“แหม่ ยังไม่ทันได้ลูบเลยแท้ๆ! ก็นะ แล้วเรื่องราวมันก็จบเท่านี้งั้นเหรอ?”
“ก็ใกล้แล้วแหละ จากนั้นเขาก็มองดูพวกเราแยกย้ายเข้าอาคารเรียนแล้วหมอนั่นก็จากไป”
“อย่างนี้นี่เอง แล้วหลังจากนั้นได้เจอก็ไดกิคุงตอนที่เรียนอยู่ ม.ต้น อีกรึเปล่า?”
“ก็เจอบ้างตอนที่อยู่โถงทางเดินนะ แต่ก็ได้คุยกันก็แค่ครั้งเดียว”
“งั้นเหรอ แล้วคุยเรื่องอะไรกันล่ะ”
“ก็เรื่องในวันนั้นน่ะไม่ใช่เรื่องบังเอิญน่ะ”
“หา?”
เหมือนว่าเรื่องที่เรากับฮอนโดคุยกันนั้นไม่ใช่เรื่องที่ไอคาดคิดไว้
ไอเลยออกสีหน้าตกใจออกมา
“หมายความว่ายังไงล่ะนั่น อธิบายหน่อยสิ”
“ก็ไม่ใช่ว่าการสภาพรักครั้งนั้นจะเป็นการเตี๊ยมวางแผนกันมาก่อน อะไรทำนองนั้นหรอกนะ อีกอย่างการที่เราจะไปที่ด้านหลังอาคารเรียนทั้งที่พวกเราเองก็เรียนโรงเรียนเดียวกันที่ต่างฝ่ายก็ต่างก็รู้ว่าที่ตรงนั้นไม่ใช่สถานที่ที่จะแวะเวียนไปโดยไม่มีเหตุผลได้”
“ก็เท่าที่พี่ฟังจากที่เคย์เล่ามามันก็ฟังขึ้นนะ มันคงจะเป็นสถานที่ที่ดีในการสารภาพรักเลยเพราะมันเปลี่ยวไม่ค่อยมีคนไปตรงนั้นด้วย”
ตัวเราเองก็ไม่ทันได้เอะใจถึงความรู้สึกแหม่งตอนที่เจอฮอนโดครั้งแรก
พอได้นึกถึงเหตุการณ์นั้นสองถึงสามครั้งได้ในที่สุดเราก็นึกสงสัยเรื่องนี้ขึ้นมา
“แล้วพอถามฮอนโดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไป หมอนั่นก็มีสีหน้าลำบากใจเหมือนเด็กน้อยที่เล่นซน”
“แล้วยังไงต่อๆ?”
“ฮอนโดบอกว่าตอนแรกตัวเขาก็ยังอยู่ในอาคารเรียนตามปกติแต่พอมองผ่านหน้าต่างของตัวอาคารก็เห็นชั้นกับผู้ชายคนนั้นเดินออกไปทางด้านหลังอาคารเรียน หมอนั่นก็พูดเสริมว่าคนๆนั้นเป็นพวกหัวรุนแรงนิดหน่อยก็เลยเป็นห่วงเลยตามไปดูที่ด้านหลังอาคารเรียนน่ะ”
“ไดกิคุงนี่เป็นพวกขี้เป็นห่วงจริงน้า”
ทัศนคติของไอที่เป็นห่วงเรามันก็มีมากพอๆกับฮอนโดในตอนนั้นนั่นแหละนะ
“ก็ว่างั้นแหละ ชั้นก็เลยพูดกับหมอนั่นไปว่า [ต่อให้เราจะไม่ใช่เพื่อนหรือคนรู้จักกันก็ตาม ทำไมนายถึงได้ทำเพื่อชั้นขนาดนี้กันล่ะ?]”
“แล้วไดกิคุงเขาตอบว่าไงล่ะ?”
“หมอนั่นบอกว่าไม่อยากจะมานั่งเสียใจทีหลังและก็บอกว่าที่ทำแบบนั้นลงไปเพราะคงจะได้เกลียดตัวเองแน่ๆถ้าหากว่าเมินเฉยจนชั้นบาดเจ็บหรือเกิดเรื่องร้ายๆขึ้นกับชั้นน่ะ”
ในตอนนั้นท่าทีของฮอนโดดูหงอยๆ
“อย่างงี้นี่เอง ทั้งหมดก็เพื่อตัวเขาเองสินะแล้วเคย์ตอบกลับไปว่ายังไงล่ะ?”
“ก็บอกไปว่า……นายคอยทำเรื่องแบบนี้อยู่ตลอดเลยเหรอ? ถ้าไม่ระวังซักวันนายเองก็จะงานเข้าเหมือนกันนะ………”
“เคย์…ตรงนั้นน่ะควรที่จะต้องพูดว่า [ขอบคุณนะที่เข้ามาช่วยชั้นไว้] พร้อมกับเขินจนหน้าแดงไม่ใช่รึไง?”
“ใครมันจะไปหน้าแดงกันล่ะยะ! ไอ้ชั้นเองก็คิดว่าตัวเองควรที่จะขอบคุณหมอนั่นให้เป็นเรื่องเป็นราวอยู่หรอก แต่มันกลับพูดไม่ออก….”
เกลียดตัวเองชะมัด
ทำไมตอนนั้นเราถึงเอ่ยปากพูดขอบคุณหมอนั่นไม่ได้เลยสักคำเลยกันนะ
“เคย์นี่ค่อนข้างเงอะงะจริงๆเลยน้า~ แต่ว่านั่นก็ถือว่าเป็นเสน่ห์รูปแบบนึงอยู่เหมือนกัน แล้วนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมดของสมัยเรียน ม.ต้น แล้วสินะ?”
“อืม แล้วตลอดจนเรียนจบ ม.ต้น ก็ไม่ได้คุยกับหมอนั่นอีกเลย”
“อย่างนี้นี่เอง พอจะเข้าใจแล้วล่ะก็คือเด็กหนุ่มคนนึงปรากฏตัวขึ้นในช่วงเวลาคับขันจากนั้นเคย์ก็เลยตกหลุมรักหลังจากที่ได้รับการช่วยเหลือ ดีจังเลยน้า พี่ว่าเคย์นี่มีชีวิตรักวัยรุ่นที่ดีเลยนี่นา”
“หนวกหูน่า อีกอย่างตอนนั้นเองชั้นก็ยังไม่ได้ชอบหมอนั่นเลยด้วยซ้ำ”
“เอ๋ จริงเหรอ?”
“ก็ใช่น่ะสิ ก็แค่คิดว่าหมอนั่นเป็นแค่คนที่ใจดีแปลกๆแค่นั้น”
“งั้นเหรอ แล้วสรุปเคย์เริ่มชอบไดกิคุงตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะ?”
แววตาของไอส่องเป็นประกายเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือจากเมื่อตอนเช้าโดยสิ้นเชิง นี่หล่องอยากรู้อยากเห็นเรื่องเรื่องชีวิจรักของน้องสาวตัวเองขนาดนั้นเลยรึไง
“คุยกันมากพอแล้ว ไว้คุยวันหลังละกัน”
“ขี้โกงนี่!!! พึ่งเข้าเนื้อหาหลักแท้ๆ อย่ามาทิ้งให้ค้างกันทั้งอย่างนี้ซี่”
ไอจับไหล่ทั้งสองข้างของเราเขย่าไปมา
และเพราะรู้สึกเริ่มรำคาญเลยสะบัดมือเธอออก
“หนวกหูจริงๆ ชั้นชดใช้ค่าข้าวกล่องคืนให้ตามสัญญาที่คุยไว้ก่อนหน้านี้ให้แล้ว”
“แหม ก็ใช่อยู่หรอกแต่มัน…….จริงสิ! งั้นถ้าเคย์ยอมบอกพี่ว่าทำไมเคย์ถึงเริ่มชอบเขา พี่ก็จะช่วยหนุนหลังชีวิตรักของเคย์อีกแรงเองว่าไงล้า~!”
“ไม่อยากได้อ่ะ”
“ตอบทันทีทันใดเลยเหรอ!?”
“จะให้ไปไว้ใจคนที่แม้แต่ชีวิตรักของตัวเองก็ยังจัดการเองไม่ได้ได้ยังไงกัน”
“อะ-เฮื้ออออ!!!”
ทั้งไอกับโยสุเกะก็เหมือนกันทั้งคู่ที่ต่างฝ่ายต่างชอบกันแต่ก็ยังไม่ได้คบกันอย่างเป็นทางการก็เพราะว่าทั้งคู่ยังไม่มีใครยอมปริปากสารภาพรักก่อน โยสุเกะเองก็เอาแต่หันหน้าหนีจากการที่จะไปสารภาพรักกับไอเพราะว่าไอเองก็เอาแต่ปฏิเสธคำสารภาพรักจากผู้ชายคนอื่น
ตัวไอเองก็อยากให้โยสุเกะมาสารภาพความรู้สึกของเขาที่มีต่อเธอซักที
และเพราะอย่างนี้ไอและโยสุเกะจึงสานสัมพันธ์กันในฐานะของเพื่อนสมัยเด็กมากกว่าจะสานสัมพันธ์กันในฐานะของคนรัก
“แฮะๆ ทีแบบนี้ล่ะเก่งเชียวนะเคย์”
ดูเหมือนว่าไอจะหายจากอาการบาดเจ็บทางใจแล้วสินะ
“ก็แค่พูดเรื่องจริงแค่นั้นเอง”
“ก็ถือว่าเป็นหมัดแย็บทีไม่เลวเลยล่ะนะยัยคุณน้องสาวของพี่ เอาล่ะเดี๋ยวนะ การให้คำแนะนำเรื่องความรักอาจจะยุ่งยากสักหน่อยแต่พี่ว่าก็มีเรื่องที่พี่พอจะทำได้อยู่”
“อะไรกันล่ะนั่น?”
ชั้นเงี่ยหูฟังอย่างค่อยไม่ต็มใจเท่าไหร่นักเพราะรู้ดีว่ามันคงจะไม่ใช่คำแนะนำที่มีสาระแน่ๆ
“พี่จะใช้อำนาจในตำแหน่งของรองประธานสภานักเรียนเรียกไดกิคุงมาแล้วถามเขาเองว่าสรุปแล้วคิดยังไงกับเคย์กันแน่ไงล้า~!”
“เดี๋ยวปั๊ดซัดให้คว่ำซะเลยนี่”
ตอนนี้ใช่เวลาที่จะใช้อำนาจจากตำแหน่งรองประธานสภานักเรียนรึไงฮะ
“ไม่เอาน่า พี่ว่ามันออกจะสมบูรณ์แบบจะตายไป”
“สมบูรณ์แบบตรงไหนมิทราบ? ใช้อำนาจในทางมิชอบสิไม่ว่าแล้วถ้าเกิดหมอนั่นคิดไม่ดีกับชั้นขึ้นมาจะทำไงห๊า”
“คิดมากเกินไปหน่อยมั้งง เคย์เป็นสาวสวยจะตายไปพี่มั่นใจเลยว่าไดกิคุงคงจะต้องเอ่ยปากชมเคย์ไม่หยุดปากแน่ๆเลยนะ”
“ใครคือสาวสวยมิทราบยะ!! จะยังไงก็เถอะไอเดียนั้นไม่เอา ขอปฏิเสธ”
“ใจร้าย~ ถึงแม้ว่าพี่อาจจะล้อเล่นครึ่งนึงก็เถอะแต่พี่คิดว่าการที่มีคนที่อยู่ในโรงเรียนเดียวกันให้การสนับสนุนความรักของเคย์นี่มันก็ทำให้มีกำลังใจขึ้นเยอะเลยนะ”
ก็จริงที่ว่าจนถึงตอนนี้คนที่รู้เกี่ยวกับความรู้สึกที่เรามีให้กับฮอนโดก็คือไอ
ก็พอจะรู้ตัวอยู่หรอกว่าระหว่างการที่มีคนให้พึ่งพากับไม่มีคนให้พึ่งพามันต่างกันเยอะมากๆ
คำแนะนำของไอก็ใช่ว่าจะเลวร้ายกับเราซะทีเดียว
“………..ก็ได้….แต่อย่าเข้ามาจุ้นจ้านก็แล้วกัน”
“โอ้ว!! ทีนี้เราอยู่บนเรือลำเดียวกันแล้วสิน้า แล้วเคย์จะเล่าให้พี่ฟังถึงช่วงที่หัวใจเต้นตึกตั้กกับไดกิคุงได้แล้วใช่ม้า?”
“ไม่เคยใจเต้นแรงสักหน่อย…”
“คุณน้องคะ ไม่ปากไม่ตรงกับใจเอาซะเลยนะคะ เอาล่ะ ถ้างั้นบอกพี่มาหน่อยว่าอะไรที่ทำให้คุณน้องสนใจในตัวไดกิคุงล่ะคะ?”
“เอาเถอะ ถ้าแค่เรื่องนั้นก็บอกได้อยู่หรอก มันคือช่วงตอนเรียนปีหนึ่งตอนเข้าเรียน ม.ปลาย…….”
อยู่มาวันหนึ่งหลังเลิกเรียน ระหว่างช่วง ม.ปลาย ปีหนึ่ง
ชั้นกลับไปที่ห้องเรียนเพื่อไปเอาของที่ลืมไว้
ตอนนั้นคิดว่าไม่น่ามีใครอยู่แล้วเพราะว่าตัวเราก็ออกจากโรงเรียนไปได้สักพักนึงแล้ว
“จะว่าไปโทชิยะวันนี้นายว่างมั้ย?”
ชั้นหยุดมือที่กำลังจะเปิดประตูและก้มตัวลงตามสัญชาตญาณเมื่อได้ยินเสียงอันแสนคุ้นเคยนั้น
“อ่า วันนี้ไม่มีกิจกรรมชมรมน่ะเพราะงั้นไม่มีปัญหา”
“งั้นก็ดีเลย”
ไหงถึงได้เหลือสองคนนั้นได้ล่ะเนี่ย? แบบนี้ก็เข้าไปในห้องเรียนยากน่ะสิ
ฟังจากเสียงที่ได้ยินจากข้างในเหมือนว่าจะมีแค่ฮอนโดและมัตสึโอกะ
เพียงสองคนที่เหลืออยู่ในห้องเรียนและดูเหมือนว่าจะยังไม่รู้ตัวว่าเราอยู่ตรงข้างนอกของห้องเรียนด้วย
ตอนที่เราเข้ามาเรียน ม.ปลาย ก็ถูกจัดให้เรียนอยู่ในห้องเดียวกันกับฮอนโด
และเพราะว่าเราไม่มีโอกาสได้คุยกันกับฮอนโดเลยตั้งแต่จบ ม.ต้น มาก็เลยมารู้ว่าได้เรียนโรงเรียน ม.ปลาย เดียวกันอีกทีก็ตอนวันแรกที่เข้าพิธีเปิดภาคเรียนเลย
ทีแรกพวกเรานั่งห่างกันเป็นโยชน์ก็เลยไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์อะไรกันแต่หลังจากการสลับที่นั่งก็ได้ลงเอยได้น่งข้างฮอนโดเข้าพอดี
เรื่องที่รู้จากการที่ได้พูดคุยของพวกเราคือฮอนโดคิดว่าเขาพึ่งจะเคยเจอเราครั้งแรกในตอนขึ้น ม.ปลาย นี้เอง
บางทีหมอนั่นคงจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นตอนเรียน ม.ต้น ไปหมดแล้วหรือไม่ก็คิดว่าตอนนี้การที่ตัวเราย้อมผมนั้นคือคนละคนกันก็เลยรู้สึกเคืองหน่อยๆแต่เราก็ไม่ได้เป้นคนบอกหมอนั่นเองว่าพวกเราเคยเจอกันแล้วตอน ม.ต้น
แต่ฮอนโดก็ยังเข้ามาคุยกับเราทุกวันต่อให้เพื่อนร่วมชั้นจะหวาดระแวงและพยายามรักษาระยะห่างก็ตามที
หมอนี่คิดยังไงกับเรากันแน่นะ?
“นี่ไดกิเนี่ย ไม่กลัวคุณชิมิสึบ้างเหรอ?”
“กลัวคุณชิมิสึ? ทำไมล่ะ?”
“ก็หล่อนเล่นย้อมหัวทองขัดกับกฎโรงเรียนแถมชอบจ้องตาเขม็งตอนที่เผลอไปสบตาน่ากลัวจะตายไป อีกอย่างไอ้ชั้นก็ได้ยินข่าวลือมานะวาเธอเองก็ทำเรื่องไม่ดีด้วย”
(มัตสึโอกะไอ้ปากไม่มีหูรูดอยากพูดอะไรก็พูดต่อหน้าฮอนโดลับหลังชั้นเรอะ………)
ถึงสองอย่างแรกจะเรื่องจริงก็เถอะ ทำเอาเถียงไม่ออกเลย
มัตสึโอกะจะนินทาลับหลังตัวเรายังไงก็ช่าง แต่ว่าเราน่ะไม่อยากได้ยินความเห็นแบบนั้นจากฮอนโดเลย
ชั้นรีบหันหลังเพื่อที่จะหนีไปจากห้องเรียน
“ชั้นไม่คิดว่าคุณชิมิสึน่ากลัวหรอกนะ”
คำพูดของฮอนโดทำให้เราหยุดก้าวเดินต่อ
“อะไรดลใจให้คิดงั้นอ่ะ?”
“คุณชิมิสึอาจจะเข้าใจยากก็จริง แต่ชั้นน่ะคิดว่าเธอเป็นคนนิสัยดีนะ”
“เป็นงั้นหรอกเหรอ?”
มัตสึโอกะที่ดูเหมือนจะสงสัยขั้นสุด
“ใช่แล้ว ก็ตอนที่ชั้นคุยกับคุณชิมิสึ เธอก็คุยด้วยดีนะถึงแม้ว่าภาพลักษณ์ภายนอกจะดูหวือหวาไปหน่อยแต่เธอเป็นคนดีถ้านายได้รู้จักเธอจริงๆน่ะ”
“นั่นมันเป็นเพราะไดกิมองทุกคนเป็นคนดีซะหมดเองรึเปล่า?”
ความเห็นของฮอนโดดูเหมือนว่าจะยังไม่สามารถลดละความระหวาดระแวงของมัตสึโอกะที่มีต่อตัวเราได้เลยสักนิด
“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย โทชิยะไม่รู้หรอกว่าคุณชิมิสึน่ะคอยช่วยชั้นมาโดยตลอดตอนที่ชั้นได้เวรทำความสะอาดห้องเรียนน่ะ เธอใส่ใจคนอื่นจะตายไป”
“เห งั้นเหรอ”
“มันก็แค่ข่าวลือเสียๆหายๆที่แพร่กระจายออกไปเท่านั้นถ้าเกิดว่านายได้ลองคุยกับคุณชิมิสึล่ะก็จะรู้ว่าเธอน่ะนิสัยดีและเป็นคนที่น่าสนใจกว่าที่คนอื่นคิดไว้เยอะเลยล่ะ”
ไม่รู้มาก่อนเลยว่าฮอนโดจะรู้สึกกับเราแบบนั้น คิดมาตลอดว่าที่เขายิ้มและคอยคุยด้วยมาตลอดแต่ลับหลังเขาก็คงจะกลัวเหมือนกับคนอื่นๆ
แต่ว่าเราคิดผิดถนัด ฮอนโดนั้นไม่ได้ตัดสินตัวเราที่ภาพลักษณ์ภายนอกหรือบรรยากาศรอบตัวเพียงเท่านั้นแต่ตัวหมอนั่นพยายามที่จะมองตัวเราจากข้างใน
“ก็ถ้าไดกิว่างั้นก็อาจจะจริงก็ได้นะ แต่ถึงงั้นก็เหอะชั้นก็ไม่เห้นว่าเจ้าหล่อนจะน่าสนใจขนาดนั้นอ่ะนะ”
“โทชิยะเองก็ลองคุยกับคุณชิมิสึแล้วจะเข้าใจเองแหละน่า อีกอย่างน่ะนะคุณชิมิสึน่ะ……..”
อยู่ๆใบหน้าของเราก็ร้อนผ่าว
สัมผัสได้ว่าหัวใจกำลังเต้นรัว
รู้สึกว่าตัวเองไม่สมควรอยู่ตรงนี้ต่อ………..ลืมเหตุผลไปแล้วว่าทำไมถึงวกกลับมาที่นี่
ตัวชั้นก็เลยรีบวิ่งหนีออกไปในทางโถงทางเดิน
“และนั่นแหละคือเหตุผลที่ว่าทำไมชั้นถึงได้สนใจในตัวฮอนโด”
ไอที่ฟังอยู่เงียบๆอยู่ๆก็ปรบมือขึ้นมา
น่าขนลุกชะมัดเหมือนกับตุ๊กตาที่จู่ๆก็มีชีวิตขึ้นมายังไงยังงั้นเลย
“ฮิ้ววว! ดีใจจัง วิเศษมากกก! ไม่ได้ตัดสินเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกแต่ตัดสินจากสิ่งที่อยู่ข้างใน รักแท้ชัดๆ! แบบนี้คงจะต้องทำให้ทั้งอเมริกาจะต้องหลั่งน้ำตาแน่นอน!”
(TL NOTE : “ทำให้ทั้งอเมริกาต้องหลั่งน้ำตา” เป็นสำนวนที่เอาไว้เปรียบเปรยกับเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่ซาบซึ้งมากๆเหมือนพวกหนังฮอลลีวูดอะไรทำนองนั้น)
“อย่าเพ้อเจ้อไปหน่อยเลย”
“แหม่ โทษทีจ้า แต่พี่ว่าไดกิคุงเป็นคนดีจริงๆเลยน้าบอกตรงๆว่าเคย์ในลุคผมบลอนด์ก่อนหน้านี้คนอื่นก็เข้าหาด้วยยากจริงๆนั่นแหละ ในฐานะของพี่สาวพี่ดีใจมากจริงๆนะที่มีคนที่มองเคย์อย่างใจจริง”
“อยู่ๆก็อย่าดึงเข้าโหมดจริงจังได้ปะ”
“เอาไงแน่เนี่ย..จะไร้เหตุผลเกินไปแล้ว!!”
ก็ใช่ล่ะนะแต่พอพี่สาวที่ชอบทำตัวไร้สาระพูดอะไรที่มีสาระขึ้นมามันก็ตะหงิดใจชอบกล
“ยังไงก็เถอะ คุยเรื่องฮอนโดมากพอแล้ว พอใจแล้วใช่ไหม”
“ก็นะ ได้เปิดใจคุยเรื่องรักวัยรุ่นของเคย์ทำให้ใจพี่เบิกบานขึ้นเยอะเลยล่ะ”
“ดีใจที่ได้ยินอย่างนั้นนะแต่ว่าตอนนี้กลับไปได้แล้ว”
“อะไรกัน?! ไหงจู่ๆเย็นชาใส่กันเฉยเลยอ่า? หนาวจัง เหมือนพี่จะเป็นหวัดเลย ฮะ-ฮัดชิ่วววว~”
“หนวกหูจริงๆ ก็บรรลุวัตถุประสงค์ไปแล้วไม่ใช่รึไง”
ทีแรกที่ไอเข้ามาในห้องก็เพื่อถามเกี่ยวกับฮอนโดแค่นั้น ตอนนี้เธอได้ตามที่หวังไปแล้วจะอยู่ต่อไปเพื่ออะไรอีกล่ะ? มองนาฬิกาก็ปาไปห้าทุ่มแล้วใกล้ถึงเวลานอนแล้วด้วย
“ก็พี่อยากได้ยินเรื่องราวหวานแหววมากกว่านี้นี่นา อย่างเช่น ไดกิคุทำให้เคย์ตกใจหรือพักนี้เคย์รู้สึกไม่สบายใจที่ได้เห็นไดกิคุงไปคุยกับสาวอื่น พี่อากคุยเรื่องความรักกับเคย์ให้มากกวานี้อีกอ่า”
“อย่าคิดเองเออเองว่าชั้นจะไปตกใจหรือไม่สบายใจได้ง่ายขนาดนั้น ออกไปได้แล้ว”
“ม่ายยยยย ไม่อยากกลับห้องอ่า อยากฟังเรื่องของเคย์ให้มากกว่านี้ จะเป็นความทรงจำที่มีร่วมกับไดกิคุงก็ได้พี่ยังอยากคุยรื่องความรักกับเคย์อีกนะ!!”
เมื่ออายุได้ 17 ปีจะเริ่มเข้าสู่วัยต่อต้านงั้นก็ช่วยไม่ได้
ดูเหมือนว่าจะถึงเวลาที่จะต้องปล่อยอาวุธลับแล้วสินะ
“การคุยเรื่องรักๆใคร่ๆไม่ใช่เรื่องที่จะให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนเล่าฝ่ายเดียวใช่ไหมล่ะ ไอ้ชั้นเองก็อยากฟังเรื่องของเธอกับโยสุเกะว่าพัฒนากันไปถึงไหนแล้วเหมือนกัน เธอชอบอะไรในตัวเขา ตอนที่เริ่มรู้สึกตัวว่าเขาคือเพศตรงข้ามและอีกหลายๆเรื่องเลย จะยมเล่าให้ฟังด้วยสินะ?”
สายตาของไอกวาดไปมองรอบๆ
“อุ้ย ตายแล้ว!! ลืมไปว่ามีการบ้านต้องทำพอดีเลยอ่า แถมต้องส่งพรุ่งนี้แล้วด้วย”
“พรุ่งนี้วันเสาร์”
“อุ้ย แย่แล้วสิ …….จู่ๆก็ง่วงนอนขึ้นมาซะงั้นอ่ะ น่าเสียดายจริงๆแต่ไว้เรามาคุยเรื่องความรักกันวันหลังนะ”
“นี่คิดจะหนีงั้นเหรอ?”
“พูดว่าหนีก็เกินไปหน่อยเขาเรียกว่ากลยุทธ์การล่าถอยจ้ะ พี่ได้ในสิ่งที่ต้องการแล้วเพราะงั้น…ขอลาละจ้า~~”
จากนั้นไอก็กลับไปยังห้องของตัวเอง
“อยากจะมาก็มาอยากจะไปก็ไปหยั่งกะพายุไม่มีผิด”
ในห้องอันเงียบสงัด ชั้นพึมพำกับตัวเองเพียงลำพัง