แต่ในเมื่อดูแล้ว ซีเหมินจินเลยใช้ความสามารถพิเศษในการมองทะลุผ่านดูสักรอบ หินสีเทาหยาบกร้านไม่ได้หนา สามเซนติเมตรหลังจากนั้นมีสีแดงแวบเข้ามาในตาข้างใน
ถึงซีเหมินจินเหลียนจะพยายามเพ่งดู แต่ก็มีความรู้สึกเหมือนมีอะไรมากระแทกดวงตา จนกระทั่งยากที่จะเข้าไปดูใกล้ๆ…เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไม่รู้มาก่อนเลยว่าหยกสีแดงจะมีสีดึงดูดสายตาแพรวพราวขนาดนี้?
หยกสีเลือดมีความมหัศจรรย์มากมายจริงๆ แต่ในตำนานว่ากันว่า ในบรรดาหยกสีแดงจะยกย่องหยกสีไฟมากที่สุดไม่ใช่หรือ? หรือว่านี่จะเป็นหยกสีไฟ? แต่สีของมันถึงจะเป็นสีไฟ แต่ก็ไม่ได้มีสดใสงดงาม
ตรงกลางมีขนาดเท่ากับปากถ้วย หินหยกรูปทรงกลมปรากฏให้เห็น แต่จากการปิดตาใช้สามารถทะลุผ่านหินหยกทั้งก้อนส่องแสงระยิบระยับ สว่างโปร่งใสเกลี้ยงเกลาไปหมด…
สิ่งที่ทำให้ซีเหมินจินเหลียนยากที่จะเชื่อก็คือ หินหยกแบบนี้ถูกห่อหุ้มอยู่ในหินสีเทาหยาบกร้าน สองฝั่งมีลักษณะแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด
ถึงจะสัมผัสไม่ถึงอุณหภูมิข้างในของหยกสีไฟได้ แต่ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกว่าหยกสีไฟนี้น่าจะมีอุณหภูมิสูงกว่าข้างนอกเล็กน้อย แต่ไม่มีทางร้อนจนถึงขั้นลวกมือ อุณหภูมิแบบนี้เรียกได้ว่าอุ่นกำลังดี
ใช้ความสามารถไปถึงตรงกลางของหินหยกก้อนนั้น ซีเหมินจินเหลียนคิดไม่ตกถึงสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้น เธอเห็นหยกมาก็เยอะ แต่หยกแบบนี้ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ที่ยิ่งแปลกไปกว่านั้น อุณหภูมิของหินหยกก้อนนี้เหมือนดั่งไฟในเตาเผาที่ไม่ทันได้ลดอุณหภูมิลง…
หินมหัศจรรย์แบบนี้จะเป็นหินปิดฟ้าหรือเปล่า? ซีเหมินจินเหลียนสับสน แล้วหินหยกที่หลงเหลือในการปิดฟ้าจะสร้างความมหัศจรรย์ใจแค่ไหนกัน?
ดูไปที่สีแดงสดตรงกลางอีกครั้ง เหมือนไฟ เหมือนแสงอาทิตย์ เหมือนกับดวงอาทิตย์ขึ้น…
ใช่ ซีเหมินจินเหลียนแอบถอนหายใจออกมา ดวงอาทิตย์ขึ้นในทิศตะวันออก หากนำหินหยกก้อนนี้เปิดเปลือกออกมาทั้งหมด ไม่ต้องแปรรูปอะไรแค่เจียระไนขัดเงา วางไว้ที่ไหนก็คงเหมือนพระอาทิตย์?
เมื่อดึงมือกลับมา ซีเหมินจินเหลียนก็เริ่มมองหินหยกก้อนนั้นอย่างสงสัย…หินหยกแบบนี้ เพราะอุณหภูมิข้างนอก เงามืดลึกลับคนนี้อยากจะขายคงไม่ใช่เรื่องยาก และไม่ต้องกลัวว่าจะขายไม่ได้
หากเขาหน้าใหญ่พอ เพียงแค่ตัดเปลือกหินนำก้อนเล็กๆ ที่อยู่ข้างในออกมาก็เพียงพอให้กินให้ใช้ในชีวิตนี้ได้อย่างสุขสบายแล้ว ทำไมเขาถึงต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ หาคนมาดูสินค้าด้วย?
“จินเหลียน เป็นอย่างไรบ้างครับ” จ่านป๋ายถาม
“ถือว่ายังดีอยู่ พวกเราไปกันเถอะ” ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้ว ในใจแอบคิดขัดแย้ง หินหยกก้อนนี้ดีมากเหลือเกิน ทางเดียวกันก็กลัวว่าจะเป็นแค่เผือกร้อนเท่านั้น
“ไป?” จ่านป๋ายไม่เข้าใจ เธอไม่ได้จะซื้อเหรอ?
ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้ตอบ เพียงแค่เปิดประตูห้องเดินออกไป ภายใต้แสงไฟสลัวสีเหลืองเงามืดเปรียบเสมือนภูตผีผุดจากนรกพร้อมควันหมอกสีดำ
ซีเหมินจินเหลียนแม้แต่หน้ายังไม่พยัก เดินตรงออกไปทางประตูทันที
“คุณซีเหมินไม่คิดจะซื้อเหรอครับ?” เงามืดปริปากพูดนิ่งๆ
“คุณก็ไม่ได้คิดที่จะขายนี่คะ” ซีเหมินจินเหลียนหยุดฝีเท้าลงขมวดคิ้วพูดเยือกเย็น
จ่านป๋ายเดินตามหลังเธอมาตลอด ได้แต่ขมวดคิ้วแน่น เงามืดคนนี้ดูลึกลับจริงด้วย เรียกพวกเขามาดูสินค้าก็เป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลแล้ว แต่ซีเหมินจินเหลียนรู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่คิดจะขาย?
“รู้ได้อย่างไรว่าผมไม่คิดที่จะขาย?” เงามืดถาม
“คุณตัดสินใจได้เลยเหรอคะ” ซีเหมินจินเหลียนแค่นเสียงในลำคอ “กลับไปบอกเจ้านายคุณเถอะค่ะ หากต้องการจะขายจริงๆ พวกเราค่อยมาคุยกัน!”
ครั้งนี้เงามืดไม่พูดอะไร ซีเหมินจินเหลียนเรียกจ่านป๋ายให้เดินไปทางถนนพนันหินด้วยกัน จ่านป๋ายรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก รอจนเดินออกมาไกลแล้วถึงได้หาโอกาสถาม “จินเหลียน เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอครับ เจ้านายเขาเป็นใคร หรือผมควรจะถามว่า เขาคือใคร?”
“สมัยนี้คนก็ชอบเล่นเกมคนตายฟื้นคืนชีพอย่างนั้นเหรอ?” น้ำเสียงของซีเหมินจินเหลียนมีความเดือดดาลอยู่ในนั้น หรือเงามืดที่เธอมองแล้วคุ้นหน้าคุ้นตาที่แท้จะเป็น…
“เอ่อ…” จ่านป๋ายนิ่งงันไป ไม่รู้จะพูดอะไรดี
“กลับไปนอนกันเถอะ” ซีเหมินจินเหลียนส่ายศีรษะพูด “ซวยชะมัด!”
“จินเหลียน เขาเป็นใครกันแน่?” จ่านป๋ายยังคงไม่ละเลิกที่จะถาม
แต่ซีเหมินจินเหลียนแกล้งทำเป็นหูทวนลม เดินออกมายังถนนพนันหิน เรียกรถให้พาไปส่งที่โรงแรม จ่านป๋ายเห็นเธอสีหน้าไม่สู้ดีจึงไม่กล้าถามให้มากความ จนกระทั่งกลับถึงโรงแรมแล้ว ซีเหมินจินเหลียนนั่งบนโซฟา ใบหน้าโกรธบึ้ง “เสี่ยวป๋าย คุณว่า…ฉันไปหาเรื่องใครเข้าเหรอ?”
จ่านป๋ายจับต้นชนปลายไม่ถูก ได้แต่ยิ้มอ่อนอยู่นานปริปากพูด “ผมไม่เข้าใจ”
ซีเหมินจินเหลียนนั่งบนโซฟาถอนหายใจเฮือกยาวแล้วพูดขึ้นว่า “ฉันควรจะคิดได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าขนาดลุงงูยังไม่ตาย แล้วเขาจะตายได้อย่างไร? นี่ฉันก็โง่เกินไปจริงๆ”
พูดจบเธอก็เคาะหัวตัวเองเบาๆ สมองนี้มีอะไรที่คิดไม่ออกอีกบ้าง? ในเวลานั้นเธอยังเด็กเกินไป และยังถูกคนเล่นตุกติก
ลุงงู? จ่านป๋ายขมวดคิ้ว คนแปลกประหลาดลึกลับคนนั้น?
“จินเหลียน หรือจะให้ผมไปตามสืบเจ้านายของคนคนนั้นดี?” จ่านป๋ายถามหยั่งเชิงขึ้นมา เห็นท่าทางกลัดกลุ้มขมวดคิ้วมุ่นไม่รู้จะทำอย่างไรของเธอ เขาก็รู้สึกอึดอัดลำบากใจ
“ตามสืบเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนกระตุกยิ้มออกมา “คุณคิดจะตามสืบอย่างไร?”
“ดูว่าเจ้านายเขาเป็นใคร มีจุดประสงค์อะไร!” จ่านป๋ายยิ้ม “เผื่อคุณจะได้ลดความกลุ้มใจลง”
“ฉันรู้ว่าเจ้านายเขาเป็นใคร ไม่ต้องสืบหาหรอก” ซีเหมินจินเหลียนหักนิ้วเบาๆ ฝืนยิ้มออกมา “อีกอย่างถึงคุณไปหา แล้วทำให้เจ้านายของเขาไม่พอใจเข้า แล้วมาตามฉันที่นี่ ฉันก็คง…หมดปัญญารับมือ!” พูดประโยคสุดท้ายเสร็จเธอก็ส่ายมือไปมา
“ทำไมล่ะ?” จ่านป๋ายไม่เข้าใจ “คุณบอกว่าผมเป็นคนของคุณนี่นา!”
“เจ้านายของเขาคือพ่อของฉันเอง!” ซีเหมินจินเหลียนยกมุมปากเชิดยิ้มเจ้าเล่ห์
“คุณว่าอะไรนะ?” จ่านป๋ายตกใจร้อนรนถาม
“ตอนเด็กฉันเคยเจอเขาอยู่ครั้งหนึ่ง เขากลับมาบ้านเพื่อแจ้งข่าวการตาย!” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มขมขื่น “เขากลับมาบอกย่าของฉันว่า พ่อของฉันตายแล้ว…”
“แค่นี้เหรอ?” จ่านป๋ายมึนงง
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า แค่นี้นี่แหละ เธอจำได้แม่นยำ คนคนนั้น…ตอนนั้นยังเป็นชายหนุ่ม ดูแล้วอายุแค่สิบแปดสิบเก้าปี เขาบอกออกมาเองว่าพ่อของเธอคือเจ้านายของเขา และเรียกเธอว่าคุณหนู จากนั้นคนคนนี้อยู่ในหมู่บ้านภูเขาช่วงระยะหนึ่งก็ตายจากไป ความทรงจำของซีเหมินจินเหลียนนานจนเหมือนฝุ่นเกราะ แต่ตอนนี้เธอกลับมาเจอเขาอีกครั้ง
ผู้ชายที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยพลังชั่วร้าย!
ในเมื่อเขายังมีชีวิตอยู่ อย่างนั้นก็อาจจะแสดงว่าพ่อของเธอมีชีวิตอยู่ด้วยเช่นกัน?
ลุงงูไม่มีทางหลอกเธอ เขาเคยบอกว่าเห็นพ่อของเธอที่พม่า ดูแล้วนี่ไม่น่าจะใช่เรื่องโกหก เรื่องก็ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกว่าพ่อของเธอคนนี้ ถึงแม้จะได้พบเจอกันอีกครั้งแต่ระหว่างพวกเขายังจะมีความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกอยู่หรือเปล่า?
แล้วก็คนที่ลุงงูเคยเห็น เป็นพ่อของเธอจริงหรือไม่ ถ้าใช่ทำไมเขาถึงไม่รู้จักลุงงู?
“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้จะทำอย่างไรดีครับ” จ่านป๋ายถาม
“เขาต้องมาหาพวกเราแน่” ซีเหมินจินเหลียนพูด “ตอนนี้ พวกเราไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น”
“เฝ้าต้นไม้รอกระต่าย[1]เหรอครับ?” จ่านป๋ายยิ้ม เพิ่งพูดประโยคนี้ออกไป แต่อดไม่ได้ที่ต้องกัดลิ้นตัวเอง สุภาษิตนี้ดูไม่เหมาะสมเลยสักนิด พ่อของซีเหมินจินเหลียนเปรียบเหมือนกระต่าย ในอนาคตหากเจอผู้อาวุโสท่านนี้…เขาคงต้องระวังสักหน่อยแล้ว
เห็นจ่านป๋ายหดหัวลง ทำท่าเหมือนพูดอะไรผิดไป ซีเหมินจินเหลียนก็ยิ้มและถอนหายใจพูดต่อ “เรื่องราวหลังจากนั้นฉันก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ แต่ในความทรงจำฉัน พ่อเป็นคนมีเมตตาและอ่อนโยน ไม่เคยตีฉันมาก่อน…”
“คุณเป็นลูกสาวที่เขารัก ผมนั้นไม่เหมือนกัน” จ่านป๋ายยิ้มเจื่อนออกมา “มีพ่อที่ไหนไม่รักลูกสาวของตัวเองบ้าง? โชคดีที่เมื่อกี้ผมไม่ได้วู่วามพูดอะไรออกไป ไม่อย่างนั้นต้องถูกพ่อคุณเล่นงานแน่ อนาคตยังจะมีชีวิตดีๆ อยู่อีกหรือเปล่าก็ไม่รู้?”
“เอาเถอะ อย่าพูดถึงเรื่องนี้เลย” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าพูด “พูดถึงเรื่องนี้แล้วฉันก็กลุ้มใจ ความจริง…มีแค่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้”
จ่านป๋ายก็รู้ว่าเธอไม่สบายใจ จึงไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่คิดถึงลุงงูที่ลึกลับจนคาดเดายาก พ่อของซีเหมินจินเหลียน คงไม่ใช่เป็นคนแปลกประหลาดเหมือนลุงงูใช่ไหม? ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ชีวิตต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป?
…
ที่เจียหยาง ตอนนี้ลุงงูกำลังนั่งพิงโซฟาตัวใหญ่ แว่นกันแดดสีดำขนาดใหญ่บดบังใบหน้าที่มีเกล็ดงูแสนอัปลักษณ์ของเขา แน่นอนจากสภาพของเขาตอนนี้คงไม่ใช่สภาพของคนใกล้เฉาตายเหมือนครั้งที่เจอซีเหมินจินเหลียนแน่…ส่วนคนที่เดิมทีบอกว่าจะกลับบ้านอย่างสวี่อี้หรานนั้น ตอนนี้ก็กลับมานั่งอยู่ตรงหน้าเขา
“อาจารย์งู ท่านก็ชอบดื่มชาเหมือนเคยเลยนะครับ” สวี่อี้หรานยิ้มให้เขา
ลุงงูไม่ได้ขยับไปไหน เมื่อเงียบอยู่นานถึงได้พูดขึ้น “ชาของแกก็ช่างมันเถอะ ฉันยังอยากมีชีวิตอีกหลายปี!”
“อาจารย์งู ดูท่านพูดเข้าสิครับ” สวี่อี้หรานยิ้มเคอะเขิน
“ถ้าฉันไม่ขัดขวางแก แกคงได้ตามหลานสาวฉันไปพม่าสินะ?” ลุงงูไม่ได้ถกเถียงปัญหานี้กับเขาอีก เพียงแต่เบี่ยงประเด็นถาม
“อาจารย์งู ท่านก็อย่าเข้าใจผมผิดอยู่เรื่อยสิครับ?” สวี่อี้หรานใบหน้าไร้เดียงสา “ก็ผมกำลังตามจีบเธออยู่ไม่ใช่เหรอ? อาจารย์งู ท่านคงไม่อยากให้หลานสาวตัวเองกลายเป็นหญิงแก่ขึ้นคาน ไม่มีใครมาจีบหรอกใช่ไหม”
“หุบปาก!” ลุงงูพูดสั่งสอน “หลานสาวของฉันสมบูรณ์แบบทุกเรื่อง บุคลิกลักษณะนิสัยดีเยี่ยม ทำไมต้องกลัวว่าจะไม่มีใครมาขอด้วย? ฉันว่าแกต่างหากที่เป็นพวกอันธพาล หน้าด้านหน้าทนตามตื้อเธอเสียมากกว่า”
“อาจารย์งูก็หยั่งรู้เสียจริง!” สวี่อี้หรานทำท่าเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม ตามเติมอะไรกัน? เขาไม่เคยเกาะแจซีเหมินจินเหลียนเลย เห็นได้ชัดว่าเป็นจ่านมู่หรงต่างหากที่หน้าด้านหน้าทนตอแยเธอ “จ่านมู่หรงคนนั้นต่างหากที่อันธพาล วันๆ เอาแต่ตามติดหลานสาวท่านเป็นตังเม”
“งั้นเหรอ?” ลุงงูครุ่นคิดดูแล้ว เหมือนว่าเขาจะเคยเห็นเด็กหนุ่มคนนั้นมาก่อน ดูแล้วหน้าตาใช้ได้ทีเดียว โดยเฉพาะเขาก็จงรักภักดีต่อซีเหมินจินเหลียน ฝีมือก็ไม่เลว ถ้าเก็บไว้ข้างกายให้คอยติดตามซีเหมินจินเหลียนคงมีประโยชน์มากกว่าทำร้าย “เรื่องหนุ่มสาวของพวกแก ฉันไม่อยากเข้าไปยุ่งหรอก ฉันอยากพบอาจารย์”
“อาจารย์งู อาจารย์ผมจากไปตั้งสิบกว่าปีแล้วนะครับ!” สวี่อี้หรานใบหน้าอมทุกข์ รู้ทั้งรู้ว่าอาจารย์ของเขาตายแล้ว ทำไมยังต้องถามอีก? คงไม่ได้แก่จนเลอะเลือนแล้วใช่ไหม?
“สองปีก่อนฉันเคยเจออาจารย์ของแก หรือว่าฉันจะเจอผีเข้าแล้ว?” ลุงงูตอบกลับน้ำเสียงแน่นิ่ง
“หือ…” สวี่อี้หรานหวาดกลัว ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี “ผมไม่ได้เจออาจารย์มาสิบกว่าปีแล้วจริงๆ นะครับ…”
[1] เฝ้าต้นไม้รอกระต่าย เป็นสุภาษิต หมายถึงการที่รอคอยโอกาสอยู่เฉยๆ โดยที่ไม่ต้องทำอะไร