ฉินเฮ่ายิ้มฝืน “สำเนาเอกสารฉบับนี้คงจะชัดเจนไม่พอ แต่ถ้าเป็นต้นฉบับน่าจะพอมองออกว่าเครื่องแกะสลักหยกสีเหลืองขนาดเล็กใหญ่ต่างมีลวดลายดอกบัวเหมือนบนมือของคุณ”
ซีเหมินจินเหลียนรีบพูด “มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร อวิ๋นอวิ้นน่าจะมีความสัมพันธ์กับคุณย่าของฉัน ตอนนั้นฉันก็เห็นรูปภาพแบบนี้จากทางคุณย่าเหมือนกัน จากนั้นจึงให้อาจารย์สักลายช่วยสักให้ตามแบบ เป็นอย่างไรคะ สวยใช่ไหมล่ะ?” ซีเหมินจินเหลียนพูดพลางยกมือขึ้นมา
“สวยมาก!” สวี่อี้หรานหมอมองโกลคนนั้นพูดขึ้นอย่างจริงจัง แต่แววตาส่อไปทางเจ้าเล่ห์ ทำเอาซีเหมินจินเหลียนที่กำลังมองอยู่รู้สึกหวาดผวา จนมีอาการชั่ววูบอยากจะหาเรื่องเขาเข้าให้
แม้ว่าปากของเธอจะพูดออกไปอย่างนั้น แต่ในใจกลับว้าวุ่นจนแทบคลั่ง แจกันใบนั้นคืออะไรกันแน่? ทำไมตอนที่แจกันใบนั้นหายไป ตัวเธอถึงได้มีความสามารถในการมองทะลุผ่าน? และทำไมตระกูลอวิ๋นถึงมีรูปภาพเก่าแก่ใบนี้เหมือนกัน เครื่องหยกแกะสลักนี่คืออะไร?
“สถานการณ์ของตระกูลอวิ๋นตอนนี้ก็คือ…ตระกูลอวิ๋นไม่มีเงินไปบุกเบิกเหมืองหยกที่พวกเขาค้นพบ” ฉินเฮ่าส่งเอกสารอีกฉบับไปให้ แต่ข้อมูลแน่นปึกขนาดนี้ก็เล่นเอาซีเหมินจินเหลียนดูแล้วมึนหัวตาลาย
สวี่อี้หรานรับมาดูพร้อมยิ้มขึ้น “คุณก็ใช้ได้เลยนี่ แม้แต่รายการเดินบัญชีของตระกูลอวิ๋นยังตกมาถึงมือคุณได้?”
ฉินเฮ่าทำได้แค่ยิ้มและมองไปทางซีเหมินจินเหลียน แต่ไม่ได้คิดจะพูดอะไร สวี่อี้หรานมองไปที่รายการเดินบัญชีพวกนั้นอยู่นานถึงเริ่มปริปากพูดขึ้นว่า “เงินไม่ใช่ปัจจัยหลัก สิ่งที่สำคัญก็คือด่านศุลกากรของทางนั้น จะติดต่อฝ่ายลาวแต่ละที่ได้อย่างไร สถานที่นั่นไร้ซึ่งระเบียบมาก!”
“คิดไม่ถึงว่าคุณจะรู้เรื่องพวกนี้ด้วย?” ซีเหมินจินเหลียนถามขึ้นอย่างแปลกใจ “ไม่ใช่ว่าคุณรู้แค่เรื่องจับชีพจรคนหรอกเหรอ?”
“ผมเคยไปที่นั่นมาก่อนต่างหาก” สวี่อี้หรานบ่นพึมพำประโยคที่ไม่มีใครฟังรู้เรื่อง ซีเหมินจินเหลียนเดาว่านี่น่าจะเป็นภาษาถิ่นของที่ไหนสักแห่ง
“อย่าใช้คำพูดด่าคนที่พวกเราฟังไม่รู้เรื่องสิ!”
“ผมไม่ได้ว่าใครสักหน่อย!” สวี่อี้หรานตีหน้าพูดจริงจัง “เรื่องอื่นผมไม่รู้ แต่ผมเคยไปที่นั่นมาสองครั้ง มัน…แม่งแย่มาก!”
สามารถให้สวี่อี้หรานพูดประโยคแบบนี้ออกมาได้ จู่ๆ ซีเหมินจินเหลียนก็มีความรู้สึกอยากจะหัวเราะออกมาให้ดัง
“เพราะอย่างนี้ตระกูลอวิ๋นเลยไร้ซึ่งหนทาง ส่วนชายชราตระกูลหลินเดินทางไปแล้ว!” ฉินเฮ่าพูดอธิบาย
“เขาไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร?” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างแปลกใจ
ฉินเฮ่านิ่งงันอยู่นานถึงพูดขึ้น “ตอนนั้นหลินเสวียเหวินไม่ใช่คนดีอะไร ดูจากภายนอกแล้วเขาน่าจะไปหาคนรู้จักทางลาว แต่การที่ไปตอนนี้น่าจะคงเตรียมตัวเรื่องสานความสัมพันธ์ ภายใต้ผลประโยชน์กองโต แน่นอนต้องกลุ้มใจที่หาคนร่วมมือไม่ได้”
“ก็ใช่” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า เพียงแต่ฉินเฮ่าบอกเรื่องนี้กับเธอทำไมกัน เธอไม่ได้อยากได้เหมืองแร่ที่พวกเขาอยากจะครอบครองสักหน่อย อีกทั้งถึงเธอจะอยากได้มันก็ไม่มีทางเป็นไปได้
“ตามที่ผู้เชี่ยวชาญสำรวจ เหมืองหยกนี่น่าจะกว้างใหญ่พอสมควรเหมือนกัน ตระกูลอวิ๋นไม่มีทางครอบครองได้ทั้งหมด” ฉินเฮ่าพูดอีกครั้ง ก่อนชี้ไปยังสถานที่ที่เขาเคยไปในแผนที่ พร้อมใช้ปากกาลูกลื่นวงเข้าไป “พวกเขาต่างลงทุนลงแรงอยู่ที่นี่ ความหมายของผมก็คือ…พวกเราสามารถลองคิดที่จะเริ่มลงมือจากสถานที่อื่นก่อน”
“สถานที่อื่นก็มีเหมืองหยกเหรอ?” สวี่อี้หรานถาม
“ที่นี่ก็มี แต่เท่าที่สำรวจดูเห็นว่าไม่เพียงพอที่จะได้มาตรฐานบุกเบิก” ฉินเฮ่าพูดพร้อมใช้ปากกาลูกลื่นวาดวงกลมไปรอบสถานที่แห่งนั้น
“หยกมีฉายาว่าเครื่องมือทั้งหมดต่างไม่สามารถมองทะลุได้ ทำไมถึงสำรวจได้ล่ะ?” ซีเหมินจินเหลียนถามปัญหาที่ค้างคาในใจ ถ้าหากมีเครื่องมือที่สามารถสำรวจว่าในหินมีหยกหรือไม่ ธุรกิจการเดิมพันหินสายนี้คงต้องยุบกิจการลงโดยง่าย รัฐบาลพม่าคงต้องเกิดตลาดผูกขาด ไม่จำเป็นต้องขายหินหยกมาให้ประเทศจีนหรือที่อื่นๆ แล้ว ขอแค่นำหินหยกที่ถูกขุดค้นพบได้ผ่าไปขาย นี่ต่างหากถึงเรียกว่าประตูมืดอย่างแท้จริง
“จะพูดยังไงดีล่ะ?” ฉินเฮ่าคิดไตร่ตรองอยู่นานถึงเรียบเรียงคำพูดออกมา “ไม่มีเครื่องมือที่ไหนสามารถทะลุผ่านผิวของหินหยกได้จริง แต่เครื่องสำรวจตรวจวัดสามารถวิเคราะห์สภาพผิวของหินและแสดงข้อมูลบางอย่างได้ จากนั้นชี้ขาดว่าสถานที่ไหนน่าจะมีการดำรงอยู่ของหยก พูดตามตรงการใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์วิเคราะห์แบบนี้เหมือนจะไม่ได้แม่นยำอะไร ดังนั้นประเทศพม่าจึงมีการเดิมพันเหมืองเกิดขึ้น”
ซีเหมินจินเหลียนเคยได้ยินมาก่อนว่าทางพม่ามีการพูดถึงเรื่องเดิมพันเหมือง นั่นก็คือการทำสัญลักษณ์เครื่องหมายวงกลมบนเขตพื้นที่สักแห่งและจ่ายเงินจำนวนหนึ่งตามที่ตกลงไว้ก็สามารถมีสิทธิในการขุดเหมืองได้ตามจำนวนวันที่กำหนด ภายในช่วงเวลาตามที่ตกลงไว้ ถ้าหากสามารถขุดหินหยกได้มากเท่าไหร่ทั้งหมดนั้นก็จะตกไปเป็นของตัวเอง โดยที่รัฐบาลพม่าไม่สามารถมาขัดขวางหรือแทรกแซงได้…ขอแค่เสียภาษีก็สามารถนำหินหยกพวกนั้นขนออกไปได้
“ถ้าหากไม่เพียงพอที่จะได้มาตรฐานบุกเบิก พวกเราก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องลงทุนเข้าไป” สวี่อี้หรานพูดจริงจัง “ค่าใช้จ่ายในการผ่านด่านศุลกากรแต่ละที่กับเงินลงทุนในช่วงแรกมันมากเกินไป!”
อวิ๋นอวิ้นใส่ใจกับเหมืองหยกนี้มาก เพราะเธอมั่นใจ เธอบอกว่า…” ฉินเฮ่าพูดได้เท่านี้ก็เงียบปากลง
“บอกว่าอะไรคะ?” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“เรื่องนี้ดูจะแปลกประหลาดไปหน่อย ผมไม่รู้ว่าพวกคุณจะเชื่อกันหรือเปล่า” ฉินเฮ่าขมวดคิ้วพูดขึ้น
ซีเหมินจินเหลียนมองไปที่สวี่อี้หราน พอดีกับที่เขาก็มองมาทางเธอเช่นกัน สุดท้ายก็เป็นสวี่อี้หรานที่เอ่ยปากถามขึ้นมา “ตำนานหินปิดฟ้าของเทพธิดา?”
“ที่แท้พวกคุณก็รู้เรื่องนี่เหรอ?” ฉินเฮ่ายิ้มขมขื่น
“พวกเราก็รู้เรื่องพวกนี้” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มพร้อมส่ายศีรษะพูด “ฉันรู้เรื่องนี้มาจากนักเดิมพันหินผู้อาวุโส แถมเหมือนว่าเขากับตระกูลอวิ๋นจะมีอะไรสักอย่าง”
“ถ้าอย่างนั้นก็อธิบายได้แล้ว” ฉินเฮ่าพยักหน้าพูด “แม้ว่าผมจะไม่ค่อยเชื่อเรื่องไร้สาระพวกนี้ แต่อารยะธรรมโบราณในช่วงนั้นก็ช่างเย้ายวนใจคนเหลือเกิน ดังนั้น…ผมจึงอยากร่วมมือกับพวกคุณ” ความตั้งใจตั้งแต่แรกของเขาก็คือร่วมมือกับซีเหมินจินเหลียน แต่ไม่คิดว่ารอบกายซีเหมินจินเหลียนจะมี สวี่อี้หรานตามมา และเขาก็ดูอออกว่าซีเหมินจินเหลียนไม่ได้ระมัดระวังป้องกันตัวเองจากสวี่อี้หรานเลย ในเมื่อเป็นอย่างนั้นเขาจึงพูดออกไปตามที่อยากจะพูด
แววตาของสวี่อี้หรานมองไปที่แผนที่อีกครั้งถึงพูดขึ้น “ผมจะลองไปดูสถานที่จริง แล้วไปติดต่อกับเพื่อนทางนั้นสักหน่อย เพื่อยืนยันว่าสามารถผ่านด่านศุลกากรได้ พร้อมเจรจาเงื่อนไขความร่วมมือต่างๆ คุณฉิน คุณสามารถตัดสินใจในตระกูลฉินได้ไหม? ถ้าผมจำไม่ผิด คุณไม่ใช่คุณชายใหญ่ตระกูลฉิน!”
ซีเหมินจินเหลียนเพิ่งค้นพบว่า สวี่อี้หรานในเวลานี้กลายเป็นมาดคุณชายมาจากตระกูลสูงส่งคนหนึ่งแล้ว คำพูดที่ออกมาถ่ายทอดถึงความเป็นตัวของตัวเอง โดยไม่ต้องประดิษฐ์หรือแสร้งทำ ไม่เหมือนกับหมอมองโกลในเวลาปกติ ราวกับเป็นคนละคน
“จนถึงตอนนี้ ผมยังไม่รู้เลยว่าคุณคือใคร มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะร่วมมือกับพวกเราได้ไหม” ฉินเฮ่าขมวดคิ้ว “ผมไม่ได้ทำเพื่อตระกูลฉิน ผมทำเพื่อตัวเอง!”
“อ้อ ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง!” สวี่อี้หรานพยักหน้าพูด “ผมแซ่สวี่ ตระกูลสวี่จากตกไห่!”
ฉินเฮ่ามองไปทางซีเหมินจินเหลียนอย่างรู้สึกแปลกใจ ตระกูลสวี่จากตงไห่? ตระกูลที่เพี้ยนๆ นั่นน่ะหรือ?
“คุณพ่อเคยบอกว่า เงินทองไม่สามารถวัดได้กับทุกอย่าง แต่ในเวลานี้เงินก็ยังเป็นสิ่งสำคัญอยู่ดี!” สวี่อี้หรานพูดขึ้นอย่างจริงจัง
“ก็จริงของคุณ!” ฉินเฮ่าพยักหน้า
“ขอบคุณสำหรับข้อมูลทั้งหมดนะครับ!” สวี่อี้หรานหันไปพูดกับซีเหมินจินเหลียน “คุณซีเหมิน หรือไม่อย่างนั้นผมจะลองไปที่พม่าและลาวดู ถ้าหากเป็นอย่างที่ว่าจริง เรื่องเงินทุนไม่ใช่ปัญหา ส่วนหินหยกที่ขุดออกมาผมก็ไม่ได้สนใจอะไร”
“ฟังจากที่คุณสวี่พูดแล้ว ดูเหมือนว่าคุณกำลังจะเขี่ยผมออกไปเลยนะ?” ฉินเฮ่าขมวดหัวคิ้ว
“ผมว่าคุณน่าจะไม่เหมาะที่จะออกหน้าร่วมมือกับพวกเราหรอก?” สวี่อี้หรานพูดจริงจัง “ไม่ใช่ว่าคุณหมั้นกับอวิ๋นเจียแล้วเหรอ แล้วคุณยังจะอยากเหยียบเรือสองแคมอีกเหรอไง?”
ประโยคสุดท้ายมีความนัยสองอย่าง แต่ฉินเฮ่าไม่ได้ใส่ใจ กลับสวี่อี้หรานพูดจริงจังขึ้นอีกครั้ง “ส่วนค่าใช้จ่ายเรื่องข้อมูลพวกนี้ รวมถึงข้อมูลในอนาคตที่คุณจะมอบให้ พวกเราจะเป็นคนมอบให้เอง คุณเสนอราคามาก็พอ!”
ในใจของฉินเฮ่ารู้สึกโกรธ เขาคิดว่าเขาเป็นใครกัน? เรื่องของเขากับอวิ๋นเจียมันก็เรื่องหนึ่ง แต่เรื่องที่เขาจะร่วมมือกับซีเหมินจินเหลียนนั้นมันก็อีกเรื่อง
“คุณก็ตัดสินใจแทนคุณซีเหมินได้ด้วยเหรอ?” ฉินเฮ่าแค่นเสียงใส่ “ข้อมูลพวกนี้ผมไม่เอาเงินหรอก ส่วนเรื่องเงินบุกเบิกไม่ต้องถึงมือตระกูลสวี่ของพวกคุณ พวกเราก็สามารถหามาได้ คุณอย่ามาใช้โอกาสที่ไฟกำลังครุกร่อนมาแย่งซีนกันแบบนี้!”
ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม “พี่ฉินคะ ข้อมูลพวกนี้ฉันขอดูหน่อยแล้วกันนะคะ ส่วนเรื่องเงินทุนค่าบุกเบิก ไม่ใช่เรื่องที่พูดแล้วจะต้องทำโดยทันที สู้ให้ฉันกลับไปที่เซี่ยงไฮ้ก่อนแล้วเราค่อยมาเจรจากันอีกรอบเป็นอย่างไรคะ?”
ฉินเฮ่าคิดดูแล้วคำพูดของเธอดูสมเหตุสมผล ตอนนี้ยังมีสวี่อี้หรานอยู่ทำให้เจรจาอะไรกันไม่สะดวก ฟังจากน้ำเสียงของเขาแล้ว ถ้าหากจะลงทุนค่าบุกเบิก เขาคงจะลงทุนคนเดียว ถ้าเป็นอย่างนี้เท่ากับว่าเขาเหนื่อยฟรีๆ สิ
มนุษย์บนโลก หาเงินยังเป็นสิ่งสำคัญ แต่ของที่ดูเหมือนไม่มีจริงนั้น บางครั้งกลับสำคัญกว่า…เช่นอารยะธรรมที่เคยขาดหายไปในช่วงนั้น มนุษย์ตอนนั้นเป็นอย่างไรกันแน่? ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ มนุษย์ในตอนนั้นยังไม่เคยวิวัฒนาการมาก่อน แม้แต่จุดไฟหุงหาอาหารยังลำบาก แต่ทำไมอีกด้านถึงพิสูจน์ว่ามีคนบางส่วนมีอารยะธรรมสูงขึ้น จนกระทั่งอาจจะก้าวไกลเกินกว่าคนในสมัยนี้?
“ก็ดีเหมือนกันครับ” ฉินเฮ่าพยักหน้าตอบตกลง
ซีเหมินจินเหลียนดื่มกาแฟไปอึกหนึ่ง เพียงแต่กาแฟเสิร์ฟมานานแล้วจึงเย็นชืดเสียหมด ความหวานที่มีอยู่น้อยนิดข้างในกลับถูกความขมเข้ามาแทนที่…ราวกับชีวิตของเธอเหลือเกิน
ตอนที่บอกลากับฉินเฮ่าก็เป็นเวลาประมาณสองทุ่มแล้ว เธอโทรศัพท์ไปหาจ่านป๋ายบอกว่ามีเรื่องนิดหน่อยทำให้ต้องล่าช้า เธอน่าจะถึงหยางโจวตอนประมาณสี่ทุ่ม
เมื่อวางสายโทรศัพท์ ซีเหมินจินเหลียนก็เริ่มเก็บกระเป๋า ใครจะสามารถพักที่ซุ่ยหยวนได้ตลอดกัน เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู ทั้งๆ ที่มีกระดิ่งหน้าประตูแต่ยังเคาะแบบนี้ ดูก็รู้ว่าเป็นสวี่อี้หราน
“เข้ามาเถอะ ประตูไม่ได้ล็อค” ซีเหมินจินเหลียนพูด
ประตูถูกผลักออกและเป็นสวี่อี้หรานอย่างที่คิดไว้ มือของเขาโอบเอื้องเขากวางอ่อนช่อใหญ่ส่งมาให้เธอพร้อมพูดว่า “มีดอกไม้ที่พึ่งบานในสวนอยู่พอดี สวยใช่ไหม?”
“สวย ขอบคุณค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนกล่าวขอบคุณ พลางรีบวุ่นวายกับการจัดกระเป๋า
“คุณจะไปแล้วเหรอ?” สวี่อี้หรานถามขึ้นด้วยสีหน้าสลดลง
“เสี่ยวป๋ายจะมาแล้ว อีกอย่างฉันพักอยู่กับคุณมันก็ไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“คุณก็คิดเสียว่าที่นี่เป็นบ้านของคุณเองก็ได้” สวี่อี้หรานพูดจริงจัง “แถมที่นี่ก็กว้างใหญ่พอที่จะให้อีกคนมาพักได้อย่างไม่มีปัญหา…”