เมื่อซีเหมินจินเหลียนคิดได้แบบนี้ ทันใดนั้นเธอก็ไปนั่งลงตรงที่ที่สวี่อี้หรานนั่งจดจ่อมองหยกราชางูอยู่สักครู่ เมื่อมองดวงตากลมโตบริสุทธิ์นั่นแล้ว เธอก็อดไม่ได้ที่จะด่าหยกราชางูออกมาว่า “มองอะไร คุณน่าสงสารนักหรือไง คุณไม่รู้สึกบ้างหรือว่าฉันก็น่าสงสารมากกว่า? ฉันจะบอกอะไรคุณให้นะ รอให้ถึงวันที่ฉันพร้อมก่อนเถอะ ฉันจะถือมีดมาผ่าคุณออกเป็นสองท่อนเลย เหอะ!”
พูดจบเธอก็จงใจทำท่าทางผ่าจากบนสู่ล่าง เธอไม่ได้ตาพร่าและไม่ได้เกิดภาพลวงตา เธอรู้สึกว่าดวงตาของงูนั้นเบิกกว้างขึ้นดูเหมือนสะดุ้งตกใจเล็กน้อย
“หึๆ กลัวแล้วใช่ไหม?” ซีเหมินจินเหลียนคิดว่าเธอคงเบื่อหน่ายเข้าขั้นแล้ว ถึงได้อยากรู้ว่างูตัวนี้มีชีวิตอยู่หรือไม่กันแน่ ตั้งแต่เด็กจนโตเธอก็อยู่ที่ชนบท ตำนานมหัศจรรย์ลี้ลับก็ได้ยินมาไม่น้อย พอเติบโตมาก็ค่อยๆ เลือนรางและลืมไป ทฤษฎีความรู้ทางวิทยาศาสตร์เข้ามาแทนที่เรื่องเล่าที่ดูเหมือนไม่มีอยู่จริง แต่ตอนนี้ในใจกลับมีความคิดชั่วร้ายเข้ามาในหัว
“คุณรู้อะไรไหม คุณก็แค่งูตัวหนึ่ง แล้วอยู่ๆ ทำไมคุณถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้?” ซีเหมินจินเหลียนบ่นไปเรื่อย “คุณจะเป็นแบบไหนก็ช่างเถอะ แต่คุณรู้ไหม สิ่งที่ฉันไม่ควรจะยกโทษให้คุณคืออะไร?”
งูในหยกราชางูตัวนั้นส่งสายตาไร้เดียงสามองมาที่เธอ ราวกับจะบอกว่ามันจะมีลักษณะท่าทางแบบก็นี้ไม่ใช่ความผิดของมันสักหน่อย?
“ทำไมบนหัวของคุณต้องมีดอกบัวด้วย?” ซีเหมินจินเหลียนด่าออกมา “อย่ามาคิดอยากจะมาใกล้ชิดสนิทสนมกับฉันนะ ฉันก็ไม่รู้จักคุณสักหน่อย!”
โชคดีว่างูตัวนี้พูดไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเกรงว่ามันคงกระโจนออกมาด่าคนแล้ว มันเป็นสัตว์ในสมัยโบราณ มันก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ใครจะไปเปลี่ยนแปลงได้?
“อย่างไรก็เถอะตอนนี้ก็นับว่าฉันรู้จักคุณแล้ว คุณก็เป็นของฉัน!” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจออกมา สองมือกุมแก้ม รู้สึกว่าตนเองคงเบื่อจนบ้าไปแล้ว ถ้าไม่มีอะไรทำก็ไปเล่นกับนางพญางูขาวก็ยังดีกว่ามาคุยเองเออเองกับหยกราชางูไม่ใช่เหรอไง?
เธอเอื้อมมือไปสัมผัสที่หยกราชางูและหลับตาลง ซีเหมินจินเหลียนเริ่มใช้พลังมองทะลุผ่าน โดยปกติเธอทำแค่มองทะลุผ่านหินหยก ส่วนเรื่องมองทะลุผ่านวัตถุอื่นๆ เธอรู้สึกว่ามันออกจะน่าเบื่อไปหน่อย เพราะว่าส่วนประกอบข้างในของอื่นๆ ไม่ได้สวยงดงามอะไร ดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะไม่ใช้วิธีมองทะลุผ่านอย่างชาญฉลาด
ความร้อนค่อยๆ ไหลซึมเข้าไปด้านในหยกราชางู เนื้อหยกคริสตัลแท้ละเอียดอ่อนและส่งต่อไปถึงกลางใจของเธอ พื้นผิวของหยกก้อนนี้ไม่ดีธรรมดา เรียกได้ว่าน้อยมากที่จะมีเนื้อหยกอื่นสามารถเทียบกับมันได้
ตรงกลางของเนื้อหยกใสบริสุทธิ์ มีงูตัวหนึ่งขดตัวอยู่เงียบๆ ไม่เปลี่ยนท่าไปไหน แต่เมื่อความสามารถในการมองทะลุผ่านของซีเหมินจินเหลียนจะเข้าไปถึงลำตัวงู จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่าความร้อนอ้อมผ่านลำตัวงูและไหลไปทางหยกอีกฝั่งแทน
เก็บมือกลับมา ซีเหมินจินเหลียนลืมตาขึ้นมองไปที่หยกราชางูด้วยความไม่เข้าใจ ในใจสับสนไม่หยุด หรือว่าความสามารถพิเศษของเธอจะไม่สามารถทะลุผ่านสิ่งมีชีวิตได้?
สองมือเท้าคางครุ่นคิดอยู่นานสองนาน จำได้ว่าครั้งแรกตอนที่เห็นหยกราชางู เธอตกใจที่เห็นงูข้างในจนแทบจะเป็นลม แต่ไม่ได้คิดทบทวนถึงเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง รีบเจียระไนออกมารวดเดียวและคอยทะนุถนอมไม่ให้เสียหาย เธอเคยมองทะลุผ่านและยังให้จ่านป๋ายเจียระไนผิวอย่างละเมียดละไม โดยไม่สามารถใช้เครื่องเจียระไนได้
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร สุดท้ายบทสรุปที่เธอได้รับก็คือความสามารถของตนเองไม่เคยทะลุผ่านไปที่ลำตัวของงูได้เลย
มือขวาที่อยู่ข้างลำตัวไปสัมผัสที่เก้าอี้ ส่วนประกอบของไม้ค่อยๆ ปรากฏต่อหน้าสายตาเธอ แม้แต่ในเก้าอี้ข้างในที่มีโพรงมดรูปลวกก็สามารถแบ่งแยกออกได้อย่างชัดเจน เก้าอี้ตัวนี้สมควรที่จะเปลี่ยนได้แล้ว มีปลวกมาอยู่แล้ว
ถัดมาเธอยังไม่วางใจรีบใช้มือขวาสัมผัสไปที่มือซ้ายของเธอ นี่เป็นพฤติกรรมที่อันตรายมาก ใครจะไปรู้ว่าความสามารถในการมองทะลุผ่านจะทำอะไรธาตุภายในร่างกายหรือเปล่า
แต่เธอก็ไม่มีความลังเลที่จะใช้ความสามารถในการมองทะลุผ่านดูเข้าไปข้างใน ความร้อนค่อยๆ แทรกซึม แต่ภาพที่เห็นกลับว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรง ที่แท้ความสามารถของเธอก็มองทะลุผ่านสิ่งมีชีวิตไม่ได้
ไม่ถูกสิ? ตอนแรกเหมือนเธอจะสามารถมองทะลุเข้าไปด้านในร่างของจ่านป๋ายได้? เมื่อคิดดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ใบหน้าของซีเหมินจินเหลียนก็พลันแดงกล่ำเป็นลูกตำลึง ตอนนั้นเธอแค่มองทะลุผ่านเขาทางเสื้อผ้า แต่กลับเห็นร่างกายเปลือยเปล่าไปจนหมดสิ้น และไม่ได้มองทะลุผ่านสิ่งของอื่นๆ
ถ้าหากจะใช้ความสามารถนี้ในการมองทะลุคน คงมองเห็นได้แค่ร่างกายที่เปลือยเปล่า! คิดได้อย่างนี้ใบหน้าของเธอก็แดงระเรื่อขึ้นอีกครั้ง
ไม่มีผลสรุปจากการใช้ความสามารถในการมองทะลุผ่าน ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจออกมา หน้าที่ในการศึกษาหยกราชางูมอบให้หมอมองโกลคนนั้นแล้วกัน น่าแปลก ทำไมวันนี้จ่านป๋ายไม่โทรมาหาเธอเลย?
ซีเหมินจินเหลียนคิดได้เช่นนั้นจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู จากนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้น จ่านป๋ายโทรมาหาเธอแล้ว แถมยังมีคนรับสายด้วย…
เมื่อดูเวลา ไม่ต้องคิดให้มากก็รู้ว่าจะต้องเป็นสวี่อี้หรานหมอมองโกลคนนั้นแน่ เช่นนั้นเธอเลยรีบโทรกลับไปอย่างรวดเร็ว
รอไม่นานปลายสายก็รับโทรศัพท์
“จินเหลียน?” จ่านป๋ายถามหยั่งเชิงขึ้น ในใจมีแต่คำถามมากมาย ตกลงเธออยู่กับใครกันแน่? มีเพียงตอนที่ซีเหมินจินเหลียนอยู่บ้านเท่านั้น ที่เธอจะวางโทรศัพท์ไว้ไม่เป็นที่เป็นทาง ตอนแรกที่เขาเพิ่งเข้ามาอยู่ที่คฤหาสน์จินเหลียน เขาก็เคยช่วยเธอรับสายโทรศัพท์ แต่อย่างน้อยๆ เขาก็ยังไม่เคยพูดประโยคนั้น…หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้เนี่ยนะ!
คิดถึงเพียงเท่านี้เขาก็อดไม่ได้ที่อยากจะด่าคนขึ้นมา แต่ก็เรื่องนี้เอาไว้ก่อน ตอนนี้ซีเหมินจินเหลียนยังอยู่บ้าน อีกทั้งในบ้านยังมีแขก
“เสี่ยวป๋าย ที่อเมริกาเป็นยังไงบ้าง” ซีเหมินจินเหลียนถามขึ้น
“ก็ไม่มีอะไรครับ โอเคดี ผมกำลังหาคนมาร่วมมือด้วย!” จ่านป๋ายพูด ที่อเมริกาแม้ว่าเขาจะมีรากฐานอยู่บ้าง แต่มันก็ยังไม่แข็งแรง หาคนมาร่วมมือด้วยเลยเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
“คุณก็รู้ว่าฉันไม่ได้จะถามเรื่องนี้” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม
จ่านป๋ายไม่มีคำพูด คิดอยู่นานเขาถึงพูดต่อมาว่า “วันนี้อากาศที่อเมริกาใช้ได้เลย…”
“คุณกลับมาก่อนเถอะ ฉันจะจัดการคุณ!” ซีเหมินจนเหลียนด่าพร้อมหัวเราะออกมาน้อยๆ
“ผมยอมให้คุณเตะเลยครับ!” จ่านป๋ายยิ้มและถามถึงปัญหาที่ค้างคาใจ “จินเหลียน คุณอยู่บ้านหรือเปล่า แล้วยังมีใครอยู่อีกไหม”
“ตอนนี้ฉันอยู่คนเดียว กับงูอีกสองตัว” ซีเหมินจินเหลียนเผยยิ้มออกมา
งูอีกสองตัว? เธอไปรับงูจากที่ไหนมาเลี้ยงเพิ่มอีกหรือ จ่านป๋ายเลื้อยตัวขึ้นมาจากเก้าอี้และถามขึ้นว่า “เมื่อสักครู่งูตัวไหนกันที่มารับสายผม? งูของพวกเราก็ฉลาดขึ้นมาแล้วเหรอ”
“เมื่อกี้ที่รับสายคุณคือคนค่ะ เขาเป็นหมอมองโกล…” ซีเหมินจินเหลียนคิดถึงสวี่อีหรานก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “เขาเป็นคนแปลกๆ ฝีมือทางการแพทย์ไม่เลว จากการพิสูจน์ของเขา งูในหยกราชางูอาจจะเป็นสิ่งมีชีวิต”
“ไม่น่าละพวกเราถึงมีงูเพิ่มมาอีกตัว ผมนึกว่างูของพวกเราจะฉลาดเก่งกล้าเสียแล้ว” จ่านป๋ายหัวเราะ
“พรุ่งนี้ฉันจะไปหยางโจว” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม
“หืม…คุณไปคนเดียวหรือครับ?” จ่านป๋ายถามขึ้นด้วยความสงสัย
“หมอมองโกลคนนั้นก็ไปด้วย!” ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้ปิดบังเขา พูดไปตามตรง
“เขา…เขาเป็นคนยังไงหรือครับ?” จ่านป๋ายถามหยั่งเชิงขึ้น
“ฉันเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน” ซีเหมินจินเหลียนส่ายศีรษะแล้วพูด “รู้เพียงแต่ว่าฝีมือทางการแพทย์ของเขาไม่เลว คุณจะกลับมาเมื่อไหร่?”
“น่าจะอีกหลายวันครับ ต้องรอให้ผมจัดการเรื่องทางอเมริกาให้เสร็จก่อน ถ้าจะกลับแล้ว ผมจะบอกคุณอีกที ว่าแต่จ่านมู่ฮวาทางนั้นเป็นอย่างไรบ้าง” จ่านป๋ายถาม
“เงินที่เขาควรจะให้ฉัน เขาก็ให้มาแล้ว ข้อนี้เขาไม่ได้วางกับดักฉัน แต่สิ่งที่คิดไม่ถึงก็คือบริษัทหมิงฮุยจิวเวอรี่ไม่ได้ล้มละลาย แม้ว่าในมือของพวกเราจะถือหุ้นของพวกเขาถึงสิบห้าเปอร์เซ็นต์ แต่ราวกับว่าไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรมาก” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจ
“บริษัทหมิงฮุยจิวเวอรี่ก็ช่างมันเถอะ สิ่งที่สำคัญคือปีศาจร้ายตระกูลอวิ๋นต่างหาก ผมได้ยินมาว่า ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ธรรมดาๆ เลยนะจินเหลียน คุณระวังตัวด้วย!” จ่านป๋ายพูดขึ้น “เดี๋ยวอีกไม่กี่วัน ผมจะกลับไป”
“โอเค ถ้าอย่างนั้นฉันไม่คุยกับคุณแล้ว ฉันจะไปนอนแล้ว” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“หา…ทางผมฟ้าเพิ่งจะสว่างเอง” จ่านป๋ายพูด
“ไม่สนใจคุณแล้ว!” ซีเหมินจินเหลียนว่ากลับไปอย่างไม่จริงจัง ก่อนจะปิดประตูห้องใต้ดินหันตัวขึ้นไปชั้นบน
…
หลินเสวียนหลานมองไปที่ดอกไม้ในมือแล้วก็ลังเลใจอยู่บ้าง จะไปหรือไม่ไปดี? เขารู้ว่าจ่านป๋ายไม่อยู่บ้าน หลายวันมานี้ซีเหมินจินเหลียนน่าจะอยู่คนเดียว ถ้าหากอยากจะจีบเธอนี่ก็เป็นโอกาสที่ดี
เขายืนอยู่ที่ปากประตูของคฤหาสน์จินเหลียนและถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา ในระหว่างที่กำลังจะกดกริ่งหน้าประตูนั้น ตอนนี้เองก็มีรถจักรยานขับเข้ามาจากข้างๆ!
ในย่านหลานกุ้ยยังมีคนขี่รถจักรยานด้วยหรือ? หลินเสวียนหลานแปลกใจเล็กน้อย ได้แต่มองอย่างไม่คลาดสายตา สายตาของเขาจดจ่อไปที่ตะกร้าหน้ารถจักรยานที่มีดอกกุหลาบช่อใหญ่วางอยู่ข้างใน…นี่น่าจะเป็นกุหลาบแวร์ซายส์ที่ผู้หญิงชอบมากที่สุด เป็นดอกกุหลาบพันธุ์ดีในตำนาน ดอกกุหลาบที่แพงที่สุดไม่ใช่หรือ?
ถึงแม้จะไม่พูดถึงเรื่องความแพง แต่ดอกไม้ชนิดนี้ก็ไม่มีทางหาซื้อได้นี่นา? ร้านดอกไม้ทั่วไป ถึงจะจองไว้ก็หาซื้อไม่ได้ แต่ดอกกุหลาบพันธุ์ดีเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าจะใช้กระดาษเก่าๆ ห่อเอาไว้…
เจ้าของรถจักรยานสวมใส่เสื้อยืดธรรมดาและจอดรถจักรยานไว้ที่ปากประตูคฤหาสน์ของซีเหมินจินเหลียน จากนั้นเมื่อเห็นหลินเสวียนหลาน เขาจึงพูดจริงจังว่า “คุณหาคุณซีเหมินเหรอ เธอไม่อยู่บ้านหรอก!”
หลินเสวียนหลานไม่เข้าใจ เขารู้ได้อย่างไรว่าซีเหมินจินเหลียนไม่อยู่บ้าน? แต่ดูท่าทางจริงจังของเขาคนนี้แล้ว อย่างไรก็ไม่เหมือนกับคนโกหก
แต่หลังจากนั้น คนคนนี้ก็เอื้อมมือไปกดกริ่งที่หน้าประตู
เมื่อได้ยินเสียงกริ่งหน้าประตูดังขึ้น ซีเหมินจินเหลียนก็รีบวิ่งออกมาเปิดประตู เมื่อเห็นหลินเสวียนหลานกับสวี่อี้หรานยืนอยู่ที่ปากประตูด้วยกันจึงได้แต่หัวเราะแล้วพูดว่า “อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น?”
“จินเหลียน อรุณสวัสดิ์ครับ” หลินเสวียนหลานยิ้มออกมา “ผมให้คุณ!” พูดจบก็โอบดอกกุหลาบสีเหลืองช่อใหญ่ส่งไปให้
“ขอบคุณค่ะ พี่หลิน รีบเข้ามาข้างในก่อนเถอะ” ซีเหมินจินเหลียนกล่าวทักทายหลินเสวียนหลานและหันไปยิ้มให้กับสวี่อี้หรานที่อยู่อีกฝั่ง “ทำไมคุณถึงมาเช้าขนาดนี้? มาหาฉันมีธุระอะไรเหรอ”
หลินเสวียนหลานมองไปที่สวี่อี้หรานและหัวเราะออกมาน้อยๆ คนคนนี้ก็จริงๆ เลย ถึงเขาอยากจะจีบซีเหมินจินเหลียน แต่ก็ไม่น่าจะพูดจาเหลวไหลว่าเธอไม่อยู่บ้านนี่นา?
“ไปหยางโจวไง” สวี่อี้หรานเดินเข้ามาเอง ไม่ต้องรอให้ซีเหมินจินเหลียนพูดก็เริ่มหาแจกันดอกไม้และรีบวิ่งไปที่ห้องน้ำเพื่อใส่น้ำเข้าไป จากนั้นนำกุหลาบแวร์ซายส์เสียบใส่ในแจกันพร้อมจัดตกแต่งด้วยความประณีต
“แต่ฉันยังไม่ได้ซื้อตั๋วเลย” ซีเหมินจินเหลียนพูด ถึงแม้เธอจะมีรถและมีใบขับขี่ แต่ทักษะในการขับรถของเธอก็ไม่ได้ดีอะไร ขับเล่นในเมืองเซี่ยงไฮ้ยังพอได้ แต่ถ้าให้ขับระยะทางไกลๆ เธอคงไม่กล้า
“พวกเราจะขับรถไปกันเอง!” สวี่อี้หรานพูดขึ้น