“เข้ามาเถอะ” แสงไฟสีเหลืองสลัวจากโคมไฟโบราณสว่างพรึบขึ้นข้างในบ้าน เงามืดพูดขึ้น
จ่านป๋ายขมวดคิ้วมุ่น เขารู้ว่าคนพนันหิน บางครั้งความคิดความอ่านก็ยากที่คนทั่วไปจะเข้าใจ เช่นผู้อาวุโสหู ไหนจะลุงงูอีก…จากสัญญาณหลายๆ อย่างที่พิสูจน์ให้เห็น ลุงงูก็ดูไม่ได้หมดทางเยียวยารักษานี่น่า? หลอกเธอทั้งนั้น
แต่ซีเหมินจินเหลียนเองก็ไม่เก็บมาใส่ใจ เขาจึงขี้เกียจจะไปสืบหาสาเหตุ เพราะความสัมพันธ์ของซีเหมินจินเหลียนกับลุงงู เขาเองก็ไม่ทราบแน่ชัด ในเมื่อซีเหมินจินเหลียนเรียกเขาว่าลุง เกรงว่าคงต้องเป็นบรรพบุรุษของเธอจริงๆ ถ้าตนไม่ได้รับการยินยอมจากเธอแล้วไปสะกดรอยตามลุงงู เท่ากับว่าแกว่งเท้าหาเสี้ยน แบบนี้เธอคงไม่พอใจ
ส่วนคนคนนี้ซีเหมินจินเหลียนมีจิตใจที่แข็งแกร่งเตรียมมาไว้แล้ว แต่เมื่อครู่ซีเหมินจินเหลียนบอกไว้เองว่า คนคนนี้…ดูคุ้นหน้าคุ้นตาแปลกๆ
จ่านป๋ายคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ หรือซีเหมินจินเหลียนจะมีญาติสนิทคนไหนอีก?
มนุษยสัมพันธ์ของซีเหมินจินเหลียน ความจริงยังเรียกได้ว่าไม่ซับซ้อนด้วยซ้ำ จ่านป๋ายติดตามเธอมาระยะหนึ่งจึงรู้จักอดีตของเธออยู่พอสมควร
สมัยยังเด็ก พ่อแม่ด่วนจากไปทั้งคู่ มีแค่คุณย่าและอาจารย์คอยเลี้ยงดูอบรมเธอมาจนโต จากนั้นคุณย่าและอาจารย์ก็ด่วนจากโลกนี้ตามกันไป ตามหลักการแล้วตอนนั้น เธอคงไม่มีญาติสนิททางสายเลือดอะไรแล้ว
แต่ซีเหมินจินเหลียนกับอวิ๋นเจียมีใบหน้าคล้ายกันอย่างประหลาด จุดไฟฉนวนความสงสัยในตัวจ่านป๋าย เรื่องนี้…คงต้องมีอะไรมากกว่านี้แน่ๆ
สำหรับตัวตนของคนคนนี้เป็นใครกันแน่? ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกคุ้นเคย น่าจะเป็นญาติสนิทหรือเปล่า? ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่รู้สึกเช่นนั้นแบบไม่มีมูลเหตุ
ซีเหมินจินเหลียนก้าวเท้าเดินเข้าไปข้างใน เงยหน้ามองผนังห้องโถงแขวนภาพวาดพู่กันจีน ดูแล้วเห็นได้ชัดว่ามีอายุเก่าแก่มาหลายปี แต่ค่อนข้างเพี้ยนไปทางเหลือง เรื่องราวในภาพเป็นเทพธิดาหนี่วา…หน้าตาเป็นคนรูปร่างเป็นงู ในมือถือหยกสีรุ้งเจ็ดสีสะท้อนแสงอาทิตย์ ข้างๆ มีเมฆหมอกอยู่ล้อมรอบ…
หน้ารูปของเทพธิดาหนี่วามีกระถางถูปเก่าๆ ปักธูปไว้อยู่
“ตามผมมา” เงามืดพูดจบ หันกายเดินเข้าไปห้องข้างๆ
จ่านป๋ายกลัวว่าซีเหมินจินเหลียนจะได้รับอันตราย จึงรีบกุลีกุจรชิงเดินตามไปก่อนหนึ่งก้าว และถือจังหวะที่ห้องมีแสงไฟสลัว กวาดสายตามองภาพวาดเทพธิดาหนี่วา
“คุณชอบเทพธิดาหนี่วามากเหรอครับ” จ่านป๋ายถามหยั่งเชิง
“คนพนันหยกมักจะกราบไหว้เทพธิดาหนี่วา” เงามืดพูดเยือกเย็น
จ่านป๋ายถูกตอกกลับมาจนหงายหลัง ไม่กล้าปริปากพูดอะไร ซีเหมินจินเหลียนก้าวเท้าเข้าไปในห้อง สับสนอยู่ชั่วครู่ คนคนนี้ออกนอกหน้าให้เธอมาดูสินค้า ผลสุดท้ายในห้องมีหินหยกหนักราวๆ ยี่สิบกิโลกรัมวางอยู่บนโต๊ะสี่เหลี่ยมแนบพนังแค่ก้อนเดียว
“ไม่ใช่ว่าบ้านของคุณมีแค่หินหยกก้อนเดียวหรอกนะครับ?” จ่านป๋ายขมวดคิ้ว
“ของดี ไม่ต้องมีเยอะ” เงามืดเหลือบมองจ่านป๋ายอย่างเย็นเยือก มองไปทางซีเหมินจินเหลียนและพูดว่า “คุณลองดูก่อนได้ ถ้าสนใจพวกเรามาเจรจากัน”
“ก็ดีค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า ในเมื่อมาแล้ว แค่ก้อนเดียวก็ต้องลองดู
“ผมจะรอคุณอยู่ด้านนอก” เงามืดพูดจบหันตัวเดินออกไปข้างนอก
รอให้เงามืดออกไป ซีเหมินจินเหลียนก็เดินไปหน้าโต๊ะมองหินหยกหนักราวยี่สิบกิโลก้อนนั้น ขนาดไม่ใหญ่ แต่ก็ไม่เล็กแล้ว ผิวสีเหลืองทั่วไป ไม่มีเส้นลายหยกหรือจุดหยก ดูไม่ออกว่าเป็นของดี
แน่นอนว่าหากดูแค่ผิวหินเผินๆ แล้วดูออกว่าเป็นของดี มันก็คงไม่มีคำพูดเรื่องพนันหิน ดังนั้นซีเหมินจินเหลียนจึงไม่ใส่ใจ ตรงกันข้ามเธอยิ่งสนอกสนใจกว่าเก่า
ถึงในใจคิดแบบนั้น แต่นิ้วมือแตะลงไปด้านบนแล้ว จากนั้นไม่นานเธอก็ชักมือกลับมา แปลกเหลือเกิน อากาศหนาวเย็นขนาดนี้ ตอนที่เดินเล่นอยู่ข้างนอกนิ้วมือเธอก็แข็งเย็นไปหมด หินหยกทั้งหมดเป็นหิน สัมผัสแล้วก็ต้องเย็นเหมือนน้ำแข็งสิ
แต่หินหยกดิบก้อนนี้สัมผัสแล้วอุ่น? ซีเหมินจินเหลียนคิดพลางนำฝ่ามือทั้งสองสัมผัสลงไปด้านบนอีกครั้ง หน้าหนาวเช่นนี้ทำมือให้อุ่นไว้ก่อนดีที่สุด
หรือเงามืดลึกลับคนนี้จะเอาหินหยกก้อนนี้ไปเผาในเพลิงไฟ จากนั้นค่อยเอามาให้เธอดู? คิดแล้วก็ไม่มีทางเป็นไปได้ เมื่อสักครู่ที่พวกเขาเดินเล่นอยู่ในถนนพนันหิน เงามืดก็คอยสะกดรอยตามพวกเขาตลอด หินหยกดิบอย่างไรมันก็คือหิน แต่มันไม่มีทางกักเก็บความร้อนไว้ ถึงจะถูกเผาในไฟก็เถอะ เกรงว่าเวลานี้คงเย็นได้แล้ว
“หยกอุ่น? หรือว่าจะเป็นหยกอุ่นในตำนาน?”
หากเป็นหยกอุ่นจริง มีแค่ก้อนนี้ก็คุ้มค่าแล้ว แต่นี่ไม่เหมือนกับพนันหินหยกทั่วไปไม่ใช่หรือ? ขอแค่ทุกคนลองสัมผัสดูก็รู้แล้ว…ในเมื่อเป็นอย่างนี้ทำไมเงามืดท่านนี้ถึงไม่เปิดเปลือกหินเองล่ะ? ขอแค่เขาประกาศบอกกับคนนอกว่าตัวเองมีหยกอุ่น เกรงว่าคงได้ดึงดูดนักธุรกิจหยกมากหน้าหลายตาเข้ามาแก่งแย่ง จะขายด้วยราคาสูงก็ไม่ต้องกังวล?
“จินเหลียน คุณเป็นอะไรไปครับ?” จ่านป๋ายเห็นแววตาของเธอผิดปกติ จึงถามด้วยความสงสัย
“เสี่ยวป๋าย คุณมานี่หน่อย” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า “คุณลองยื่นมือมาแตะดูสิ หรือความรู้สึกในการสัมผัสของฉันมีปัญหา?”
จ่านป๋ายงุนงัน แต่ก็ยื่นมือไปแตะบนหินหยกก้อนนั้นตามคำพูดของเธอ ไม่นานใบหน้าของเขาก็ฉายแววไม่อยากจะเชื่อ ขมวดคิ้วพูดว่า “นี่มัน…เขาเผาเหรอ?”
“เมื่อกี้ฉันก็คิดแบบนี้” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม
“ผมว่าน่าจะเป็นไปไม่ได้?” จ่านป๋ายส่ายหน้าพูด “ใครๆ ก็รู้ว่าหากถูกเผาให้ร้อน แค่เวลาแปบเดียวก็เย็นลงแล้ว”
“อืม” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า แต่ปัญหาก็คือพวกเขาเข้ามาสักพักแล้ว แต่อุณหภูมิของหินหยกก้อนนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย
“หยกอุ่นเหรอ?” จ่านป๋ายสัมผัสหินหยกก้อนนั้นไม่หยุด ก่อนถอนหายใจพูดขึ้นว่า “มีของในตำนานแบบนี้อยู่จริงเหรอ จินเหลียน พวกเราเจอของดีเข้าแล้ว?”
“หากนี่เป็นหยกอุ่นจริง ไม่ว่าใครมาสัมผัสก็น่าจะรู้ แต่ทำไมเขาถึงได้ตามหาพวกเราให้มาซื้อล่ะ?” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าพูด “ขอแค่เขาบอกว่า เขามีหยกอุ่นไว้ในมือ นักธุรกิจหยกจำนวนมากคงได้เบียดประตูใหญ่พังบ้านเขาเข้ามาแน่”
“ประตูใหญ่บ้านเขาก็พังมากแล้ว!” จ่านป๋ายคิดถึงประตูเก่าผุพังสองบานและส่ายหน้าพูด “คุณลองดูว่าลักษณะเป็นอย่างไร ไหนจะเรื่องราคา หากราคาสูงเกินไปพวกเราคงซื้อไม่ไหวหรอก” ประโยคสุดท้ายเห็นได้ชัดว่าเขาเพิ่มเสียงให้สูงขึ้น เพื่อให้เงามืดที่อยู่ด้านนอกได้ยิน
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าหงึกหงัก เมื่อกี้ที่ยื่นมือไปรู้สึกว่าเม็ดทรายบนผิวลื่นเนียนเกลี้ยงเกลา แต่ลักษณะโดยละเอียดต้องรอดูอีกที
ไม่เพียงเท่านั้น หากว่าเป็นหยกอุ่นจริงๆ เกรงว่าแย่สุดข้างในก็คงเป็นลักษณะแห้งคล้ายก้อนขี้หมา แต่ก็สามารถขายออกไปด้วยราคาสูงได้เหมือนเกิน จนกระทั่งเธอเองก็คิดว่าถึงแม้จะเป็นหยกก้อนขี้หมา แต่ถ้าซื้อกลับไปให้มืออุ่นในหน้าหนาวก็ไม่เลว
ผิวสีเหลืองค่อยๆ จางหายไปในดวงตาของเธอ เปลือกไม่หนา เป็นชั้นบางๆ แต่ข้างในเป็นหินหยกหยาบกระด้างและเป็นสีเทา ไม่มีหยกเนื้อเนียนใสแวววับสักนิด ซีเหมินจินเหลียนสงสัยทำไมถึงเป็นอย่างนี้?