เลี่ยวก่วงหยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ จุดไฟ จากนั้นพ่นควันบุหรี่ออกมาอย่างรุนแรง “คุณซีเหมิน ที่ผมนัดคุณออกมาก็เพื่อหวังจะให้คุณช่วยผม แน่นอนว่าบนโลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ ผมก็จะไม่ใช้คำว่าตำรวจมาบีบเค้นคุณหรอก ไอ้คำพูดที่ว่าในความร่วมมือกับตำรวจในการประกอบรูปคดีคือหน้าที่ของประชาชนทุกคนนั่นมันก็เหลวไหลสิ้นดี ผมยังสามารถช่วยเหลือคุณและอำนวยความสะดวกให้กับคุณได้ด้วย…คุณก็รู้ของบางอย่างไม่ใช่แค่เงินที่จะซื้อได้ โดยเฉพาะทางราชการ วงการนี้นอกจากอำนาจและผลประโยชน์ สิ่งอื่นๆ ก็ไม่สามารถปิดบังซ่อนไว้ได้”
“ที่คุณพูดช่างเฉียบคมเหลือเกิน” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มเจื่อน วงวานของข้าราชการ…เธอไม่เข้าใจ แต่ประวัติศาสตร์ดั้งเดิมของจีน ประชาชนไม่ต่อกรกับเจ้าหน้าที่ ดังนั้นเธอจึงคอยหลีกเลี่ยงห่างไกลจากเจ้าหน้าที่ข้าราชการ
“มันเป็นอย่างนี้มาโดยตลอด ผมเพียงแค่พูดความจริงเท่านั้น!” เลี่ยวก่วงออกแรงสูบบุหรี่เข้าไปและพ่นควันออกมา สายตาที่สงบนิ่งอยู่บนรถที่ไร้แสงสว่าง สื่อให้เห็นถึงความเลื่อนลอยไม่สะทกสะท้านใดๆ ราวกับดวงดาวที่อยู่เดี่ยวๆ ในยามค่ำคืน ไม่เหมือนกับผู้บังคับบัญชาเลี่ยวคนที่ถูกงูรัดคอในตอนนั้น เหมือนกับแยกเป็นสองบุคลิกอย่างชัดเจน
“คุณอยากรู้เรื่องอะไร” ซีเหมินจินเหลียนถามขึ้นอีกครั้ง “ฉันเป็นพลเมืองดีเคารพในกฎหมาย”
“คนเราพอมีเงิน จิตใจก็หยาบช้าลง…” เลี่ยวก่วงถอนหายใจออกมา เขี่ยหัวบุหรี่ให้ดับลงและหย่อนทิ้งลงไปนอกรถอย่างไม่สนใจสิ่งแวดล้อม พูดต่อไปว่า “บริษัทหมิงฮุยจิวเวอรี่มีชื่อเลื่องลือมาหลายปี มีตั้งแต่ห้าสิบปีก่อนแล้ว ตระกูลอวิ๋นกุมหุ้นไว้ ครอบครองบริษัทหมิงฮุยจิวเวอรี่ไว้ทั้งหมด จากนั้นหลายปีมานี้ธุรกิจจึงอยู่ภายใต้ความดูแลของตระกูลอวิ๋น ประคับประคองให้บริษัทหมิงฮุยจิวเวอรี่ขึ้นสู่จุดสูงสุดและเป็นรายใหญ่ในเครือธุรกิจเครื่องประดับอัญมณี ไม่ว่าจะเป็นทองหรือว่าหยก…”
ยุคที่เจริญรุ่งเรืองซื้ออัญมณี ยุคที่เศรษฐกิจไม่ดีซื้อทอง ไม่สนว่าจะเป็นยุคไหน พวกคุณ…ก็ยืนอยู่ในช่วงขาขึ้น ปรับเข้ากับสถานการณ์ได้ตลอด”
เลี่ยวก่วงพูดถึงขั้นนี้มองซีเหมินจินเหลียนทางมุมข้าง แต่ซีเหมินจินเหลียนไม่มีท่าทีอะไร ราวกับไม่ได้ยินอย่างไหนอย่างนั้น
“การเดิมพันยิ่งใหญ่ แพ้ชนะก็ยังคงเป็นหุ้นสิบห้าเปอร์เซ็นต์ของบริษัทหมิงฮุยจิวเวอรี่ คุณซีเหมิน คุณน่าจะรู้ว่านี่หมายความว่าอย่างไร?”เลี่ยวก่วงถาม
“หมายความว่าคืนนี้ฉันชนะกอบโกยเงินมาได้มาก” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม “แน่นอน คืนนี้ต้องขอบคุณคุณมาก”
“ถ้าไม่มีผม คุณก็ชนะได้เหมือนกัน” เลี่ยวก่วงพูด “แต่คุณไม่รู้ว่า พรุ่งนี้หุ้นของบริษัทหมิงฮุยจิวเวอรี่น่าจะตกลงแน่ คุณรู้ไหมว่าจะมีกี่คนที่ซื้อขายหุ้นกัน และคงกระทบไปยังธุรกิจในครอบครัว?”
“คุณคงไม่ได้จะมาสอนฉัน ให้ฉันเลิกเดิมพันหรอกใช่ไหม?” ซีเหมินจินเหลียนถามกลับ คนที่ซื้อขายหุ้นพวกนั้น ตอนที่ซื้อหุ้นน่าจะเตรียมใจชดใช้ไว้อยู่แล้ว
“ไม่ คุณอยากจะเดิมพันอย่างไร มันเป็นสิทธิ์ของคุณ ส่วนคนที่ซื้อขายหุ้นพวกนั้นถึงจะเสียเปรียบไป ก็ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับผม แต่สิ่งที่ผมต้องการก็คือ…งานวิจัยสองสามปีมานี้ของตระกูลอวิ๋น!” เลี่ยวก่วงพูด
ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้พูดอะไรออกมา งานวิจัยของตระกูลอวิ๋นในสองสามปีมานี้ แม้ว่าเธอจะไม่เข้าใจ แต่ก็พอจะเดาได้ว่า…งานวิจัยของพวกเขาคงเป็นเรื่องหินหยกมีความสัมพันธ์อย่างไรกับชีวิตอมตะ นี่เป็นหัวข้อที่ดูไร้สาระ แต่ปัญหาก็คือมีคนเชื่อด้วย
ซีเหมินจินเหลียนที่นั่งพิงเบาะรถหลับตาลง ก่อนจะเริ่มคิดทบทวน เลี่ยวก่วงอยากจะรู้งานวิจัยของตระกูลอวิ๋นไปทำไมกัน?
“แม้ว่าวันนี้คุณจะช่วยเหลือฉันไว้ ฉันก็ขอขอบคุณคุณมาก แต่ว่าคุณเลี่ยว…พวกเราร่วมมือกันไม่ได้หรอกค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าพูด
“ทำไม?” เลี่ยวก่วงงงันพูดขึ้น “ร่วมงานกับผม คุณก็ได้ผลประโยคร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีข้อเสียเปรียบ ในความช่วยเหลือของพวกเรา ขอแค่ให้ตระกูลอวิ๋นล้มลง ในประเทศคงไม่มีบริษัทอัญมณีที่ไหนกล้าจะมาแข่งขันกับคุณแล้ว คุณก็จะกลายเป็นรายใหญ่ในธุรกิจนี้…”
“คนที่มีพฤติกรรมโดดเด่นเกินไปมักจะถูกคนรังแกได้ง่าย” ซีเหมินจินเหลียนพูดขึ้นอย่างเยือกเย็น “ถ้าหากฉันร่วมมือกับพวกคุณแล้ว เกรงว่าฉันจะต้องตกเป็นเบี้ยล่างของพวกคุณ ฉันเป็นคนชอบอิสระ ไม่อยากถูกใครบังคับทั้งนั้น”
“คุณซีเหมิน พวกเราสามารถเลือกที่จะร่วมงานกับตระกูลอวิ๋นได้ คุณน่าจะรู้!” เลี่ยวก่วงล้วงกระเป๋าเสื้ออีกครั้ง เดิมทีคิดว่าภายใต้ผลประโยชน์ร่วมกัน มันเป็นเรื่องที่เหมาะสมที่สุด แต่คิดไม่ถึงว่าเธอจะปฏิเสธ? นี่ดูเหมือนไม่ใช่นิสัยของเธอเลย? เธอจัดการเรื่องทุกเรื่องอย่างเหมาะสม ไม่ใช่ว่าตระกูลจ่าน ตระกูลฉิน ตระกูลหลินต่างมาพัวพันอยู่เหรอ?
“คุณเลี่ยว คนจีนมีคำพูดโบราณอยู่หนึ่งประโยค ฉันไม่รู้ว่าคุณเคยได้ยินหรือเปล่า?” ซีเหมินจินเหลียนนวดหว่างคิ้วในขณะที่พูด
“อะไรเหรอ” เลี่ยงก่วงถาม
“ยอมเป็นหยกแหลกลาญ ไม่ขอเป็นกระเบื้องสมบูรณ์[1]!” แววตาของซีเหมินจินเหลียนส่องประกายความเยือกเย็น จนทำให้เลี่ยวก่วงที่มองอยู่ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกใจสั่นระทวย
“คุณซีเหมิน ผมหวังว่าคุณจะคิดไตร่ตรองให้ดีอีกครั้ง ความจริงแล้ว…” เลี่ยวก่วงพูด
“พอเถอะค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนส่ายศีรษะพูด “ฉันไม่อยากสมรู้ร่วมคิดแผนชั่วระหว่างรัฐบาลกับธุรกิจ ช่างเถอะ! ถ้าหากคุณอยากจะร่วมงานกับตระกูลอวิ๋น ตอนนี้ยังไม่สาย แต่แม้ว่าฉันจะไม่ถูกกับตระกูลอวิ๋น ฉันก็สามารถบอกกับคุณได้เลยว่า อวิ๋นอวิ้นไม่มีทางร่วมมือกับคุณแน่นอน”
“คุณรู้ได้อย่างไร?” เลี่ยวก่วงนิ่งอึ้งไป เพราะเขารู้ว่าไม่มีทางที่จะร่วมมือกับตระกูลอวิ๋นได้ ดังนั้นเขาจึงต้องการความช่วยเหลือจากซีเหมินจินเหลียน เพราะว่าเด็กที่ไม่มีเบื้องหลังอะไรมักจะควบคุมได้ง่าย
ซีเหมินจินเหลียนยิ้มและผลักประตูรถเดินออกไป แต่ไม่ได้บอกคำตอบกลับเลี่ยวก่วง…เขาจะเข้าใจได้อย่างไร? อวิ๋นอวิ้นเป็นตำนานเทพที่ไม่เคยพ่ายแพ้ในวงการเดิมพันหิน เป็นความภาคภูมิใจของตระกูลอวิ๋น ภายในของพวกเขามีสายเลือดเหมือนกัน ยอมทุบตีเครื่องหยกแต่คงไม่ทำตามคำขอร้องใดๆ หรอก
“ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของคุณค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มเบาบาง และเดินไปทางรถของ สวี่อี้หราน
“คุณรู้หรือเปล่าว่าตระกูลอวิ๋นกำลังวิจัยเรื่องอะไรอยู่?” เลี่ยวก่วงตะโกนถามขึ้นมาเสียงดังกะทันหัน
“รู้ค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนไม่หันหน้ากลับไป แค่หยุดฝีเท้าลงแล้วพูดว่า “ทำงานตรากตรำมาทั้งชีวิต คงไม่เอาความลำบากนี้คำนับให้คนอื่นหรอก คุณ…รวมถึงหัวหน้าคุณพวกนั้นตัดใจตั้งแต่ตอนนี้เถอะ”
“นั่นเป็นความร่ำรวยที่ทุกคนพึงมี ไม่ควรเห็นแก่ตัวแค่คนเดียว!” เลี่ยวก่วงผลักประตูนั่งอยู่บนรถ
“คำพูดจาไร้สาระแบบนี้ เอาไปหลอกคนอื่นเถอะ” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า
สวี่อี้หรานเปิดประตูให้ซีเหมินจินเหลียนและขับเคลื่อนรถยนต์ด้วยความเร็วที่ไม่สูงนัก เมื่อขับออกจากที่แห่งนี้ถึงพูดว่า “คุณซีเหมิน เขามาคุยอะไรกับคุณเหรอ”
ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า ในใจเงียบงัน คนคนนี้…คิดจะทำอะไรกันแน่? ถึงจะปฏิเสธความร่วมมือกับเขาครั้งนี้ แต่ในใจเธอยังรู้สึกหวาดกลัว ครั้งที่เห็นอวิ๋นอวิ้นครั้งแรก ในใจเธอก็รู้ดีว่า แม้ว่าตัวเองจะกลัวเรื่องต่างๆ อย่างไร แต่ยังไงเรื่องบางเรื่องก็หลบหลีกไม่ได้อยู่แล้ว
ร่วมมือกับคนแบบเลี่ยวก่วงนั้น? กลืนกินตระกูลอวิ๋น ถัดมาก็คงเป็นตาของเธอ เธอไม่ใช่คนโง่นะ!
จู่ๆ สวี่อี้หรานก็ยิ้ม “ทะเลาะระหว่างอำนาจกับเงิน?”
“น่าจะใช่” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจ จู่ๆ ถามขึ้น “หยกสามารถเอามาทำเป็นยาได้จริงๆ เหรอ?”
“พูดยาก ตอนนี้ยาส่วนมากต่างหายสาบสูญไปหมด ยาที่มาแทนก็ไม่ได้มีสรรพคุณเท่ากับอันเก่า ดังนั้นแม้ว่าจะทำยาชะลอความแก่ออกมาได้ เกรงว่าก็แค่ธงที่แขวนไว้หน้าร้าน!” สวี่อี้หรานพูด
“แต่คุณรู้หรือเปล่า คนบนโลกนี้มีกี่คนที่ยอมบ้าคลั่งเพราะเรื่องนี้?” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม “ดูเหมือนพ่อของคุณเคยบอกกับคุณแล้วว่าตระกูลอวิ๋นกำลังวิจัยยาตำรับนี้”
“อืม!” สวี่อี้หรานพยักหน้าพูด “ผมมีตำรับยาสำเร็จรูป แต่…”
พูดถึงเท่านี้ คนที่ปากไวอย่างสวี่อี้หรานก็กลืนคำพูดกลับไป
“ถ้าไม่สะดวกจะพูดก็ช่างมันเถอะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด “ฉันไม่ได้อยากจะรู้เหมือนกัน ฉันเพียงแค่…” เพียงแค่? เพียงแค่อะไร แม้แต่ตัวเธอเองยังพูดไม่ชัด เพียงแค่เพื่อเงิน? ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ตอนนี้เธอจะกลัดกลุ้มใจทำไม?
มีประโยคหนึ่งที่เลี่ยวก่วงพูดไว้ไม่ผิด บนโลกนี้เมื่อมีเงิน จิตใจคนเราก็จะหยาบกระด้างขึ้น มีความโลภมากอยากได้สิ่งที่สูงขึ้น
“กลับกันเถอะ” ซีเหมินจินหลียนมองสวี่อี้หรานที่ขับรถเวียนไปรอบซุ่ยเย่ว์สวี่หยวนก็ยิ้มเฝื่อน “ฉันยังต้องพักที่บ้านคุณสักคืน”
“ดีจังเลย!” สวี่อี้หรานดีใจเสียงหลงรีบเหยียบคันเร่งขับไปที่สวี่หยวน
“ฉันแค่ไปบ้านคุณ คุณจะดีใจอะไรขนาดนั้น?” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“อืม!” สวี่อี้หรานพยักหน้า “ผมก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่เวลาอยู่กับคุณ ผมมีความสุขมาก”
“หมอมองโกล คุณมีแฟนแล้วหรือยัง” จู่ๆ ซีเหมินจินเหลียนก็ถามขึ้น
ผิดคาดกับที่เธอคิด สวี่อี้หรานตรึกตรองอยู่นานถึงพูดขึ้นว่า “มี”
“โอ้ เมื่อไหร่จะแนะนำให้ฉันรู้จักล่ะ?” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“ไม่มีทางหรอก” สวี่อี้หรานส่ายหน้า
“ทำไมล่ะ” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างไม่เข้าใจ
“เธอตายไปแล้ว เธอให้โอกาสผมได้มีชีวิตอยู่ต่อ” สวี่อี้หรานพูด “เธอเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่สุดๆ ไปเลย หน้าฝั่งหนึ่งมีรอยเกล็ดงูปกปิดบนใบหน้า ถ้าหากใครเห็นเธอตอนกลางคืนคงตกใจแน่ๆ เดิมทีผมคิดที่จะรักษาเธอ แต่…เธอคงไม่ต้องการแล้ว”
ไม่ได้รอให้ซีเหมินจินเหลียนพูดอะไร สวี่อี้หรานก็พูดขึ้น “ผมเป็นคนฆ่าเธอด้วยน้ำมือตัวเอง…”
“อะไรนะ?” ซีเหมินจินเหลียนไม่กล้าเชื่อสิ่งที่หูได้ยิน เป็นไปได้อย่างไร? สวี่อี้หรานดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนที่อำมหิตเห็นแก่ตัวนี่นา?
“เธอป่วยเป็นโรคแปลกประหลาด ถ้าหากไม่ฆ่าเธอ เธอก็คงต้องทุกข์ทรมานแน่ ส่วนผมก็ไร้ความสามารถที่จะช่วย ทำได้แค่ฆ่าเธอ” สวี่อี้หรานส่ายศีรษะพูด “สำหรับหมอแล้ว ผมรักษาผู้หญิงที่ตัวเองชอบไว้ไม่ได้…”
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นถึงได้เข้าใจได้ แต่ก็ส่ายหน้าพูดขึ้นว่า “คุณน่าจะพาเธอไปที่โรงพยาบาลใหญ่ๆ ดู” เพราะว่าฝีมือทางการแพทย์ของสวี่อี้หรานต่างผิดทางไปหมด บางทีเธออาจจะคิดไม่ถึง เช่นยาชะลอความแก่นั่น
“ถ้าตอนนั้นผมหาหยกส่องแสงเจอ เธอก็อาจจะยังมีความหวังอยู่บ้าง แต่เวลานั้นผมยังสงสัยอยู่เลยว่าจะมีของบนนั้นอยู่บนโลกได้อย่างไร” สวี่อี้หรานส่ายศีรษะพูด
“น่าเสียดาย” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจ คิดไม่ถึงว่าคนที่ดูใสซื่อบริสุทธิ์อย่างเขา ที่แท้ก็เคยฝ่าฟันเรื่องราวที่น่าเศร้าโศกมาเหมือนกัน ความเป็นความตายหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ
“คุณซีเหมิน ผมอยากจะถามคุณสักหน่อย…” สวี่อี้หรานพูดอย่างจริงจัง
“อืม คุณพูดมาสิ” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“ในเมื่อมีหยกที่ส่องแสงได้ มันก็น่าจะมีหยกที่มีชีวิตอยู่ใช่ไหม?” สวี่อี้หรานถาม
[1] ยอมเป็นหยกแหลกลาญ ไม่ขอเป็นกระเบื้องสมบูรณ์ เป็นสำนวนหมายถึง ยอมตายแต่ไม่ยอมเสียเกียรติ