ซีเหมินจินเหลียนถามขึ้นเสียงเบา “ถ้าอย่างนั้นพวกเราได้แลกเงินดอลลาร์สหรัฐกับเงินยูโรแล้วหรือยัง?”
“ผมแลกเงินดอลลาร์กับยูโรมาแล้วบางส่วน ถ้าคืนนี้คุณอยากเดิมพันหินก็ไม่มีปัญหาครับ” จ่านป๋ายยิ้ม “ที่นี่ไม่ใช่เมืองจีน ชื่อเสียงของคุณยังไม่โด่งดังขนาดนั้น ถ้าคุณอยากหาเงินนิดหน่อยเหมือนอวิ๋นเจีย ก็เลือกสอยที่นี่ได้ตามสบาย”
“คุณพูดแบบนี้ ฉันก็รู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมาแล้ว!” ซีเหมินจินเหลียนพูด “ฉันต้องเซฟค่าใช้จ่ายระหว่างทางไว้ด้วย ช่วงนี้จ่ายเงินไปจนรู้สึกปวดใจขึ้นมาแล้ว”
“อืม” จ่านป๋ายพยักหน้าและโอบไหล่เธอ “อวิ๋นเจียนี่ก็ตกเป็นเหยื่อแล้วจริงๆ เฮ้อ…ผู้หญิงคนนี้ก็ใสซื่อเกินไป”
ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้พูดอะไรออกมา และไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ อวิ๋นเจียสวยมาก ครั้งแรกที่เธอได้เห็นอวิ๋นเจียก็มีความรู้สึกสงสารจับใจ ขนาดเธอที่เป็นผู้หญิงยังขนาดนี้ แล้วผู้ชายไม่ไปกันใหญ่เหรอ? อีกอย่างอวิ๋นเจียก็ยังรักฉินเฮ่ามาก นี่ก็ไม่ใช่ความลับอะไร เคยได้ยินมาว่าทั้งสองเคยเป็นเพื่อนเล่นกันตั้งแต่สมัยเด็กๆ น่าเสียดายที่อีกฝ่ายมีใจให้ แต่อีกฝ่ายกลับไม่มี
ตอนนี้ซีเหมินจินเหลียนก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมฉินเฮ่าถึงได้รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะหมั้นกับอวิ๋นเจีย เขามีจุดประสงค์อะไรกันแน่?
“ถ้าเธอไม่ใช่คนใสซื่อ เธอคงไม่จ้างคนมาฆ่าฉันหรอก” ซีเหมินจินเหลียนคิดถึงสมองพิการของนักฆ่าคนนั้นก็ได้แต่ลอบถอนหายใจ “ความจริงแล้วฉันเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงรักฉินเฮ่า?”
เธอมักจะรู้สึกว่าแผนการของฉินเฮ่านั้นดูมากเกินไป เกรงว่าถึงจ่านมู่ฮวาจะเขียนคำว่าผลประโยชน์ไว้บนใบหน้า หรือเรื่องจีบผู้หญิงก็เหมือนกัน แต่ก็ยังดีกว่าฉินเฮ่าที่ทำแบบนี้!
ตอนแรกที่ฉินเฮ่าตามจีบเธอ เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธลูกเดียว และหลินเสวียนหลานยังชงแล้วชงอีก รู้สึกว่าคนคนนี้น่าสนใจดี ถึงรูปร่างหน้าตาจะไม่ได้โดดเด่นมากนัก แต่เธอก็แอบรู้สึกว่าการที่ฉินเฮ่าหมั้นกับอวิ๋นเจียมันก็ไม่ได้ง่ายเหมือนที่เห็น และอวิ๋นเจียที่น่าสงสาร เธอกฌถูกคนใช้ผลประโยชน์จากตัวเอง เบื้องหลังความสง่างามของผู้ชายคนนี้มีแผนการในใจเป็นอย่างดี และมีความดำมืดแทรกผ่านเข้ามา
ผู้ชายที่มากแผนการแน่นอนว่าไม่มีความปลอดภัย กรณีเดียวกันกับผู้ชายที่หน้าตาดีก็ไม่ปลอดภัยเช่นกัน อย่างเช่น…หลินเสวียนหลานกับจ่านมู่ฮวา
เมื่อคิดถึงสองคนนี้ ซีเหมินจินเหลียนก็เผลอเหลือบไปมองจ่านป๋าย หน้าตาของจ่านป๋ายก็ออกจะเรียบง่าย หล่อพอไปวัดไปวาได้ แต่ไม่ถึงขนาดโดดเด่น หากยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนก็ไม่น่าจะเป็นจุดสนใจของทุกคน
“จินเหลียน คุณมองอะไรเหรอ” จ่านป๋ายรู้สึกว่าสายตาของซีเหมินจินเหลียนแปลกประหลาดอยู่บ้าง เลยถามขึ้นเสียงเบา
“มองคุณไง!” ซีเหมินจินเหลียนพูดไปแล้วก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาลง ถ้าให้จ่านป๋ายรู้ว่าตัวเธอแอบเอาเขาไปเปรียบเทียบกับผู้ชายคนอื่น ก็ไม่รู้ว่าเขาจะกระอักกระอ่วนใจหรือเปล่า
“จินเหลียน ไม่ใช่ว่าคุณตกหลุมรักผมเข้าแล้วหรอกนะ?” จ่านป๋ายลองถามหยั่งเชิง
ซีเหมินจินเหลียนถลึงตาใส่เขาแล้วก่นด่าออกมา “หลงตัวเองแล้วคุณน่ะ!”
“แล้วคุณรักใครกันแน่ล่ะ?” จ่านป๋ายเห็นเธอไม่มีทีท่าว่าจะโกรธเลยถือวิสาสะถามต่อ สำหรับคำถามนี้มันคอยตามหลอกหลอนเขาอยู่ตลอด อยากจะถามแต่ก็กลัวว่าเธอจะโกรธ…เธอคอยเลี่ยงประเด็นนี้มาเสมอ
“ฉันรักตัวเอง!” ซีเหมินจินเหลียนพูด “ฉันเห็นแก่ตัว! ฉันอยากจะครอบครองคุณ แต่ฉันก็รักตัวเองมากกว่า”
“จินเหลียน งั้นถ้าผมจะถามคุณว่า…” จ่านป๋ายรู้สึกว่าหากเขายังไม่หยุดถามคำถามนี้กับเธอ ไม่ช้าก็เร็วเธอคงได้โกรธจนกระอักเลือดแน่ ตอนนั้นจึงพูดเบาๆ ขึ้นทันทีว่า “นอกจากผมแล้ว คุณอยากจะครอบครองใครอีกหรือเปล่า?” เขาแอบรู้สึกว่าที่ซีเหมินจินเหลียนอยากครอบครองเขานั้น เป็นเพราะเธอต้องพึ่งพาอาศัยเขา ไม่ใช่ความรักอย่างแท้จริง “นอกจากผมแล้ว คุณอยากครอบครองใครอีกไหม?”
ซีเหมินจินเหลียนได้ฟังคำถามนี้แล้ว ก็เอนศีรษะครุ่นคิดเล็กน้อยจากนั้นส่ายหน้า “ไม่มีแล้ว”
“พูดแบบนี้ แสดงว่าผมเป็นคนเดียวของคุณเหรอ?” จ่านป๋ายได้ยินแล้วยักคิ้วหลิ่วตา
“ไปให้พ้นเลย!” ซีเหมินจินเหลียนสบถด่า สำหรับความรู้สึกของตัวเอง เธอเองก็กำลังกลัดกลุ้มไม่น้อย ไม่รู้จะเริ่มจัดการจากที่ไหนก่อน
“ไม่ว่าในอนาคตจะเป็นยังไง ผมก็จะอยู่ข้างงคุณไปตลอดชีวิต” จ่านป๋ายจับมือเธอแล้วพูดขึ้น “คุณวางใจเถอะครับ”
“ฉันรู้ว่าคุณเป็นของฉัน” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มบางๆ ความรู้สึกนี้ก็ช่างวิเศษเหลือเกิน
ระหว่างที่ทั้งคู่พูดคุยกันอยู่นั้น อวิ๋นเจียก็เจรจาที่จะเจียหินกับเถ้าแก่เรียบร้อย ไม่นานก็มีเครื่องผ่าหยกขนาดเล็กถูกยกมาตั้งไว้ข้างหน้า ก่อนจะเปิดสวิตซ์ปุ่มทำงาน
ภายใต้การกำกับของอวิ๋นเจีย ฉินเฮ่าก็เริ่มออกแรงเจียรหิน
ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้ดูหินหยกก้อนนั้นมาก่อน แน่นอนว่าเธอจึงไม่รู้ว่าเนื้อข้างในดีร้ายอย่างไร ไม่รู้ว่าจะชนะหรือแพ้เดิมพัน ดังนั้นได้แต่ยืนมองอยู่ท่ามกลางฝูงชน
จ่านป๋ายที่ไม่ได้สนใจอยากจะดูเท่าไหร่ จึงกระซิบพูดกับซีเหมินจินเหลียนว่า “จินเหลียน…”
“หืม…” ซีเหมินจินเหลียนตอบกลับไปอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก
“ผมดูแล้วเหมือนเถ้าแก่คนนี้จะมีหินหยกไม่น้อยเลย ไม่อย่างนั้นพวกเราก็ไปเลือกสักสองก้อนดีไหมครับ?” จ่านป๋ายแนะนำ
“ก็ดี” ซีเหมินจินเหลียนมองไปข้างในร้าน บนพื้นวางหินหยกเป็นแถวยาว ตอนนี้เครื่องเจียระไนวางอยู่หน้าประตู ฉินเฮ่าและอวิ๋ยเจียเจียรหินอยู่ด้านหน้า น่าจะเป็นเพราะว่าเห็นว่ามีคนเจียรหินอยู่ผู้คนเลยเริ่มแห่กันเข้ามามุงดูความคึกคัก มีบางคนก็เริ่มมองดูหินหยกในร้าน
ซีเหมินจินเหลียนพูดขึ้นว่า “คุณไปเลือกมาสองก้อนเถอะ”
“ผมเหรอ?” จ่านป๋ายชี้นิ้วไปที่ตัวเองและยิ้มออกมาเก้ๆ กังๆ “ผมก็ไม่ได้เกี่ยงถ้าจะมีเงินเพิ่มขึ้นหรอกนะ!”
ซีเหมินจินเหลียนพูด “ฉันอยากให้คุณเดิมพันต่างหาก!”
จ่านป๋ายคิดแล้วเดินเข้าไปอย่างตั้งใจ หากหินหยกก้อนแรกซีเหมินจินเหลียนชนะเดิมพัน ข่าวคงได้แพร่สะพัดบนถนนเดิมพันหินอย่างรวดเร็ว แต่หากเดิมพันแพ้ไปก่อนสองสามก้อน เวลาเดิมพันชนะก็จะไม่มีใครสนใจ
“โอเคครับ ผมจะไปเลือก คุณรอเดี๋ยวนะ!” จ่านป๋ายพูด
เมื่อเห็นจ่านป๋ายเลือกหินหยกด้วยสีหน้าจริงจัง เหมือนกำลังเลือกแตงโมในหน้าร้อน จับนั่นที ลูบนี่ที ซีเหมินจินเหลียนก็หัวเราะและเหลือบมองฉินเฮ่าที่กำลังเจียรหิน
“จินเหลียน…” จ่านป๋ายวิ่งกลับมาพร้อมพูดขึ้น “ส่งไฟฉายกับแว่นขยายมาให้ผมหน่อย”
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินแล้วก็ไม่เพียงหลุดหัวเราะออกมา เขาจะเอาไฟฉายไปทำไมกัน? แต่ก็ยังควานหาไฟฉายและแว่นขยายในกระเป๋าส่งไปให้เขา “ทำตัวเป็นมืออาชีพเหรอ?”
“ก็พวกเขามีกันหมดนี่นา” จ่านป๋ายชี้ไปทางนักธุรกิจหยกสองคนที่กำลังนั่งยองๆ ดูหินหยกตรงหน้า “ผมก็ทำกับเขาบ้าง” พูดจบเขาก็เดินไปสำรวจดูหินหยกดิบอีกครั้ง ถือไฟฉายและแว่นขยายเลียนแบบไม่มีผิดเพี้ยน
ทางด้านของฉินเฮ่า เมื่อใบมีดตัดลงไปเจียผิวหินชั้นบางๆ ออกไป ผู้ชมที่มุงดูก็ไม่รู้ว่าใครที่พูดภาษาพม่าที่ซีเหมินจินเหลียนฟังไม่ออกขึ้นมา ในใจสงสัยจึงรีบไปดู…ที่แท้ก็เผยสีเขียวออกมา และเป็นสีเขียวอ่อนเนื้อน้ำแข็ง สีใช้ได้เลย เป็นสีเขียวแอปเปิล ขาดความชุ่มชื้นไปหน่อย มองแล้วแห้งเหือดไปนิด แต่ยังไงก็ถือว่าสวยงาม