ในโรงงานแปรรูปหยก หลังจากที่ซีเหมินจินเหลียนกลับไปแล้ว ผู้อาวุโสเจี่ยก็เดินออกมาพร้อมกับชายชราในชุดเผ่า[1]สีฟ้าไพลิน ถ้าหากซีเหมินจินเหลียนอยู่จะต้องตกใจที่เห็นเป็นอย่างแน่ เพราะผู้อาวุโสเจี่ยคนนี้เดินออกมาพร้อมกับชายชราที่เธอเคยซื้อหินไป
“เธอ…เลือกหินก้อนนั้นไปหรือ?” ชายชราไพล่สองมือไว้ด้านหลัง สายตาว่างเปล่าจ้องไปที่หลอดไฟในโรงงานแปรรูป พร้อมหัวเราะแห้งๆ เล็กน้อย
“อาจารย์…” ผู้อาวุโสเจี่ยถาม “หินก้อนนั้นคือหยกสีเขียวจัดหรือ?”
“สีเขียวจัด?” ชายชรายิ้มแห้งพลางส่ายหน้า “มีตำนานเล่าขานมาว่า เทพไม่อาจทำลายหยกได้แม้แต่นิ้วเดียวก่อนที่จะตัดออกมา ใครจะไปรู้? ฉันกลับรู้สึกแปลกใจ หินมีตั้งมากมายกลับไม่เลือก ทำไมเธอถึงไปเลือกหินที่ธรรมดาแบบนั้น?”
“หรือว่าหินหยกก้อนนั้นจะมีอะไรอยู่?” ผู้อาวุโสเจี่ยถาม
“เธอก็ไม่ได้ถูกขนานนามว่าเป็นราชาแห่งการเดิมพันเหรอไง” ชายชราหัวเราะยิ้มเยาะ “เธอก็เคยดูมาแล้ว มีอะไรที่พิเศษหรือเปล่าล่ะ?”
“ผม…อาจารย์! หยุดล้อผมได้แล้ว!” ผู้อาวุโสเจี่ยหน้าแดงขึ้นมา หินหยกก้อนนั้นลักษณะดูเหมือนหินธรรมดาทั่วไป ดูไม่ออกว่าเป็นอะไรหรอก จากที่เขาคาดการณ์คือเป็นหินเก่าแก่ก้อนหนึ่ง แต่ก็ไม่รู้ว่าจัดอยู่ในประเภทไหน
ถึงลายหยกจะมีแค่เส้นเดียวแถมยังไม่ค่อยชัดเจนนัก สีของหยกก็มีไม่ค่อยเท่าไหร่ ถึงจะเขียวแต่ก็ไม่ใช่เขียวเข้มอะไร อาจจะเป็นสีเขียวตายด้านก็ได้
สิ่งเดียวที่คุ้มค่าในการเดิมพันไม่ใช่แค่พื้นผิวที่ละเอียด แต่เป็นชนิดแก้วต่างหาก หากทว่าชนิดแก้วไร้สีในสองปีนี้ก็เป็นเรื่องประเด็นร้อนขึ้นมา ถ้าหากวางไว้ในยี่สิบปีก่อนคงไม่มีใครเลือกที่จะทิ้งไว้ข้างถนน
ชายชราไม่พูดอะไรอีก เพียงแค่เงยหน้าขึ้นอย่างงงงวย สักพักถึงพูดว่า “เสียวเจี่ย เธอลองพูดมาสิ ถ้ามีหินหยกมากมายอยู่ตรงหน้าเธอ เธอจะเลือกหินก้อนนั้นหรือไม่?”
ผู้อาวุโสเจี่ยคิดแล้วคิดอีก ท้ายที่สุดส่ายหัวพูด “อาจารย์ ศิษย์ไม่เลือกหินก้อนนั้นอย่างแน่นอน ลักษณะหินไม่ค่อยดีนัก การที่จะเดิมพันชนะก็ดูจะยาก”
“ใช่!” สีหน้าของชายชรากลับมาเป็นเช่นเดิมปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ถ้าเป็นฉัน ฉันก็ไม่เลือกหินก้อนนั้น”
“อาจารย์ หรือว่าหินก้อนนั้นจะมีประวัติความเป็นมาอะไรหรือครับ” ผู้อาวุโสเจี่ยถามอย่างสงสัย วันนี้เขาและซีเหมินจินเหลียนเรียกว่าโชคชะตานำพาให้เจอกัน ถึงแม้จะไม่ใช่โชคชะตานำพา แต่พรุ่งนี้เขาก็ต้องคิดหาวิธีไปหาเจ้าหญิงแห่งวงการหยกให้ได้ โดยให้นายหน้าพาเธอมาดูสินค้า เพื่อให้เธอเห็นหยกอีกก้อนให้ได้
หินหยกก้อนนั้นคือสิ่งที่ชายชราตั้งใจที่แฝงไปในหมู่หินหยกอื่นๆ เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมชายชราถึงทำแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา เพียงแค่รอรับคำสั่งจากเขาให้พาซีเหมินจินเหลียนไปดูสินค้า
แต่สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือมีหินหยกตั้งมากมายเรียงอยู่ตรงหน้า แต่ซีเหมินจินเหลียนกลับไม่เลือก เธอกลับไปเลือกหินหยกก้อนนั้น แถมลักษณะของหินหยกก็ไม่ได้ดีอะไร หรือว่าในหินนั้นจะมีความลับอะไรอยู่?
“หินก้อนนั้นดูมีอายุเก่าแก่ เป็นหินที่อาจารย์ของฉันทิ้งไว้” ชายชราพูดโทนน้ำเสียงเย็นยะเยือก
สิ่งที่ปรมาจารย์เหลือไว้? ผู้อาวุโสเจี่ยตกใจ เขาไม่เข้าใจในสิ่งที่ผู้อาวุโสหูพูด เมื่อย้อนกลับไปตอนที่ตนเองเข้ามาในสายอาชีพนี้ ก็เป็นเพราะว่าสนใจเงินทองจากการเดิมพันหินมิใช่หรือ? เพราะอย่างนั้นเลยเตร็ดเตร่ไปทั่วทุกที่เรื่อยๆ จนมาเดิมพันถึงที่เมืองเจียหยาง และซื้อหินหยกที่โรงงานแปรรูปหยกนี้
จากนั้นเรื่องมันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดไว้ เขาแพ้เดิมพัน แม้จะกลับไปยังที่ที่เขามาก็ไม่มีแม้แต่เงิน
ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าเจอชายชราผู้นี้ เขาก็คงไม่มีชื่อที่ขนานนามว่าราชาแห่งการเดิมพันมาจนถึงทุกวันนี้หรอก เขาคงจะตายไปตั้งนานแล้ว
“อาจารย์…” ผู้อาวุโสเจี่ยเริ่มพูดออกมา
ชายชราส่ายมือปัด” ฉันบอกไปหลายครั้งแล้ว ฉันไม่ใช่อาจารย์ของเธอ”
“แต่ว่า…” ผู้อาวุโสเจี่ยกำลังจะพูด แต่ชายชราก็หันหลังเดินออกไป
ผู้อาวุโสเจี่ยถอนหายใจอยู่หลายครั้ง ชายชราสอนให้เขาดูหินและเดิมพันหินอยู่หลายครั้ง แต่อาจารย์กลับไม่รับเขาเป็นศิษย์ ที่จริงชายชราก็อายุห่างจากเขาไม่มากแต่ว่าสำหรับเขาแล้ว ชายชราผู้นี้เป็นผู้มีพระคุณ เขาไม่เพียงแต่ช่วยเหลือแถมยังให้ทรัพย์สมบัติแก่เขา ทำให้เขาประสบความสำเร็จจนถึงทุกวันนี้
เช้าวันถัดมา ซีเหมินจินเหลียนลุกขึ้นเพราะได้ยินเสียงซ่าๆ ของฝนกระทบมาที่หน้าต่าง เมื่อเดินไปที่หน้าต่างจึงรู้ว่าฝนตกจริงๆ ถึงแม้จะไม่ได้ตกหนักมาก แต่อากาศแบบนี้ก็ไม่ควรที่จะออกไปไหน
เธอถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วกลับไปนั่งลงบนเตียง อากาศแบบนี้แต่ไม่ได้ไปดูหินหยก ถ้าอย่างนั้นหาอะไรทำดีนะ เมื่อคิดไปได้สักพักโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา ซีเหมินจินเหลียนคิดว่าน่าจะเป็นจ่านป๋ายโทรมานัดเธอกินข้าวเช้า แต่เมื่อมองไปยังเบอร์ที่โทรมากลับเป็นหลินเสวียนหลาน
คิ้วขมวดเข้าหากัน เขามีเรื่องอะไรกันถึงโทรหาเธอแต่เช้า?
เมื่อกดปุ่มรับสาย เสียงปลายสายก็แว่วเข้ามา “จินเหลียน?”
“อืม พี่หลินมีธุระอะไรเหรอคะ”
“เรื่องเมื่อวาน ผมขอโทษด้วยนะ” หลินเสวียนหลานไม่รู้จะเริ่มต้นพูดอย่างไรดี เมื่อวานคนที่เสียเปรียบก็คืออารองกับอาสะใภ้ แต่ว่านั่นก็เป็นความผิดที่พวกเขาทั้งสองคนก่อขึ้นมาเอง เขาไม่จำเป็นต้องขอโทษเธอ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มออกมา ทำไมต้องขอโทษเธอด้วย ดูเหมือนว่าเมื่อวานเป็นจ่านป๋ายต่างหากที่ทำให้พวกเขาดูพ่ายแพ้เหมือนคนโง่
“ผมอยู่ที่ห้องอาหารข้างล่าง ไม่รู้ว่าเจ้าหญิงแห่งวงการหยกจะให้เกียรติมากินข้าวเช้าด้วยกันได้หรือเปล่าครับ?” หลินเสวียนหลานเอ่ยปาก
ซีเหมินจินเหลียนฟังเขาพูดหยอกเหย้าด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ แก้มก็ขึ้นสีแดงอย่างไม่มีสาเหตุ ด้วยเพราะรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้างจึงอยากจะปฏิเสธ แต่พอกลับมาคิดดูอีกครั้ง เธอก็พูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะขึ้นว่า “งั้นก็ดีเลยค่ะ ฉันก็กำลังหิวอยู่พอดี!”
“อืม ผมจะรอคุณอยู่ที่ห้องอาหารด้านล่างนะครับ!” หลินเสวียนหลานดีใจ “เดี๋ยวเจอกันนะครับ”
ซีเหมินจินเหลียนวางโทรศัพท์แล้วไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าหวีผมเรียบร้อยก็เดินไปเคาะประตูที่ห้องจ่านป๋าย ไม่ช้าเขาก็เดินมาเปิดประตู เมื่อเห็นเธอจึงพูดไปว่า “เมื่อคืนนอนดึก ทำไมวันนี้ถึงไม่นอนพักอีกสักหน่อยละครับ ผมคิดว่าตอนสิบโมงจะค่อยไปปลุกคุณอยู่เลย”
“เปลี่ยนเสื้อผ้า พวกเราลงไปกินข้าวกัน มื้อนี้มีคนเลี้ยง!”
“ใครครับ?” จ่านป๋ายถามอย่างสงสัย “หลินเสวียนหลานเหรอ”
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า จ่านป๋ายดีใจขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ “ถ้าอย่างนั้นคุณรอผมสักสองนาทีนะครับ” หลินเสวียนหลานเลี้ยงข้าวเธอ แต่เธอกลับพาเขาไป นี่นับว่าเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อยเลย
เพราะฉะนั้นจ่านป๋ายจึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะจูงมือซีเหมินจินเหลียนลงไปด้านล่างด้วยกัน
เมื่อหลินเสวียนหลานเห็นจ่านป๋ายกับเธอเดินลงมาด้วยกัน ในใจก็รู้สึกเจ็บปวดแต่ก็เชิญให้พวกเขาทั้งคู่นั่ง “นั่งก่อนสิครับ”
จ่านป๋ายใช้โอกาสนี้ขยับเก้าอี้ให้ซีเหมินจินเหลียนนั่ง จากนั้นเรียกพนักงานบริการเข้ามา จ่านป๋ายไม่รอให้หลินเสวียนหลานพูด เขาก็พูดพร่ำเมนูขึ้น “น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ ซาลาเปาไส้ผัก แล้วก็…”
อาหารเช้าของซีเหมินจินเหลียน เธอชอบกินน้ำเต้าหู้ ซาลาเปาและปาท่องโก๋ ส่วนซาลาเปาเธอก็กินแต่ไส้ผัก เธอไม่ชอบกินเนื้อสักเท่าไหร่ เธอคอยย้ำกับตัวเองว่า เธอคือผู้หญิงสวย เธอต้องลดน้ำหนัก
อ๋อ ลดน้ำหนัก เป็นประเด็นที่ฮ็อตฮิตของผู้หญิงสมัยนี้เลยก็ว่าได้ จ่านป๋ายเข้าใจได้ แต่ว่าเขาก็ยังคงสงสัยว่า เธออยากจะลดความอ้วน หรือว่าชอบกินซาลาเปาไส้ผักกันแน่?
ถ้าหากอยากจะลดความอ้วนจริงๆ เมื่อไปถนนของกิน ร้านปิ้งย่างมากมาย เธอก็กินมาหมดทุกร้าน..
หลินเสวียนหลานทำได้แค่ยิ้ม แต่ก็ไม่ได้พูดจาโต้ตอบอะไร ความจริงตั้งแต่ตอนที่เขาเห็นจ่านป๋ายกับซีเหมินจินเหลียนเดินมาด้วยกัน เขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรแล้ว
ซีเหมินจินเหลียนไม่เห็นลู่เฟยอวี๋ ก็รู้สึกแปลกใจเลยจงใจถามไปว่า “พี่หลิน แฟนของพี่ล่ะคะ”
“อยู่กับอาสะใภ้น่ะ” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หลินเสวียนหลานก็เริ่มแสดงอาการยิ้มอย่างขมขื่นออกมา แล้วรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “จินเหลียน ได้ยินมาว่าเมื่อคืนหลังจากที่พวกเรากลับไป ผู้อาวุโสเจี่ยก็ผ่าหยกอีกเหรอครับ ไม่คิดเลยว่าจะผ่าออกมาเป็นหยกชนิดน้ำแข็งสีควันม่วง”
ซีเหมินจินเหลียนอึ้งไปเล็กน้อย แต่เมื่อคิดดูแล้ว ในวงการพนันหยก ไม่ว่าใครชนะเดิมพัน ใครที่ผ่าหยกออกมา ข่าวแบบนี้ย่อมแพร่งพรายออกมาอย่างรวดเร็วอยู่แล้ว แถมตอนนั้นนอกจากเธอ ผู้อาวุโสเจี่ยและจ่านป๋ายที่อยู่ด้านนอก ยังมีลูกน้องที่ลงมืออีกสองคน แม้เธอไม่รู้จักลูกน้องสองคนนั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่รู้จักเธอ หากข่าวกระจายออกไปก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา
อีกอย่างผู้อาวุโสเจี่ยก็เป็นคนพูดเองว่าเขาจะขายหยกน้ำแข็งสีควันม่วงออกไป เช่นนี้แล้วหากทุกคนจะรู้เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
“ใช่แล้วค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า
“ผมได้ยินมาว่าคุณเป็นคนแนะนำให้ผู้อาวุโสเจี่ยผ่าหยกต่อ หลังจากเมื่อผู้อาวุโสเจี่ยผ่าหยกน้ำแข็งสีควันม่วงออกมาแล้วถึงได้ยกหินให้คุณ?” หลินเสวียนหลานเสมือนฝ่ายซักถามข้อมูล
ซีเหมินจินเหลียนได้แต่พยักหน้า นี่ก็ถือว่าไม่ได้เป็นความลับอะไร การที่ผู้อาวุโสเจี่ยมอบหยกน้ำแข็งสีควันม่วงให้เธอ ก็ยังมีคนนอกอยู่ในนั้นด้วย เรื่องนี้คงไม่อาจปิดบังได้ ข่าวคงกระจายออกมาแล้ว
“จินเหลียน หยกน้ำแข็งสีควันม่วงก้อนนั้น คุณจะขายหรือเปล่า” หลินเสวียนหลานใช้ความกล้าได้อายอดเปิดประเด็นถาม
[1] ชุดเผ่า เป็นชุดสไตล์จีนโบราณ เป็นชุดตัวยาวคล้ายๆ กี่เพ้าของผู้หญิง แต่เป็นของผู้ชาย