด็กคนนั้นก็ถูกเปิดออก ก่อนจะสำลักลูกกวาดทรงกลมเม็ดหนึ่งออกมา

เด็กน้อยไอออกมา แต่หายใจสะดวกขึ้นแล้ว ก่อนจะร้องไห้ออกมาเบาๆ

ทุกคนตกตะลึง เร็วเกินไปแล้ว โดยเฉพาะมารดาของเด็กผู้นั้น ตอนที่รู้ว่าเด็กมีอะไรติดคอ พวกเขาก็ทั้งตบทั้งล้วง แต่ก็ไม่สามารถล้วงออกมาได้ แต่เมื่อส่งให้เด็กหนุ่มผู้นี้ เพียงไม่กี่อึกใจก็หายแล้ว?

จากนั้นฉินหลิวซีก็ส่งเด็กคืนให้กับสตรีผู้นั้น เอ่ย “เด็กยังเล็กเกินไป อย่าให้เขากินของเล็กๆ เหล่านี้ จะทำให้ติดคอได้ง่าย”

หญิงสาวรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก กล่าวขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า อุ้มเด็กน้อยขึ้นมาทั้งหอมทั้งมองดู รู้สึกกลัวจับใจไปหมด แทบจะอ่อนแรงล้มลงบนพื้น บ่าวรับใช้ข้างกายจึงต้องเบียดตัวเข้าไปพาพวกเขาสองคนแม่ลูกไปที่ห้องหย่า

เมื่อฉินหลิวซีเห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว ก็หันหลังกลับไปที่ห้องโถงด้านหน้า

สตรีที่เดิมทีเยาะเย้ยฉินหลิวซีก็มาดูความครึกครื้นด้วยเช่นกัน เมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินมาก็ขดตัว ยืนอยู่ด้านข้างโดยไม่กล้าเอ่ยอะไร

ฝีมือของฉินหลิวซีเมื่อครู่นี่ทำให้ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นต่างตกตะลึง นางเองก็ย่อมไม่กล้าทำอะไร

ฉินหลิวซีพึ่งจะเดินออกมา ในห้องหย่าด้านหลังก็ส่งเสียงกรีดร้องด้วยความตื่นตระหนกอีกครั้ง เถ้าแก่เนี้ยผู้นั้นรีบวิ่งออกมา ตะโกนขึ้นว่า “ท่านหมอน้อย คุณชายเสี่ยวจูยังไม่ดีขึ้น ท่านรีบมาดูเร็วเข้า”

ฉินหลิวซีชะงักฝีเท้า เป็นไปไม่ได้

แต่นางยื่นมือเข้าไปช่วยแล้ว หากตอนนี้จากไปก็คงไม่ดี ยิ่งจะทำให้คนรู้สึกว่านางละอายใจ ยังรักษาไม่หายดีก็จะหนีไปแล้ว!

นี่ไม่ใช่นิสัยของนาง

ฉินหลิวซีหันหลังกลับมา เข้าไปในห้องหย่า กลิ่นหอมฉุนของดอกไม้กระทบปลายจมูก นางหันไปมอง

คุณนายน้อยจูผู้นั้นกังวลยิ่งกว่าเมื่อครู่ เรียกชื่อเล่นของบุตรชายไม่หยุด เมื่อเห็นฉินหลิวซีก็อุ้มบุตรชายเข้ามาหา “ท่านหมอน้อย ท่านรีบดูบุตรชายข้าเร็วเข้า ลูกกวาดนั้นสำลักออกมาแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดเขาจึงได้สลบไป”

คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Score 10
Status: Completed
คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า นางคือปรมาจารย์ปู่ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น! รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาชีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่ง ฉินหลิวชี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเดำเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไป เบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู่ฉิว ผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงิน ปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิด เมื่อโชชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่นปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้ เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมรื่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัว เฮ้อ แม้ไม่หวังการก้วหน้าใดๆ แต่สรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเขียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้า เขาก็ดั้นดันเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า! "เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ" "ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ" "ไม่ป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง" "ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า" ฉีเซียนเอ่ย "ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป..." ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ "เดิมที่ท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน" "..."

Options

not work with dark mode
Reset