สวี่อี้หรานยื่นมือไปสัมผัสกับหยกราชางู เขาหลับตาลงไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ราวกับพระสงฆ์เข้าสู่พระธรรมอะไรอย่างนั้น เริ่มแรกซีเหมินจินเหลียนก็มองแต่เขา แต่พอเห็นเขาไม่ขยับเขยื้อนตัวไปไหนถึงสิบกว่านาที แม้แต่นิ้วยังไม่กระดิก ขนตายังไม่กะพริบ เธอเลยไม่กล้าไปรบกวนหันกายไปดูหยกก้อนอื่นๆ ไม่ได้สนใจเขาอย่างเคย
เป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมงเต็ม สวี่อี้หรานค่อยๆ พ่นลมหายใจลุ่มลึกออกมา “คุณซีเหมิน…”
“อืม!” ซีเหมินจินเหลียนตอบรับและหันไปมองเขา “คุณแยกได้ไหมว่างูข้างในหยกนั่นมีชีวิตหรือเปล่า” เป็นเวลาถึงครึ่งชั่วโมงที่สวี่อี้หรานนั่งนิ่งไม่ขยับไปไหน แต่บนศีรษะของเขากลับมีเหงื่อไหลซึมออกมา จนทำให้ผมเผ้าชื้นเปียกไปด้วยเหงื่อ ไม่ใช่แค่นั้น เสื้อผ้าบนตัวของเขาก็เปียกปอนไปทั่ว สีหน้าซีดเซียวตอนแรก ในเวลานี้ยังคงไร้ซึ่งรอยเลือดฝาด
ซีเหมินจินเหลียนมองดูอย่างตื่นตระหนก เมื่อสักครู่เขาทำอะไรกันแน่? ทำไมถึงดูเหนื่อยล้าขนาดนี้? ดูเหนื่อยเสียยิ่งกว่าออกกำลังกายอย่างหนักในเวลาครึ่งชั่วโมงเสียอีก!
นิ้วมือของสวี่อี้หรานสั่นไหวระริก เขาสัมผัสไปที่หยกราชางูแผ่วเบาอยู่นานสองนาน ถึงพูดขึ้นว่า “นี่ไม่ใช่งู!”
“หา?” ซีเหมินจินเหลียนไม่เข้าใจ ถ้าไม่ใช่งูแล้วคืออะไร?
สวี่อี้หรานสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และพิงเก้าอี้อยู่นานถึงพูดขึ้นว่า “คุณซีเหมิน ผมพยายามเต็มที่แล้ว แต่ผมยังไม่มีวิธีที่จะแยกแยะได้ว่านี่เป็นอะไรกันแน่…”
ซีเหมินจินเหลียนสับสนและคิดอยู่พักใหญ่ถึงพูดว่า “คุณหมายความว่าอย่างไร”
“แม้ว่าผมจะไม่ใช่สัตวแพทย์ แต่สำหรับเรื่องหยกก็เคยได้ศึกษามาอยู่บ้าง โดยเฉพาะงู!” สวี่อี้หรานถอนหายใจ “แต่นี่ไม่ใช่งูแน่ๆ หรือไม่ก็งูในยุคโบราณก็มีรูปร่างลักษณะแบบนี้?”
“ความหมายของคุณก็คือ ผิวของงูตัวนี้ผิดปกติไปต่างจากงูทั่วไป?” ซีเหมินจินเหลียนเน้นไปที่ปัญหาของหัวงู
“ไม่ใช่ ความมหัศจรรย์ของสัตว์มีมากมาย ชนิดของงูที่อาจจะมีผิวแบบนี้ก็ยืนยันไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือสัตว์โบราณ พวกเราไม่มีทางเข้าใจ ถูกไหม?” สวี่อี้หรานพูด
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าบ่งบอกว่าเห็นด้วย บนโลกกว้างใหญ่ไพศาลขนาดนี้ไม่มีสิ่งมหัศจรรย์ใดที่จะไม่เกิดขึ้น ขนาดหยกราชางูของแปลกเช่นนี้ยังดำรงอยู่ ถึงจะมีเรื่องที่แปลกกว่านี้เธอก็สามารถรับได้
สวี่อี้หรานถอนหายใจ และลูบคลำไปบนศีรษะที่เปียกโชกถึงพูดขึ้น “ตั้งแต่เล็กผมได้รับพรสวรรค์สืบทอดมาถึงสามารถจับชีพจรได้ เมื่อสักครู่ผมพยายามทำเต็มที่แล้ว ลองตรวจจับชีพจรดู…นี่คืองู…นี่คืองูจริงหรือ?”
“เมื่อสักครู่ที่คุณตรวจดูเป็นอย่างไรบ้าง?” ซีเหมินจินเหลียนถาม ใช่หรือไม่นั่นมันไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่งูตัวนี้มีชีวิตหรือว่าตายไปแล้วต่างหากคือสิ่งที่เธออยากรู้
“นี่ไม่ใช่งู ถ้าไม่ได้เห็นด้วยสองตาตัวเอง และลองแค่จับชีพจร นี่น่าจะเป็นเส้นชีพจรของคน!” สวี่อี้หรานพูด
“อะไรนะ?” ซีเหมินจินเหลียนมึนงง เส้นชีพจรของคน? ประโยคนี้ของสวี่อี้หรานก็สื่อสะท้อนถึงปัญหาสองอย่าง หนึ่งคืองูตัวนี้ยังมีชีวิตอยู่ สองคือเส้นชีพจรของงูตัวนี้เป็นชนิดเดียวกับของคน…
งูเป็นสัตว์เลือดเย็น แล้วงูจะมีชีพจรด้วยเหรอ? ซีเหมินจินเหลียนไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเธอทำได้เพียงแค่รับฟัง
“ฉันไม่เข้าใจที่คุณพูด” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า
“งูตัวนี้…ตอนนี้เราจะเรียกมันว่างูไปก่อนก็ได้! ข้อแรกมันยังมีชีวิตอยู่ เรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องสงสัย ผมเชื่อใจในฝีมือแพทย์ของผม ข้อสองงูตัวนี้มีเส้นชีพจรเหมือนคน เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด” สวี่อี้หรานลูบไล้ไปยังศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเหงื่ออีกครั้ง “คุณซีเหมินน่าจะรู้ การจับชีพจรของแพทย์แผนจีนถูกแพทย์แผนปัจจุบันบอกว่าไม่มีหลักฐานมาสนับสนุนถูกไหม”
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า แพทย์แผนจีนตกต่ำลงมาก อารยะธรรมที่หลงเหลือของบรรพบุรุษจีนโบราณมีไม่เยอะ โลกทางแพทย์แผนปัจจุบันเลยได้แต่เขม่นแพทย์แผนจีน คิดว่าเป็นตำราที่ไร้สาระไม่น่าเชื่อถือ
“ส่วนการฝังเข็มจับชีพจร คิดว่าตอนนี้คงไม่มีใครทำเป็นแล้ว” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของสวี่อี้หรานก็ไม่ได้ผันแปรแต่อย่างใด แต่ยังพูดพร่ำไม่หยุด “มันสิ้นเปลืองแรงมาก ครั้งแรกที่ผมจับชีพจรได้มันยังมีชีวิตอยู่ พอครั้งที่สองทำให้ผมคิดว่าชีพจรของมันเป็นชนิดเดียวกับคน ไม่เหมือนงู…เพราะงูไม่มีทางเป็นแบบนี้ได้ ผมกลัวจะจับชีพจรผิดเพราะฉะนั้นเลยลองอีกรอบ ชีพจรของมันเต้นช้ามาก ดังนั้นผมต้องการเวลาที่มากกว่านี้”
“ช้าถึงขั้นไหน” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“ตัวเลขแน่นอนผมก็คิดไม่ออกเหมือนกัน แต่ช้ากว่าอัตราการเต้นของคนปกติเยอะมากอยู่” สวี่อี้หรานพูดอธิบาย “แม้ว่าชีพจรของมันจะเหมือนกับคน แต่ผมแอบค้นพบว่ามันก็มีบางสิ่งที่ไม่เหมือนกัน”
“อะไรที่ไม่เหมือนกัน?” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างสงสัย
สวี่อี้หรานปัดมือพูด “ผมเองก็ไม่รู้!”
ซีเหมินจินเหลียนยิ้มฝืดๆ ออกมา เขาไม่รู้? แล้วเขาวินิจฉัยได้อย่างไรว่ามันไม่เหมือนกัน? เขาคงเดาความคิดของซีเหมินจินเหลียนออก สวี่อี้หรานจึงพูดขึ้นว่า “ถ้าหากได้จับชีพจรอีกครั้ง บางทีผมอาจจะหาสิ่งที่ไม่เหมือนกันออกมาได้”
ซีเหมินจินเหลียนชี้นิ้วไปที่หยกราชางู เป็นความนัยว่าให้เขาจับชีพจรได้ตามสบาย “ตอนนี้ได้มีเวลานั่งคุยกับคุณก็ถือว่าไม่เลวแล้ว กระดูกกระเดี้ยวของผมแตกร้าวไปหมด วิธีจับชีพจรแบบนี้เหนื่อยเกินไปแล้ว”
ซีเหมินจินเหลียนเห็นท่าทีของเขาเมื่อสักครู่ก็ตกใจอย่างมาก ดูแล้วการจับชีพจรน่าจะเปลืองแรงมากจริงๆ ไม่นานก็ส่ายศีรษะพูดขึ้น “ช่างเถอะ…” ปากพูดไปแบบนั้นแต่ในใจยิ่งสงสัยกว่าเก่า งูที่อยู่ข้างในหยกราชางูเป็นสิ่งมีชีวิตจริงเหรอ? จนกระทั่งสามารถจับชีพจรได้?
สิ่งมีชีวิต? สิ่งมีชีวิตในอดีตที่ดำรงอยู่จนถึงตอนนี้? ทำไมมันถึงสามารถมีชีวิตอยู่ในหยกได้ล่ะ? ข้อสรุปนี้ถ้าหากถูกเผยแพร่ออกไปให้รู้จะก่อมรสุมคลื่นใหญ่อะไรบ้าง?
ตอนที่จดจ้องไปยังหยกราชางู เธอก็มักรู้สึกว่าดวงตาคู่ใหญ่ทั้งสองนั้นกำลังมองเขม่นมาที่คน จนกระทั่งบางทีทำท่าใสซื่อหมดหนทาง
“คุณนั่งลงก่อน เดี๋ยวฉันมา!” ซีเหมินจินเหลียนพูดจบก็ออกจากห้องใต้ดินรีบวิ่งไปยังห้องน้ำ คนเราต้องมีการกิน ดื่มและขับถ่าย ไม่เหมือนหยกราชางูที่มีชีวิตตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นี้
สวี่อี้หรานนั่งอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน สายตากวาดมองไปที่หยกราชางูก้อนนั้นอีกครั้งและพูดเสียงหลุบต่ำว่า “คุณเป็นคนหรือว่างูกันแน่?”
ในเวลานั้นเอง ก็มีเสียงบรรเลงเพลงขลุ่ยที่ไพเราะเสนาะหูดังเข้ามา สวี่อี้หรานมองไปรอบด้าน และพบว่าต้นตอของเสียงมาจากในกระเป๋าของซีเหมินจินเหลียน ในใจของเขาสงสัยไม่หยุด กระเป๋าของผู้หญิงใส่อะไรไว้บ้าง? เมื่อก่อนตอนที่อยู่ชนบทก็ไม่เคยเห็นผู้หญิงบ้านนอกคนไหนชอบออกไปข้างนอกพร้อมถือกระเป๋าเลย?
พอเข้าเมืองมาถึงได้รู้ว่านี่เป็นกระแสนิยมอย่างหนึ่ง? ผู้หญิงกับกระเป๋า ผู้ชายกับนาฬิกา เป็นไอเทมคู่ใจที่เกิดมาคู่กัน?
แต่ในกระเป๋าข้างในของผู้หญิงคนนี้ใส่อะไรเอาไว้บ้างนะ? ตั้งแต่แรกเขาก็ไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน คิดพลางก็เดินไปเปิดกระเป๋าของซีเหมินจินเหลียน เริ่มค้นหาดูที่ละอย่าง ลิปสติก โลชั่นบำรุงผิว ครีมกันแดด…
ความจริงถ้าหากใช้ยาจีนรักษา ผลลัพธ์ในการบำรุงผิวคงดีกว่าของพวกนี้ไม่ใช่เหรอ? สวี่อี้หรานคิดพลางและลองเปิดขวดโลชั่นบำรุงผิวดมกลิ่นไปครั้งหนึ่ง ก่อนจะแยกแนะส่วนประกอบ แปลกจริง ข้างขวดเขียนว่ามีส่วนประกอบของสมุนไพร ทำไมเขาถึงแยกส่วนประกอบนี้ไม่ออก?
เมื่อลองตรวจสอบครีมกันแดด จนกระทั่งถึงลิปสติก แต่มือถือที่อยู่ข้างๆ ดังกระหน่ำไม่หยุดหย่อน ไม่รู้หรืออย่างไรว่าถ้าหากไม่รับสายก็ต้องรอก่อนแล้วค่อยโทรมาใหม่? ทุกคนต่างบอกว่าเขาจิตไม่ปกติ แปลกประหลาดจากชาวบ้าน แต่เขาก็รู้สึกว่าคนคนนี้แปลกกว่าเขาตั้งเยอะ
เขาหยิบโทรศัพท์มือถือสีชมพูแดงของซีเหมินจินเหลียนออกมาดู ก่อนจะกดปุ่มรับสาย จากนั้นเขากระแอมเสียงใสและส่งเสียงพูดอย่างจริงจังว่า “หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้…”
“หุบปาก!” จ่านป๋ายตะโกนแหกปาก โทรศัพท์ของซีเหมินจินเหลียนไปอยู่ในมือผู้ชายแปลกหน้าได้ยังไงกัน? คนคนนี้ไม่ใช่จ่านมู่ฮวาหรือฉินเฮ่าแน่ๆ และก็ไม่ใช่หลินเสวียนหลานด้วย แล้วคนคนนี้เป็นใคร ทำไมโทรศัพท์ของเธอถึงไปอยู่ที่เขา ในเวลานี้เขาส่งเสียงเยือกเย็นถามกลับไป “แกเป็นใคร”
สวี่อี้หรานรีบกดปุ่มตัดสาย ก่อนที่สัญญาณจะตัดไป อะไรกัน…ทำไมต้องดุขนาดนั้นด้วย?
“คุณทำอะไรน่ะ?” ซีเหมินจินเหลียนเพิ่งออกมาจากห้องน้ำและรีบร้อนเข้ามา เมื่อเห็นกระเป๋าตัวเองเปิดออก ไหนจะของที่เธอใช้ติดตัวถูกรื้อค้นอย่างกระจัดกระจายแบบนี้อีก
“ผมกำลังศึกษากระเป๋าของคุณอยู่” สวี่อี้หรานไม่ได้สำนึกกับการที่ตัวเองรื้อค้นข้างของของเธอ เขาพูดด้วยท่าทางจริงจังว่า “ผมไม่เคยเห็นกระเป๋าของผู้หญิงมาก่อน”
“คุณไม่รู้หรือว่าการทำแบบนี้มันเหมือนกับขโมย?” สำหรับคนคนนี้ซีเหมินจินเหลียนไม่รู้จะพูดอย่างไรดี คุณธรรมขั้นพื้นฐานในการคบค้าสมาคมเขาเหมือนจะไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น อยู่ในรูปแบบทำตามใจตัวเอง แถมเขายังกล้ายอมรับความจริงว่าทำผิด
“ผมไม่ได้จะขโมยของของคุณ ผมแค่อยากจะดู…ตอนดูดอกไม้ก็ไม่เห็นต้องถามเจ้าของเลย” สวี่อี้หรานพูดอีกครั้ง
ซีเหมินจินเหลียนค้นพบว่าคนคนนี้ตอนที่ปรึกษาวิชาทางแพทย์ถึงดูปกติกับคนอื่นเขา แต่เวลาทั่วไปเขาดูสติสตังไม่สมประกอบ สำหรับคนจำพวกนี้ถึงจะโกรธไปก็ไม่คุ้มค่า เพราะฉะนั้นคนพิเศษพวกนี้ต้องใช้วิธีที่พิเศษรับมือ
“คุณศึกษากระเป๋าของฉันเพื่ออะไร” ซีเหมินจินเหลียนเจตนาถาม
“ก็ดูว่าในกระเป๋าผู้หญิงข้างในใส่อะไรเอาไว้” สวี่อี้หรานมองไปที่ซีเหมินจินเหลียนสีหน้าแปลกใจ พร้อมท่าทางที่ใสซื่อ
“ถ้าอย่างนั้นคุณดูหมดหรือยัง?” ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกว่าถ้าหากคุยเรื่องอื่นกับเขา ไม่ช้าหรือเร็วคงถูกเขาเล่นงานจนปวดหัวแน่
สวี่อี้หรานคิดไตร่ตรองเล็กน้อยถึงพูดขึ้น “ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวของคุณก็ธรรมดามาก! แล้วก็คุณพกของตั้งมากมายออกไปข้างนอก ไม่มีความปลอดภัย ตกหล่นได้ง่าย…”
“เอ่อ คุณออกจากบ้านพกกระเป๋าตังหรือเปล่า” ซีเหมินจินเหลียนถามคำถามธรรมดาสุดขีด ในเมืองแบบนี้แม้แต่เข้าห้องน้ำยังต้องจ่ายตัง ถ้าออกไปข้างนอกและไม่พากระเป๋าตังไปมันก็ทำอะไรไม่ได้เลยนะ
“ไม่ได้พก” เป็นอย่างที่คิดเขาส่ายหัว
“คุณไม่รู้สึกว่ามันไม่สะดวกเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนถามแปลกใจ
“มีบ้าง แต่ทุกครั้งที่ผมพกไปมันก็หายตลอด…เพราะอย่างนั้นก็ไม่พกดีกว่า ผมไม่เข้าใจ วันๆ คุณสะพายกระเป๋าไปมาไม่หายบ้างเหรอ?” สวี่อี้หรานถามจริงจัง