การเจียรหินนับว่าเป็นงานที่หนัก อีกกทั้งยังต้องใช้พละกำลังพอสมควร ซีเหมินจินเหลียนกังวลว่าถ้าหากไม่ระมัดระวังในการผ่าหิน อาจจะทำให้หินหยกที่อยู่ข้างในได้รับความเสียหายได้ เพราะอย่างนั้นจะต้องคอยระวังเป็นพิเศษ เธอจึงไม่กล้าที่จะใช้เครื่องผ่าหยก แต่เลือกใช้วิธีที่เหมาะสมที่สุดแทน นั่นก็คือการค่อยๆ เจียระไนผิวด้านนอกของหินออก
“จินเหลียน ให้ผมทำเถอะครับ” จ่านป๋ายเดินเข้ามาจากข้างนอก เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “งานแบบนี้ต้องใช้กำลัง คุณเป็นผู้หญิง อาจจะไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ เอาเป็นว่าคอยบอกผมแล้วกันครับว่าต้องทำยังไง ส่วนที่เหลือผมจัดการเอง?”
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นได้แต่พยักหน้าเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนคุณแล้ว”
“รบกวนอะไรกันครับ” จ่านป๋ายอมยิ้มพร้อมเอาเครื่องเจียระไนจากมือของเธอแล้วพูดว่า “เจียรใช่ไหมครับ?”
“ค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มพร้อมเอ่ยว่า “ฉันคิดว่าหินหยกชิ้นนี้เนื้องามเลยทีเดียว ถ้าหากไม่ระวังอาจจะทำให้หยกข้างในเสียหายได้ เพราะอย่างนั้นยอมใช้วิธีเจียรเปลือกหินแบบนี้แหละ เหมาะสมที่สุดแล้ว”
“ที่คุณพูดก็ถูก!” จ่านป๋ายพูดไปในขณะที่ตัวเองก็พยายามใช้เครื่องมือมายึดหินหยกให้คงที่ เขาค่อยๆ ใช้เครื่องเจียระไนอย่างระมัดระวัง
เนื้อหินถูกเปิดเผยออกมาเพียงแค่สามเซนติเมตร แต่กลับใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงเต็มๆ เมื่อเอาเปลือกหินออก เนื้อข้างในก็เผยให้เห็นถึงความขาวราวกับฝ้ายบริสุทธิ์ แต่ก็ยังไม่มีสีเขียวปรากฏให้เห็นแต่อย่างใด
จ่านป๋ายเริ่มสงสัยในการคาดเดาของซีเหมินจินเหลียนแล้ว หินหยกชิ้นนี้ คงจะไม่ใช่แพ้เดิมพันหรอกนะ? ถ้าหากเขาจำไม่ผิด หลังจากถึงเมืองเจียหยาง เธอก็ซื้อมันเป็นสิ่งแรก
อย่างไรถึงจะแพ้เดิมพันสักครั้ง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เขาครุ่นคิดเช่นนั้นอยู่ในใจ แต่ทว่าการเดิมพันหิน หัวใจหลักอยู่ที่คำว่าเดิมพัน แน่นอนมันอาจจะมีแพ้มีชนะบ้าง แต่ถ้ามัวแต่ชนะเดิมพันไม่เคยแพ้ แบบนี้ถึงเรียกว่าปัญหา ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไรสู้มาเจียระไนต่อดีกว่า
ซีเหมินจินเหลียนคอยอยู่ข้างๆ เขาอย่างไม่ห่าง เมื่อเห็นเหงื่อที่ไหลทั่วหัวของเขา ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มแซวทันทีว่า
“เสี่ยวป๋าย คุณพักสักหน่อยก่อนไหม เดี๋ยวฉันไปหยิบอะไรเย็นๆ มาให้”
“ดีเลยครับ!” จ่านป๋ายพยักหน้ายิ้มตอบรับ
ซีเหมินจินเหลียนวิ่งออกมาจากห้องใต้ดิน เธอมุ่งไปยังห้องครัวเปิดตู้เย็นแล้วหยิบไอศกรีมออกมา วันแบบนี้ถึงแม้จะเข้าหน้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่อุณหภูมิก็ยังไม่ลดลงสักที ปกติถ้าไม่ขยับตัวไปไหนก็ยังพอทนได้ แต่พอขยับเท่านั้นก็ร้อนเสียเหลือเกิน
“คุณ…จินเหลียน” เสียงของจ่านป๋ายร้องตะโกนออกมาจากห้องใต้ดิน
ซีเหมินจินเหลียนอึ้งไปเล็กน้อย พร้อมหยิบโค้กสองขวดกับไอศกรีมรีบวิ่งไปยังห้องใต้ดิน เธอเห็นจ่านป๋ายแสดงสีหน้าร้องเรียกด้วยความตกใจ “จินเหลียน คุณมาดูนี่สิครับ เริ่มเห็นสีเขียวแล้ว!”
ถึงแม้ว่าซีเหมินจินเหลียนจะมั่นใจว่าหินชิ้นนี้เป็นหินหยกแน่ๆ ไม่ว่ายังไงก็ต้องเผยให้เห็นสีเขียวอย่างแน่นอน แต่ฟังจ่านป๋ายพูดแบบนั้น เธอก็เผยยิ้มอย่างสดใสเดินเข้าไปหาเขาทันที
เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ
จ่านป๋ายเริ่มเจียระไนให้เห็นเนื้อสีขาวอีกครั้ง ข้างในมีสีเขียวเปล่งประกายออกมาให้เห็น แต่ทว่าสีเขียวที่เห็นนั้นเป็นเพียงแค่เงาที่สะท้อนแสงไปที่เนื้อสีขาว ยังไม่เห็นเนื้อของหยกอย่างแท้จริง เขาราดน้ำสะอาดชุบลงไปที่ผิวของหิน เพื่อให้เงาของสีเขียวที่ส่องแสงออกมาเห็นได้อย่างชัดเจนขึ้น
“สีเขียวโผล่มาอย่างที่คิดไว้จริงๆ เสี่ยวป๋าย ฝีมือคุณนี่ไม่เบาเลยนะ!” ซีเหมินจินเหลียนลากเก้าอี้มาข้างๆ พร้อมเรียกให้จ่านป๋ายมานั่งกินไอศกรีมด้วยกัน ยิ้มแล้วพูดว่า “มากินอะไรเย็นๆ กันก่อน แล้วพวกเราค่อยไปเจียระไนกันต่อ”
“ผมไม่กินไอศกรีมครับ” จ่านป๋ายเปิดขวดโคล่า ก่อนจะเงยหน้าขึ้นดื่มอย่างเต็มอึก
“ถ้าคุณไม่กินแล้วซื้อมาทำไมตั้งเยอะแยะ?” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างประหลาดใจ ในตู้เย็นมีไอศกรีมมากมาย ส่วนมากก็เป็นของฮาเก้นดาส ไอศกรีมที่จัดอยู่ในชนิดที่แพงที่สุด แถมรสชาติก็อร่อยซะด้วย
“ซื้อให้คุณกินไง” จ่านป๋ายยิ้มแล้วพูดว่า “ก็คุณชอบกินไม่ใช่เหรอ?”
ซีเหมินจินเหลียนยิ้มเขินๆ บางครั้งเธอก็ทำตัวเหมือนกับเด็ก ชอบกินไอศกรีม ผลไม้ ขนมกรุบกรอบต่างๆ นานา
ส่วนจ่านป๋ายก็สังเกตทุกอย่างที่เกี่ยวกับเธอ แน่นอนว่าอะไรที่เธอชอบ เขาก็เข้าใจเป็นอย่างดี
“คุณทำให้ฉันเสียคนหมดแล้วนะ!” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มบางๆ
“ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยครับ ผมจะทำให้คุณอย่างนี้ตลอดชีวิตเลย” จ่านป๋ายยิ้มอย่างมีความสุข นี่คือคำให้สัญญาของเขาตลอดชีวิต
ซีเหมินจินเหลียนนิ่งไปชั่วขณะ เธอรู้สึกไม่เข้าใจอยู่บ้าง ถ้าหากมีผู้ชายสักคนมาคอยดูแลเธอแบบนี้ตลอดชีวิต เธอก็ไม่ต้องการอะไรอีกทั้งนั้น? แต่ทว่า…เขากลับทำร้าย…
จ่านป๋ายสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ จึงถามเธอว่า “จินเหลียน คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”
“มะ…ไม่มีอะไร!” ซีเหมินจินเหลียนรีบปรับสีหน้าพร้อมส่ายหัวเป็นพัลวัน เธอได้แต่คิดว่า ให้ตายเถอะ นี่เธอคิดไปถึงไหนกันเนี่ย รู้สึกเหมือนใบหน้าถูกไฟแผดเผาร้อนรุ่มไปหมด เธอก้มหน้าก้มตาทำเป็นกินไอศกรีมปิดบังต่อไป
จ่านป๋ายเห็นท่าทีแบบนั้นแล้วแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาดื่มน้ำอีกรอบพร้อมมองไปที่หินหยกก้อนนั้น “จินเหลียน ถ้าอย่างนั้นเราไปเจียระไนหินต่อเลยไหมครับ”
“ค่ะ คุณไปเจียระไนต่อเลย ดูว่าเนื้อข้างในเป็นยังไง ตอนนี้ยังเป็นสีขาวอยู่ สีขาวยังขายไม่ได้” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มตอบกลับอย่างอ่อนโยน
“โอเค!” จ่านป๋ายพยักหน้าตอบรับ สายตาเหลือบไปเห็นพื้นที่เต็มไปด้วยเศษหิน เขาเลยถามว่า “จินเหลียน แล้วเศษหินพวกนี้ล่ะครับจะจัดการกับมันยังไง”
“มันเอาไปขายได้ค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนไม่เคยที่จะลืมร้านเถ้าแก่โจว ร้านรับซื้อเศษหิน เธอเคยถามหลินเสวียนหลาน เขาบอกว่าเศษหินพวกนี้ถึงแม้ว่าจะมาจากผิวเผินๆ ของหินหยก แต่โดยทั่วไปแล้วขอแค่มีเศษหยกเล็กๆ ติดอยู่ ซึ่งสาเหตุอาจจะมาจากตอนตัดหินไม่ระวังไปโดนหยกเข้า ก็สามารถทำเป็นเครื่องประดับเกรดซีได้ แม้ว่าราคาจะเทียบกันไม่ได้ แต่ว่าก็สามารถนำไปขายออกได้เหมือนกัน
“สิ่งนี้น่ะเหรอครับที่ขายได้” จ่านป๋ายถามอย่างสงสัย
“ใช่แล้วล่ะ สิ่งนี้นี่แหละ สามารถทำเครื่องประดับราคาประหยัด ขายตามตลาดกลางคืนเยอะแยะทีเดียว มีตั้งแต่ราคาสิบกว่าหยวนถึงหลักร้อยเชียวนะ” ซีเหมินจินเหลียนตอบคำถามของเขา
“ผมก็กำลังคิดว่าพรุ่งนี้จะช่วยคุณเอามันไปทิ้งเสียอีก” จ่านป๋ายได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้ายิ้ม
“ไม่ต้องๆ รอให้เปลือกหินหยกพวกนี้เปิดออกให้หมดแล้วค่อยเรียกเถ้าแก่โจวมารับไปก็ได้แล้วค่ะ คุณอย่าเพิ่งดูถูกของพวกนี้เชียวนะ ถ้าขายได้ทั้งหมด ราคาอาจจะถึงหลายหมื่นเลยทีเดียว” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มและพูดว่า “นี่ก็เป็นเศษหยกนะ ไม่ใช่หิน”
“ครับ!” จ่านป๋ายทำหน้าที่ของเขาต่อ แต่ก็ยังมีคำถามคาใจที่อยากจะถามต่อ “จินเหลียน คุณรู้ไหมว่าหยกชิ้นนี้มีรูปร่างยังไง” เขาสงสัยว่าหินที่อยู่ใต้ดินพวกนี้ จะผ่านสภาพแวดล้อมอะไรมาบ้างถึงกลายสภาพมาเป็นหินหยกแบบนี้
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหัวพูด “เสี่ยวป๋าย คุณชอบเครื่องประดับแบบไหน สีอะไรเหรอ ฉันว่าจะทำแหวนหยกหรือไม่ก็กำไลหยกให้คุณ” แม้ว่าเสี่ยวป๋ายเป็นบอดี้การ์ดของเธอ แต่เขาไม่เคยรับเงินเดือนแม้แต่หยวนเดียว แถมช่วงนี้เขายังมาช่วยเธออยู่ตลอด
แม้ว่าจ่านป๋ายเป็นคนมีฐานะ เขาคงไม่สนใจเงินเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ แต่ภายในใจของซีเหมินจินเหลียนก็ยังคงไม่สบายใจ ถ้าหากให้เงินเขา เขาก็เอาแต่ปฏิเสธท่าเดียว แต่หากทำของดีๆ จากหยกสักชิ้นมอบให้เขา นี่ก็น่าจะไม่เป็นอะไร
“ผมจะเอาไปทำอะไรล่ะครับ” จ่านป๋ายส่ายหัว
“เก็บสะสมไงคะ คุณไม่คิดว่าหยกพวกนี้สวยเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มตอบกลับ
“มันก็สวยอยู่หรอกครับ” จ่านป๋ายยิ้ม “แต่ว่าผมชอบสีแดง สีแดงสด ไม่เหมือนสีแดงลายทองคำแบบของคุณ”
“ถึงคุณอยากได้สีแดงลายทองคำ ฉันก็ตัดใจให้คุณไม่ลงหรอกค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม หยกพวกนี้ บางครั้งก็ต้องดูความชอบของแต่ละคนด้วย บางคนชอบดูจากสี บางคนชอบดูจากชนิด แต่เมื่อดูจากคนชอบเลือกอย่างจ่านป๋ายแล้ว ก็พบเจอยากเหมือนกัน “ครั้งนี้พวกเราซื้อหินหยกกลับมาเยอะแบบนี้ ถ้ามีสีแดงสด ฉันจะทำเครื่องประดับติดตัวให้คุณ ดีไหม”
“ดีครับ!” จ่านป๋ายตอบรับด้วยความดีใจ ภายในมือของเขามีเสียงของเครื่องเจียระไนดังกึกก้องอยู่ เขากำลังเอาเปลือกหินออกทีละชั้นๆ
“จินเหลียน…หยกนี้…” จ่านป๋ายส่งเสียงตกใจขึ้นมา
“มีอะไรอย่างนั้นหรอ” ซีเหมินจินเหลียนเข้าไปดู เห็นจ่านป๋ายเอาน้ำราดเข้าไปที่เนื้อของหิน สีเขียวอ่อนๆ ของหยกก็ส่องแสงเปล่งประกายออกมา เงาข้างในสะท้อนถึงความสง่างามแถมยังมีแสงสีเงินสาดส่อง
“สวยจังเลย!” ซีเหมินจินเหลียนชื่นชมถึงความงามของหยก ถึงแม้จะยังเจียระไนออกมาไม่หมด แต่ข้างในก็มีแสงส่องเปล่งประกายเสียแล้ว
“เหมือนแสงของดวงดาว…” จ่านป๋ายเอ่ยชม “ไม่อยากจะเชื่อเลย ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าหยกจะสามารถส่องแสงได้?”
“พวกเรามาเจียรออกให้หมดเถอะ!” ซีเหมินจินเหลียนว่า
“โอเค!” จ่านป๋ายพยักหน้า เขายุ่งกับการเจียระไนต่อไป การที่โผล่ให้เห็นเนื้อหยกออกมาแบบนี้ เขาแทบที่จะไม่กล้าสัมผัสและระวังเป็นอย่างมาก ถ้าหากเกิดไม่ระวังขึ้นมา อาจจะทำให้เสียมูลค่าไปหลายล้านก็เป็นได้ ทั้งหมดนี่ก็เป็นเงินทั้งนั้น!
ใช้เวลาเกือบครึ่งวันเต็มๆ ถึงจะเจียระไนเปลือกหินหยกออกทั้งหมด ตอนแรกที่ซีเหมินจินเหลียนเห็นแบบนั้น ข้างในมีหยกไม่เยอะ พื้นที่ส่วนใหญ่คือสีขาว แต่หยกที่เจียระไนออกมาในตอนนี้กลับทำให้จ่านป๋ายและซีเหมินจินเหลียนรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
หยกข้างในที่เจียระไนออกมาไม่มีรูปร่างที่เฉพาะตัว ข้างบนเล็กข้างล่างใหญ่ ราวกับแก้วสีเขียวสดที่ใสบริสุทธิ์ ความจริงแล้วซีเหมินจินเหลียนรู้สึกว่าสีเขียวนี้อาจจะไม่ใช่สีเขียวสด เมื่อเทียบแล้วอาจจะอ่อนกว่าหน่อย แต่ว่าตรงกลางของหยกชิ้นนี้มีเหมือนแสงของดวงดาวสอดแทรกส่องแสงเปล่งประกรายระยิบระยับ นี่อาจเกิดเป็นจุดต้นกำเนิดแสงสะท้อนของสีเขียวก็เป็นได้…
“จินเหลียน ข้างในนี้คืออะไรหรือครับ” จ่านป๋ายมาจากข้างๆ ในมือของเขาถือไฟฉาย เขาพยายามที่จะดูว่าคืออะไร อยากจะรู้ว่าข้างในที่มีแสงสว่างมันคืออะไรกันแน่?
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า “ในเมื่อมีหยกสีแดงทองอยู่ หรือว่าจะเป็นเงิน?”
“ผมดูแล้วไม่น่าจะใช่เงินนะครับ เงินไม่น่าจะส่องแสงได้” จ่านป๋ายส่ายหน้า “คุณดูนี่สิ นี่ก็เหมือนกับดวงดาวที่ถูกประดับตกแต่งขึ้นมา หรือว่าจะเป็นต้นกำเนิดของแสงสีเขียว ถ้าเป็นอย่างนั้นทำเป็นกำไลข้อมือ ความรู้สึกคงเหมือนกำลังถือดาวไว้ในมืออยู่
“อย่างนี้ฉันก็มีดาวอยู่ในมือแล้วสิคะ?” ซีเหมินจินเหลียนถือหยกชิ้นนั้น เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ใบหน้ามีแต่ความสดใส ตอนนี้คิดแต่ว่าสิ่งนี้คืออะไร ขอแค่สวยก็เพียงพอแล้ว แม้ว่าจะไม่มีคนซื้อ แต่ความรู้สึกที่เหมือนถือดาวไว้ในมือก็เป็นความรู้สึกที่ดีไปอีกแบบ…
จ่านป๋ายมองดูแสงของหยกชิ้นนั้นที่สะท้อนผ่านมายังหน้าของซีเหมินจินเหลียน ในใจก็รู้สึกดีใจ แต่เมื่อเห็นหยกที่มีคุณค่าสวยงามเช่นนี้ เขาก็เหมือนราวกับได้พรชั้นดี บางคนทำงานมาทั้งชีวิต อาจจะไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ด้วยซ้ำ
อืม ไม่ใช่สิ อาจจะไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยก็ได้ หยกอะไรจะส่องแสงได้? ถึงจะเป็นเพชร แต่ก็ต้องผ่านการเจียระไนออกมา ผ่านการสะท้อนของเส้นแสงถึงจะส่องแสงเจิดจรัส แต่หยกชิ้นนี้ แม้จะอยู่ในที่มืดมิด แต่มันก็ยังเปล่งประกายได้ด้วยตัวของมันเอง