“หลีกทางหน่อยครับ ผมเป็นหมอ!” สวี่อี้หรานตะเบ็งเสียงสูง
ผู้คนที่มุงดูได้ยินอยู่นั้นพากันหลีกทางให้ จ่านป๋ายเห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะพึมพำในใจ นายเป็นหมอก็จริง แต่นายเป็นหมอที่จะเอาชีวิตคน ตอนที่นายไม่เข้าไปดูเขา ก็ไม่แน่ว่าเขาอาจจะยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ แต่พอนายเข้าไปดูแล้ว…
หึๆ! และเมื่อสักครู่จ่านป๋ายก็เห็นอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งเลยว่าคนที่โชคร้ายที่นอนราบไปกับพื้นคนนั้นก็คือเลี่ยวก่วง ผู้บังคับบัญชาตำรวจอาชญากรรมผู้ยิ่งใหญ่ในเมืองเซี่ยงไฮ้ หากไม่มีธุระอะไรแล้วเขาจะมาเจียหยางทำไม เมื่อเห็นแบบนี้แล้วชีวิตน้อยๆ นี้ของเขาก็คงต้องมอบให้กับที่นี่แล้ว
แต่เขาสงสัยมากกว่าเลี่ยวก่วงมาสลบไสลอยู่ในลิฟต์ได้อย่างไรกัน? ว่ากันตามตรงเมื่อสักครู่ตอนที่เขาเห็นคนคนนี้ก็โกรธเหลือเกิน และเกลียดจนอยากจะเอามีดไปปลิดชีวิตเขาถึงจะระบายความเกลียดนี้ออกไปได้ แต่ถึงจะทำอย่างนั้นก็ไม่มีทางทำในโรงแรมแน่ๆ ไม่อย่างนั้นคดีนี้คงได้ตามหาต้นตอไม่รู้จบ
ตอนนั้นสวี่อี้หรานกับซีเหมินจินเหลียนก็อยู่ข้างในห้อง ไม่ได้ออกไปไหน เห็นได้ชัดว่าคนที่ลงมือเป็นอีกคน นอกจากเลี่ยวก่วงจะหาเรื่องพวกเขาแล้ว เขาก็ยังไปหาเรื่องคนอื่นอีกอย่างนั้นเหรอ?
“คุณเป็นหมอเหรอครับ?” มีคนหนึ่งดูจากการแต่งตัวแล้วน่าจะเป็นผู้จัดการโรงแรมรีบพูดคุยกับสวี่อี้หราน “คุณหมอ คุณรีบช่วยเขาเถอะครับ จะให้เขามาตายที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด!”
ให้มีคนมาตายอย่างไม่ทราบสาเหตุในโรงแรม ย่อมส่งผลกระทบต่อธุรกิจของโรงแรมนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บางทีอาจมีตำรวจมาสืบค้นคดีถึงที่ ดังนั้นผู้จัดการโรงแรมถึงได้ร้อนอกร้อนใจกว่าใคร
“ผมขอตรวจดูหน่อย คุณแจ้งความหรือยัง” สวี่อี้หรานถาม
“อ้อ…” ผู้จัดการโรงแรมได้ยินแล้วขมวดคิ้วไม่หยุด คนไม่เป็นอะไร เขาก็ยอมจ่ายค่ารักษาพยาบาลเล็กน้อย แต่ไม่ยอมแจ้งความให้ยุ่งยากแน่
“ผมว่าแจ้งความดีกว่า!” สวี่อี้หรานพูดเกลี้ยกล่อม
“ใช่แล้ว รีบแจ้งความเถอะ ดูแล้วคนคนนี้ก็สภาพย่ำแย่จริงๆ!” มีเสียงผู้คนพากันเอะอะโวยวาย
ผู้จัดการโรงแรมไม่สนใจแล้วเหมือนกัน รีบเรียกให้พนักงานโรงแรมไปแจ้งความ สวี่อี้หรานเอื้อมมือไปจับชีพจรที่คอของเลี่ยวก่วง ไม่นานก็ขมวดคิ้วสงสัย นี่เหมือนว่าโดนพิษนี่นา!
ชีวิตนี้นอกจากดอกไม้ปีศาจแล้ว เขาก็ไม่เคยเห็นพิษที่ไหนร้ายแรงกว่านี้อีก เกรงว่าถึงจะเป็นตาแก่หนังเหนียวนั่นเป็นคนลงมือวางยา สภาพก็คงไม่ต่างจากนี้แน่
แต่พิษรุนแรงแบบนี้ก็ไม่ถึงขั้นตายคาที่ แต่ถ้าคนคนนี้มีชีวิตอยู่ ชาตินี้คงได้ทุกข์ทรมานและใช้ยาไปทั้งชีวิตแน่
“คุณหมอ เขาเป็นอย่างไรบ้างครับ” ผู้จัดการโรงแรมกระวนกระวายใจ
“ผมก็ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด” สวี่อี้หรานพูด ร่างกายของเลี่ยวก่วงไม่มีร่องรอยที่แน่ชัด เห็นได้ชัดว่าคนที่ใช้ยาพิษนี่เก่งกาจถึงขั้นใช้ยาไร้สีไร้กลิ่น “แจ้งความแล้วรีบไปส่งโรงพยาบาลเถอะ!” เดิมทีคิดว่าจะฉีดยาซ้ำเติมอีกสักเข็ม ให้เลี่ยวก่วงที่ชอบแส่หาเรื่อง แต่ตอนนี้เห็นว่าคงไม่จำเป็นแล้ว
“จริงสิ ได้ตรวจสอบบันทึกการเข้าพักของแขกคนนี้บ้างไหม?” จ่านป๋ายตั้งใจถาม “ถ้าเขาไม่ได้มาเจียหยางคนเดียว จะได้บอกเพื่อนหรือญาติสนิทให้รู้ข่าว”
สวี่อี้หรานได้ยินแล้วในใจก็สบถด่าจ่านป๋ายชั่วร้ายไม่หยุด ขอแค่ตรวจสอบเกรงว่าตัวตนของเลี่ยวก่วงคงปิดไม่มิดแล้วแน่!
“รีบไป! รีบไปตรวจสอบ!” ผู้จัดการโรงแรมร้อนใจ
“ผมดูแล้วว่าคนคนนี้ไม่น่าจะเป็นแขกที่มาพักในโรงแรมของเรา!” ในนั้นมีพนักงานคนหนึ่งพูดขึ้น “ผมไม่เคยเห็นเขามาก่อนเลยครับ!” พนักงานคนอื่นๆ ก็พากันวิ่งอลหม่านไปตรวจสอบบันทึกของแขก จนมีบางคนเริ่มหาเทปบันทึกกล้องวงจรปิดของโรงแรม
เหตุการณ์ชุลมุนนี้อยู่ได้ไม่นาน ทันใดนั้นก็มีรถตำรวจมาพาเลี่ยวก่วงขึ้นรถและส่งไปโรงพยาบาล จากนั้นก็ซักถามข้อมูลจากผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ เหตุการณ์ที่วุ่นวายนี้ก็ได้จบลง ส่วนเรื่องอื่นๆ จำพวกอาชีพของคนที่เป็นลมอยู่ในลิฟต์ เป็นแขกของโรงแรมหรือเปล่า เป็นตายร้ายดีอย่างไร สำหรับทุกคนที่คิดว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเอง ก็คิดเสียว่าเป็นเรื่องบันเทิงที่น่าตื่นตาตื่นใจเท่านั้น
หนิงชุ่ยฉินฉลาดที่เลือกจะไม่ออกมาพูด เธอเป็นคนแรกที่เห็นว่าเลี่ยวก่วงล้มตึงอยู่ในลิฟต์ และจากการสอบถามของคนอื่นๆ เธอก็เข้าใจดีว่าคนคนนั้นยังไม่ตาย น่าจะแค่โรคกำเริบเฉียบพลัน?
เธอเลยได้แต่ขึ้นลิฟต์ตามคนพวกนั้นไป นักธุรกิจหยกพวกนั้นที่รู้จักไม่รู้จักก็ทักทายกันหมด จากนั้นกลับห้องไปพักผ่อน หนิงชุ่ยฉินรีบเดินตามจ่านป๋ายมา
“คุณหนิง นี่ก็ดึกแล้ว ทำไมคุณยังไม่กลับไปอีกครับ?” จ่านป๋ายเห็นเธอตามเขามาเลยถามขึ้น
สวี่อี้หรานมองไปทางหนิงชุ่ยฉินอย่างคิดไม่ดีนัก กระซิบข้างหูพูดกับจ่านป๋ายว่า “ผมยังนึกว่าคุณจริงจังเสียอีก หึๆ ที่แท้ก็ปิดบังจินเหลียนไว้ แอบไปอ่อยผู้หญิงข้างนอกเหรอ? หึๆ…อีกทั้งยังดูสวยใสซะด้วย!” พูดจบเขาก็ใช้ดวงตากลอกมองไปบนเรือนร่างของหนิงชุ่ยฉิน
“คุณอย่าพูดจาเหลวไหลนะ!” จ่านป๋ายด่า
“ฉันมีธุระกับคุณซีเหมิน!” คำพูดของสวี่อี้หรานแน่นอนว่าต้องเล็ดลอดผ่านไปถึงหูของหนิงชุ่ยฉิน เมื่อสักครู่เธอตกใจเรื่องเลี่ยวก่วง พอตอนนี้รู้แล้วว่าคนคนนั้นยังไม่ตาย น่าจะแค่อาการกำเริบ เพราะอย่างนั้นตอนนี้เลยไม่มีอะไรต้องกลัว รีบกลับมาเป็นตัวเองที่มีท่าทีแข็งกร้าวเหมือนเก่า
แต่ไหนแต่ไรเธอก็เป็นผู้หญิงที่ชอบเคาะประตูห้องผู้ชายแปลกหน้าตอนดึกๆ ดื่นๆ อยู่แล้ว เลยไม่ได้กลัวสวี่อี้หราน ยิ้มตอบกลับไปว่า “แล้วฉันก็ไม่ได้จะอ่อยคุณจ่าน เขาว่ากันว่าสามีเพื่อนไม่น่าสนใจ แต่คุณที่ดูไม่มีเจ้าของ ฉันเลยสนใจคุณต่างหาก”
เมื่อพูดจบหนิงชุ่ยฉินก็เดินไปข้างกายสวี่อี้หราน เอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าและพยักหน้าพูดกับเขาว่า “หน้าตาคุณก็ใช้ได้เลยนะ”
สวี่อี้หรานเดิมทีที่มีใบหน้าซีดขาว ตอนนี้ก็พลันแดงระเรื่อขึ้นมา จากนั้นก็ถอยหลังออกไปหลายก้าว จ่านป๋ายที่มีความสุขบนทุกข์ของคนอื่น ก็คิดถึงคำพูดที่ซีเหมินจินเหลียนเคยบอกกับหนิงชุ่ยฉินว่า…ในอนาคตถ้าเธอมาที่เมืองเซี่ยงไฮ้ จะแนะนำหนุ่มหล่อให้รู้จัก
ตอนนี้เขาก็เลยรีบแย้มยิ้มแล้วพูดว่า “คุณหนิง ผู้ชายคนนี้ก็หล่อไม่เบาเลยใช่ไหม?”
“ใช้ได้เลย แต่น่าเสียดายที่ดูเหมือนคนขาดสารอาหารไปหน่อย!” หนิงชุ่ยฉินพูดแบบไม่มีทางเลือก
“ขาดสารอาหารก็ดีสิครับ” จ่านป๋ายยิ้ม “ในอนาคตถ้าเขาตายไปแล้ว คุณจะได้ครอบครองทรัพย์สมบัติที่เหลือไง จากนั้นค่อยเลี้ยงดูหนุ่มหล่อๆ ได้อีกตั้งเยอะ!”
หนิงชุ่ยฉินหลุดหัวเราะออกมา ทางด้านสวี่อี้หรานที่ได้ยินแล้วก็พูดจริงจังขึ้นว่า “เป็นไปไม่ได้ กฎหมายมรดกของครอบครัวเรานั้นแตกต่างจากคนอื่น…และ…ผมไม่มีทางแต่งงานกับเธอ!”
“ถึงคุณอยากจะขอฉันแต่งงาน ฉันก็ไม่สนใจคุณหรอก!” หนิงชุ่ยฉินขมวดคิ้ว
จ่านป๋ายหัวเราะออกมาเล็กน้อย สวี่อี้หรานจึงยิ้มออกมาอย่างกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง ไม่สนใจหนิงชุ่ยฉินรีบกลับเข้าห้องตัวเองไป เมื่อเห็นสวี่อี้หรานไปแล้ว หนิงชุ่ยฉินถึงพูดขึ้นว่า “คุณซีเหมินล่ะคะ?”
“เธอน่าจะนอนไปแล้ว เมื่อกี้พวกเราได้ยินเสียงคุณร้องโวยวายเลยรีบวิ่งไปดู” จ่านป๋ายถาม “ดึกแล้ว ทำไมคุณยังไม่กลับไปอีก?”
“ฉันมีธุระกับคุณซีเหมินนิดหน่อย” หนิงชุ่ยฉินพูด “เรื่องเมื่อกี้ทำเอาฉันตกใจมาก ฉันนึกว่าเขาจะตายไปแล้วซะอีก ที่แท้ก็แค่เป็นลม น่าจะเป็นโรคอะไรสักอย่างใช่ไหม?”
“คุณค่อยมาพรุ่งนี้ได้ไหม?” จ่านป๋ายขมวดคิ้วพูดขึ้น “นี่ก็ดึกมากแล้ว อีกอย่างเธอเพิ่งจะเข้านอนไป” ในใจบ่นพึมพำ เลี่ยวก่วงไม่ได้ป่วยเป็นโรคอะไร และไม่รู้ว่าใครที่เป็นคนลงมือเขา เป็นถึงผู้บังคับบัญชาตำรวจอาชญากรรมในเมืองเซี่ยงไฮ้ได้ก็นับว่าโชคชะตาไม่แย่ แต่คิดไม่ถึงว่าจะมาหมดสติอยู่ในลิฟต์ไร้วี่แววแบบนี้
เรื่องนี้อีกเดี๋ยวคงต้องบอกกับซีเหมินจินเหลียน ทางที่ดีพรุ่งนี้ต้องรีบออกจากที่นี่และไปพม่าให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงเรื่องราววุ่นวาย แม้ว่าพวกเขาจะไม่กลัว แต่เรื่องวุ่นวายพวกนี้หนีให้ไกลเท่าไหร่ได้ยิ่งดี
“ฉันมีเรื่องเร่งด่วนจริงๆ รอถึงพรุ่งนี้ไม่ไหวแน่!” หนิงชุ่ยฉินพูด
“เอาเถอะ!” จ่านป๋ายพยักหน้าและพาหนิงชุ่ยฉินเดินไปที่ห้องของซีเหมินจินเหลียน
“จินเหลียน คุณนอนหรือยังครับ” จ่านป๋ายยืนอยู่หน้าห้องซีเหมินจินเหลียน ส่งเสียงเรียกขึ้นว่า “คุณหนิงมีเรื่องจะคุยกับคุณ”
“อืม รอฉันเดี๋ยวนะ!” ซีเหมินจินเหลียนพูดขึ้น
“โอเค” จ่านป๋ายพาหนิงชุ่ยฉินมานั่งรออยู่ที่โซฟาด้านนอก ไม่นานซีเหมินจินเหลียนที่ปล่อยผมสลวยและสวมด้วยชุดคลุมก็เดินออกมาจากข้างใน เมื่อเห็นหนิงชุ่นฉินแล้วเธอจึงยิ้มถามขึ้นว่า “คุณหนิง ดึกดื่นขนาดนี้แล้วมีธุระอะไรกับฉันเหรอคะ”
“แม่ฉันให้มาส่งของให้คุณน่ะ!” หนิงชุ่ยฉินเห็นซีเหมินจินเหลียนก็ดีใจมาก รีบหาของในกระเป๋าที่มีกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าๆ ห่อไว้อยู่ จากนั้นสองมือก็ยื่นส่งไปให้เธอ
“ของอะไรเหรอ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม “คุณป้าหนิงก็เกรงใจเกินไปแล้ว”
“เรื่องในวันนั้นแม่ของฉันก็รู้สึกผิดกับคุณ อีกทั้งลุงของฉันที่คิดจะขายหินหยกก้อนนั้นให้กับคุณ เขาก็กลับผ่ามันออกมาจนเป็นสภาพแบบนั้น…” หนิงชุ่ยฉินเม้มริมฝีปากพูดขึ้น
ซีเหมินจินเหลียนยิ้มออกมาน้อยๆ เธอต้องขอบคุณเจียงเจิ้นลุงของเธอต่างหาก หากไม่ใช่เขาที่ตัดหินหยกมั่วซั่วแบบนั้น เธอคงไม่กล้าที่จะต่อรองราคา หากคุณแม่หนิงเป็นคนขายหินหยก ราคาที่เธอให้ไปแปดล้านก็เหมาะสมแล้ว…เพราะพวกเขาสองแม่ลูกไม่ใช่นักธุรกิจหยก เธอคงไม่ถนัดที่จะต่อรองราคาหรือหลอกพวกเธอ ไม่อย่างนั้นถึงเธอจะซื้อไปก็คงรู้สึกไม่สบายใจ
แต่กับเจียงเจิ้นนั้นไม่เหมือนกัน เขาเป็นนักธุรกิจหยกที่รู้ทุกอย่าง ขอแค่เขาไม่ทำอะไรกับหินหยกก้อนนั้น เพราะราคาที่ตกลงไว้ดิบดีตั้งแต่ตอนแรก ซีเหมินจินเหลียนอาจจะรู้สึกเกรงใจเวลาต่อรองราคา แต่เขากลับตัดมันจนไม่เหลือชิ้นดี นั่นจึงทำให้เธอต่อรองราคาได้ง่าย
เมื่อยื่นมือออกไปรับของที่ถูกกระดาษหนังสือพิมพ์ห่อหุ้มไว้อยู่ ซีเหมินจินเหลียนใช้นิ้วกดลงไปก็รู้สึกได้ถึงความแข็ง น่าจะเป็นหินแน่ ด้วยความสงสัยจึงรีบเปิดออกดู พบว่าเป็นหินหยกก้อนหนึ่งที่มีขนาดใหญ่เท่าไข่ไก่ ผิวสีขาวบริสุทธิ์ และผิวสัมผัสที่เนียนลื่น เพราะผิวเป็นสีขาวบริสุทธิ์ เลยทำให้ผู้คนชื่นชอบ
“หินสวยมาก!” ซีเหมินจินเหลียนชื่นชมไม่หยุด
“แม่ฉันบอกว่านี่เป็นของที่อาหลี่ซานเก็บไว้ในตอนนั้น น่าจะใช้ได้เลย เพราะอย่างนั้น…แม่เลยให้ฉันมามอบให้คุณ เป็นการขอโทษคุณด้วย” หนิงชุ่ยฉินพูด “แม่ยังบอกอีกว่า ต้องส่งของชิ้นนี้ให้ถึงมือคุณด้วยตัวเอง”
“ลักษณะของหินหยกก้อนนี้ก็ใช้ได้เลย” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม ที่เธอพูดว่าใช้ได้ ก็หมายถึงว่าแม้จะยังไม่ได้เจียรหินออกมา แต่หินก้อนนี้ก็สวยแล้ว หินหยกส่วนมากไม่ว่าข้างในจะดีแค่ไหน แต่ก่อนที่ยังไม่เจียรนั้นต่างมีลักษณะอัปลักษณ์ทั้งนั้น แน่นอนว่าต้องไม่มีวาสนากับความสวย