แน่นอนว่าเมื่อซีเหมินจินเหลียนหวนย้อนคิดดูปล้ว หากอวิ๋นอวิ้นอยากจะให้เธอมารับช่วงต่อจริง เกรงว่าคงเลี้ยงดูให้หลับนอนอยู่กับหยกชั้นดี หินหยกชั้นดีหลากสีคงทำให้เธอค่อยๆ ซึมซับเรียนรู้ไปอย่างช้าๆ ไม่เหมือนเธอที่คอยดิ้นรนหาหนทาง
คิดแล้วก็รู้สึกเจ็บปวดใจ คนอื่นคงเข้าใจว่าเธอเก่งเดิมพันหิน แต่ไม่รู้เลยว่าหากนำหินหยกก้อนหนึ่งมาวางไว้ตรงหน้าเธอ เธอจะเอาความมั่นใจจากไหนมาตัดสินว่ามาจากเหมืองไหน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นเลย
แน่นอนว่าประสาทสัมผัสของเธอดีกว่าคนอื่น ตอบสนองต่อผิวหินหยกได้มากกว่าคนทั่วไป แต่เรื่องนี้จ่านป๋ายก็ทำได้
“จินเหลียน สีเขียวจักรพรรดิเป็นยังไงเหรอครับ?” จ่านป๋ายสงสัย “บรรดาหยกสีเขียวผมก็เห็นมาไม่น้อย จานหยกใส่ผลไม้ใบบัวนั่น ก็ไม่นับเป็นสีเขียวจักพรรดิเหรอ?”
“นั่นคือสีเขียวสด” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าพูดขึ้น “มันคือสีเขียวที่ดูสดและบริสุทธิ์ผุดผ่องกว่าสีเขียวสดธรรมดา จะให้ฉันพรรณนาว่ายังไงดีล่ะ? เขียวสด…เหมือนต้นไม้ใบหญ้าที่พึ่งผลิบานขึ้นมาในฤดูใบไม้ผลิ ส่วนสีเขียวจักรพรรดิเป็นต้นไม้ที่เติบโตมาเป็นอย่างดีสมบูรณ์แบบ สีเขียวชนิดนี้สวยสง่าจนต้องเรียกว่าจักรพรรดิของสีเขียว”
“หวังว่าคงจะมีสักวันที่ผมโชคดีได้เจอบ้าง” จ่านป๋ายยิ้มออกมาบางๆ
“ที่บ้านของพวกเราก็มีหินหยกสองก้อน ฉันคิดว่ามีโอกาสเผยสีเขียวสูง แต่ไม่รู้ว่าจะเขียวถึงขั้นสีเขียวจักรพรรดิหรือเปล่า” ซีเหมินจินเหลียนพูด งานเปลี่ยนหินกลายเป็นทองครั้งก่อน เธอกับอวิ๋นหนานราชาหยกเจ็ดสีอะไรนั่นทะเลาะกันแทบตายก็เพื่อแก่งแย่งหินหยกก้อนหนึ่งมา และหินหยกก้อนนั้นเธอคาดการณ์ไว้ว่าเป็นสีเขียวจักรพรรดิ
เพราะอย่างนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอจึงไม่กล้าขนย้ายออกไป
ในงานเปลี่ยนหินกลายเป็นทอง เธอยังซื้อหินหยกมาอีกก้อนหนึ่ง สีของหินดิบก้อนนั้นมีสีสดใสบริสุทธิ์ สว่างสุกใส…ระดับสูงกว่าสีเขียวทั่วไป แต่เธอก็ไม่เคยเจอสีเขียวจักรพรรดิจริงๆ มาก่อน เพราะอย่างนั้นเลยไม่แน่ใจว่าจะนับเป็นสีเขียวจักรพรรดิได้หรือเปล่า? สีเขียวจักรพรรดิทั้งหมดที่ขายในตลาดตอนนี้ ส่วนใหญ่เป็นแค่สีเขียวอาทิตย์และสีเขียวสดเท่านั้น…
ระดับสียังเทียบกับจานหยกใส่ผลไม้ทรงใบบัวของเธอไม่ได้เลย และหยกแบบนั้นเธอก็ได้มาจากหินหยกบางก้อนตัดเป็นส่วนเล็กๆ
สีเขียวเข้ม สีเขียวอาทิตย์ สีเขียวถั่ว เธอก็เคยเจอมาหมดแล้ว…ไม่เรียกว่าเป็นของหายากอะไร สิ่งที่ทำให้เธอใจเต้นแรงได้แน่นอนว่าต้องเป็นสีเขียวจักรพรรดิ
“เสี่ยวป๋าย คุณรู้จักอวิ๋นเจียไม่ใช่เหรอ” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“จะว่ารู้จักก็ได้ครับ แต่ไม่ค่อยสนิทกันสักเท่าไหร่” จ่านป๋ายขมวดคิ้ว แล้วก็พลันเข้าใจความหมายของเธอดี ก่อนจะยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “อวิ๋นอวิ๋นก็แค่คนสติไม่ดี พฤติกรรมวิกลจริตแบบนั้นใช้สติปัญญาของคนทั่วไปมาคิดคงไม่ได้อะไร”
“ถ้าเธอเป็นคนสติไม่ดีจริง ฉันก็ไม่เข้าใจเลยว่าตระกูลอวิ๋นก็ไม่มีเชื้อสายโดยตรงเลยหรือยังไง ทำไมถึงเลือกอวิ๋นเจียล่ะ?” ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้ว
ฉินเฮ่าปฏิเสธที่จะแต่งงานกับอวิ๋นเจียมาโดยตลอด แต่ตอนนี้เขากลับยินยอมที่จะหมั้นกับเธอ เกรงว่าเรื่องนี้คงไม่ใช่แค่เรื่องระหว่างชายหญิงธรรมดาแน่? ทันใดนั้นจู่ๆ ซีเหมินจินเหลียนก็อยากจะยิ้มเยาะออกมา คนที่พูดกับปากของเขาเองว่าอยากจะตามจีบเธอ เพียงแค่กะพริบตาก็ไปหมั้นกับผู้หญิงคนอื่นเสียแล้ว?
สิ่งที่น่าดูแคลนยิ่งกว่านั้นก็คือ…ตอนที่ฉินเฮ่าอยู่เจียหยาง เขาก็เคยนัดเธอไปเจอด้วย พอเห็นเธอเท่านั้น ท่าทางของเขาก็สุขุมเหมือนกับเคยเจอครั้งแรก
ความจริงแม้ว่าเธอจะไม่เคยมีใจให้กับฉินเฮ่า แต่ฉินเฮ่าก็เป็นคนเฮฮาร่าเริง คบหาเป็นเพื่อนได้ไม่มีปัญหา น่าเสียดายที่ตอนนี้เขาเป็นเขยของตระกูลอวิ๋นแล้ว และเรื่องระหว่างเธอกับอวิ๋นอวิ้นหากไม่ตายกันไปข้างก็ไม่มีทางสงบ ทั้งชีวิตนี้ไม่มีทางที่จะปล่อยมือได้
“จินเหลียน นอกจากสีเขียวจักรพรรดิแล้ว ผมได้ยินมาว่า…” จ่านป๋ายพูดเสียงเบา
“ว่าอะไรเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“เมื่อสักครู่ตอนที่ผมขนสินค้าอยู่ ได้ยินคนอื่นพูดกันมาว่า วันนี้พวกเขาสองคนก็แทบกวาดถนนหยกจนเกลี้ยง อวิ๋นเจียชนะเดิมพันหลายต่อหลายครั้ง ส่งผลให้ชื่อเสียงของเธอแทบจะมาแทนที่คุณแล้ว” จ่านป๋ายยิ้มเจื่อน
“ฉันไม่สนใจชื่อเสียงจอมปลอมนั่นอยู่แล้ว” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า “ต้นไม้ในป่าใหญ่ยังถูกลมพัดจนล้มลงมาได้เสมอ มีชื่อเสียงมักจะทำอะไรไม่สะดวก ไม่อย่างนั้นวันนี้ฉันคงไม่ยืมมือคุณมาซื้อหินหรอก”
“ตอนนี้เธอต้องการชื่อเสียง” จ่านป๋ายพูด “เพราะตลาดหุ้นของบริษัทหมิงฮุยล้มไม่เป็นท่า หากตระกูลอวิ๋นฟื้นกลับมาไม่ได้ นั่นก็เท่ากับว่าบริษัทที่มีชื่อเสียงตราหน้ามาหลายร้อยปีก็ล้มลงไปครึ่งหนึ่งแล้ว”
“ฉันชักอยากจะเห็นตลาดหุ้นของบริษัทหมิงฮุยกลับมาเป็นปกติอีกครั้งแล้วสิ เพราะยังไงฉันก็ถือหุ้นของพวกเขาด้วยเหมือนกัน” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม
“การที่พวกเขาเที่ยวเดิมพันหินและตัดหินโจ่งแจ้งไปทั่วท่ามกลางผู้คนแบบนี้ ไม่มีอะไรมากไปกว่าโฆษณาชวนเชื่อหรอกครับ” จ่านป๋ายพูด “เกรงว่าพรุ่งนี้มะรืนนี้ หุ้นของบริษัทหมิงฮุยจิวเวอรี่คงได้กลับมาทรงตัวขึ้นได้อีกครั้ง”
“อืม” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า ในใจสงสัยไม่หยุด ถามออกไปว่า “แต่ไม่รู้ว่าทำไม ฉันกลับรู้สึกว่าอวิ๋นอวิ้นตั้งใจที่จะผลักดันให้อวิ๋นเจียออกมา”
จ่านป๋ายครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและเอ่ยปากพูด “คงเกิดเรื่องใหญ่ที่พม่าเข้า”
“ช่างเถอะ!” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม “ยังไงพวกเราก็จะไปอีกไม่กี่วันนี้ แม้ว่าพวกเราจะไม่มีเส้นสาย แต่ราชาเดิมพันหยกอย่างเจียหยวนฮวา ชื่อเสียงที่สะสมมาหลายปีก็ไม่ใช่ง่ายๆ”
“ผมไม่เข้าใจ อวิ๋นอวิ้นจะทำอะไรกันแน่?” จ่านป๋ายส่ายหน้าพูด “ดันให้อวิ๋นเจียออกมา นี่ก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไรเลย พูดความจริงก็เหมือนลากเธอลงเหว”
“นี่ก็ไม่แน่เสมอไปหรอก” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า “อาชีพเดิมพันหิน มีชื่อเสียงก็เหมือนต้นไม้ใหญ่ที่ถูกกระแสลมเข้าหา ไม่มีชื่อเสียงก็ถูกคนดูถูกดูแคลน พ่อค้าบางคนมีสินค้าดี เขาก็ไม่นำของพวกนี้ให้คนทั่วไปดูหรอก”
“ผมก็เคยได้ยินมาบ้าง” จ่านป๋ายยิ้มและจูงมือเธอไปเรียกแท็กซี่คันหนึ่ง พร้อมบอกชื่อสถานที่ คนขับแท็กซี่ก็อึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็ขับรถพาไป…
ซีเหมินจินเหลียนและจ่านป๋ายแปลกใจอยู่บ้าง ที่พักของพ่อค้าเฒ่าคนนั้นอยู่ไม่ไกล อยู่แค่ด้านหลังถนนหยก และมันก็ใกล้กับบ้านของหนิงชุ่ยฉิน ถ้าพูดให้ถูกก็คือใกล้กับวิหารร้างสมัยก่อนของผู้อาวุโสหู
บนพื้นมีเศษขยะกองพะเนิน แท็กซี่จอดรถ ก่อนที่จะยิ้มพูดด้วยเสียงสุภาพกับทั้งคู่ว่า “พวกคุณลงรถแล้วเดินไปข้างหน้าประมาณห้าหกสิบก้าว จากนั้นเลี้ยวซ้าย เดินต่อไปข้างหน้าอีกหนึ่งร้อยเมตรก็ถึงแล้วครับ ทางข้างหน้ารถเข้าไปไม่ได้ กลับรถลำบาก ผมส่งพวกคุณแค่นี้แล้วกันครับ”
คนขับรถแท็กซี่อธิบายอย่างชัดเจน จ่านป๋ายเลยไม่ได้แสดงความไม่พอใจออกมา เขาจ่ายค่ารถและลงมาพร้อมกับซีเหมินจินเหลียน ซีเหมินจินเหลียนคว้าโทรศัพท์ก่อนที่จะเปิดไฟฉายส่องและเดินไปตามทางที่คนขับบอก
“จินเหลียน คุณว่าชายชราคนนี้จะเกี่ยวข้องอะไรกับผู้อาวุโสหูหรือเปล่า ทำไมเขาถึงพักที่นี่” จ่านป๋ายมองไปยังหลุมบ่อตื้นลึกบนถนนและขมวดคิ้วพูด
ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า “นี่ก็พูดยาก แถวนี้น่าจะเป็นที่พักของคนที่ไม่มีเงินซื้อบ้าน ส่วนผู้อาวุโสหูก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องพรรค์นี้อยู่แล้ว ฉันไม่เข้าใจว่าเขาซื้อสถานที่แห่งนี้มาแต่กลับไม่พัฒนา อยากให้เป็นกองขยะหรือ?”