คืนนี้ คุณนายซูไม่เพียงแต่ต้องเสียหุ้นบริษัทหมิงฮุยจิวเวอรี่ไปถึงสิบห้าเปอร์เซ็นต์ มิหนำซ้ำยังต้องชดใช้ด้วยเงินสดอีกห้าร้อยล้าน โชคดีที่อัตราต่อรองหนึ่งต่อหนึ่ง ไม่เช่นนั้นคืนนี้เธอคงต้องประกาศล้มละลายเข้าแล้ว ไม่สิ…คืนนี้ก็เธอล้มละลายลงไปแล้วจริงๆ
ผู้ชนะได้ตัดสินเป็นที่เรียบร้อย ซีเหมินจินเหลียนสะบัดผม และไม่รู้ว่าเอากระดาษหนังสือพิมพ์เก่าๆ มาจากที่ไหน เธอห่อหินหยกล้ำค่าก้อนนั้นไว้ด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์นั่นก่อนจะใส่เข้าไปลงในกระเป๋า จากนั้นดวงตาสดใสราวกับแสงดาวของเธอก็มองไปที่คุณนายซู
“ดวงตาคู่นี้ของพี่สาว ก็เพียงพอในการดึงดูดผู้ชายภายในโลกนี้ ฉันก็ชอบมากเลยค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนเลิกคิ้วขึ้นแล้วยิ้มออกมาบางๆ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าวันนี้คำพูดเปื้อนรอยคราบเลือดจะออกมาจากปากของเธอได้ นอกจากนี้เธอยังพูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
โลกใบนี้ก็บ้าจนเกินไปหรือว่าเธอบ้ากว่ามันกันแน่?
“ฉันบอกว่าจะเดิมพันด้วยดวงตาคู่หนึ่ง แต่ไม่ได้บอกว่าจะเดิมพันด้วยดวงตาของฉัน” คุณนายซูพูด แม้รอยยิ้มจะกล้ำกลืนฝืนทน
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า ผลแบบนี้เธอก็คาดคิดเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว คืนนี้ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ หลังจากนี้คุณนายซูคงต้องผิดสัญญาที่ให้ไว้ เธอก็เตรียมใจพร้อมมาก่อนแล้ว ค่อยให้จ่านมู่ฮวาไปทวงหนี้ทีละเล็กทีละน้อยก็แล้วกัน อย่างไรเขาก็มีวิธีรับมือกับผู้หญิง
ภายใต้ความช่วยเหลือจัดการดูแลของจ่านป๋าย พวกเขาก็กวาดเก็บของที่ชนะในค่ำคืนนี้ ถือว่าเป็นการสร้างชื่อเสียงในการทำธุรกิจต่อบริษัทจินเหลียนจิวเวอรี่ นับจากพรุ่งนี้เป็นต้นไปจะต้องรุดหน้ามากกว่านี้
“จินเหลียน ให้ผมไปส่งคุณดีกว่า จ่านป๋ายคงจะยุ่งอีกสักพัก” ฉินเฮ่ามองไปทางซีเหมินจินเหลียนและพูดขึ้น “ถือโอกาสฉลองสักหน่อยเป็นไงครับ? ผมคิดว่าคุณน่าจะหิวแล้วใช่ไหม”
“ถ้าคุณไม่พูดฉันก็เกือบลืมไปแล้วเหมือนกัน ตอนนี้กี่โมงแล้วคะ” ซีเหมินจินเหลียนถามขึ้น
“ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว” ฉินเฮ่ายิ้ม ซีเหมินจินเหลียนเข้าไปหาจ่านป๋ายเพื่อบอกกล่าว จากนั้นเดินไปข้างนอกพร้อมฉินเฮ่า
“จินเหลียน ยินดีด้วยๆ!” จ่านมู่ฮวายืนอยู่ที่ประตูทางออกในงานนิทรรศการ ขวางทางซีเหมินจินเหลียนเอาไว้ “จินเหลียน คุณหยุดเดินก่อนได้ไหม ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ”
“เอามือของคุณออกไป!” สีหน้าฉินเฮ่าเคร่งขรึม ช่วงนี้เขายุ่งเกินไปจนไม่มีเวลาว่างนัดซีเหมินจินเหลียนไปกินข้าวหรือเดินช้อปปิ้ง ไม่ง่ายเลยที่จะมีโอกาสเหมือนวันนี้ จ่านป๋ายมีเรื่องที่ต้องทำจนปลีกตัวมาไม่ได้ แล้วนี่เขายังวิ่งมาสร้างปัญหาอีกหรือ?
“ฉินเฮ่า คุณเงียบปากหน่อยเถอะ!” จ่านมู่ฮวาตวาดอย่างไม่เกรงใจกลับไป “จินเหลียน ผมเตรียมอาหารไว้ด้านหลัง คุณมานั่งทานกันก่อนเถอะ”
ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้ว จ่านมู่ฮวาไม่ใช่คนที่คล่องแคล่วว่องไวขนาดนั้น แม้เมื่อก่อนจะพูดออกมาจากปากว่าตามจีบเธอ แต่เขาก็ไม่เคยจะกระวีกระวาดขนาดนี้ หรือคืนนี้มีบางอย่างแปลกไป?
“จินเหลียน…”ภายในดวงตาของจ่านมู่ฮวาฉายความว้าวุ่นใจ
“เกิดอะไรขึ้น?” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างสงสัย “คุณน่าจะตามหาคุณนายซูเพื่อให้เธอชดใช้หนี้การเดิมพันของเราสิ”
“จินเหลียน เรื่องนั้นผมต้องทำอยู่แล้ว แต่คืนนี้คุณอย่าออกไปไหนเลยนะ!” จ่านมู่ฮวารีบพูด “ฉินเฮ่า ถ้าคุณไม่วางใจ ก็มากับซีเหมินจินเหลียนเลยก็ได้!”
ฉินเฮ่าได้ยินเช่นนั้น ในใจก็ได้แต่ตกตื่น มองข้ามความโกรธนั้นและพยักหน้าพูด “ก็ได้!”
ซีเหมินจินเหลียนเห็นฉินเฮ่าตบปากรับคำแล้ว ไม่นานเธอก็เดินตามหลังจ่านมู่ฮวาไปยังด้านหลัง ยังคงเป็นบ้านสวนสไตล์หยวนหลินครั้งก่อน โดยจ่านมู่ฮวาสั่งให้คนเตรียมไวน์และอาหารอย่างพร้อมสรรพ
“พวกคุณสองคนเชิญนั่งก่อน ทานอาหารได้ตามสบายเลย ผมมีเรื่องต้องไปจัดการ” สีหน้าจ่านมู่ฮวาดูรีบร้อน เขาพูดพลางเดินออกไป
ฉินเฮ่าเห็นท่าทางของเขาแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร นั่งลงบนเก้าอี้ไม้จันทน์แกะสลัก ส่วนซีเหมินจินเหลียนนั่งฝั่งตรงข้ามเขา
เวลาผ่านไปไม่นาน จ่านมู่ฮวาก็เดินเข้ามาอีกครั้ง ฉินเฮ่าถามขึ้นว่า “คุณทำตัวลับๆ ล่อๆ คิดจะทำอะไร?”
“รอให้มู่หรงมาค่อยว่ากัน!” จ่านมู่ฮวาพูด
ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้วขึ้น ฉินเฮ่าก็ไม่ได้พูดอะไรอีก รอจนเกือบสิบห้านาที ภายใต้การนำทางของพนักงานเสิร์ฟ จ่านป๋ายก็เดินมาถึงด้วยความกระวนกระวาย
“พวกเธอออกไปก่อน!” จ่านมู่ฮวาโบกมือไล่ สั่งให้พนักงานเสิร์ฟที่อยู่ในห้องทั้งหมดออกไป เมื่อเห็นประตูปิดลงถึงพูดขึ้นว่า “เกิดเรื่องขึ้นแล้ว!”
“นายก็ยังไม่ตายนี่ แล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” จ่านป๋ายถามอย่างไร้อารมณ์ เวลานี้ไม่กลับไปหลับไปนอน แล้วยังจะเรียกพวกเขามาอย่างลับๆ ล่อๆ เพื่ออะไรกัน? ถ้าเป็นแค่เขายังพอว่า แต่ถ้าซีเหมินจินเหลียนนอนหลับไม่เพียงพอ ตอนเช้าอาจไม่มีกำลัง บางครั้งอาจจะเกิดอาการปวดหัว
จ่านมู่ฮวาได้ยินเช่นนั้นก็ก่นด่าออกมา “หรือว่าจะต้องให้ฉันตายก่อนถึงจะเกิดเรื่อง?”
“คุณพ่อเสียแล้วเหรอไง?” จ่านป๋ายหัวเราะฮะๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าเกิดเรื่องแล้วล่ะ!” สำหรับเขา ตระกูลจ่านก็คงจะเกิดเรื่องใหญ่จริงๆ
“แกมัน…” จ่านมู่ฮวาอ้าปากค้าง ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี
“นอกเหนือจากนี้ ถ้าฟ้าไม่รั่ว แผ่นดินไม่ไหว โลกไม่ได้มีสงครามใหญ่ สำหรับฉันก็ไม่ถือว่าเรื่องใหญ่ อย่างมากสุดก็แค่ทางฝั่งแกมีเรื่อง โปรดจำเอาไว้ว่านอกจากแซ่จ่านที่พวกเราใช้เหมือนกันแล้ว เรื่องอื่นก็ไม่มีอะไรข้องเกี่ยวกันอีก” จ่านป๋ายพูด
จ่านมู่ฮวาแค่นเสียงใส่ “หวังหมิงเหยา แกรู้ใช่ไหมว่าเป็นใคร?”
ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้ว เวลานี้เขาจะพูดถึงคนคนนั้นขึ้นมาเพื่ออะไรกัน?
ฉินเฮ่าและจ่านป๋ายไม่ได้เลอะเลือน พวกเขาย่อมรูู้ว่าหวังหมิงเหยาเป็นใคร จ่านป๋ายไม่ได้พูดขัดอะไรขึ้นมา แต่ฉินเฮ่าอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“เมื่อสักครู่เขาก็ตายแล้ว ตายที่คลับหยก!” จ่านมู่ฮวาพูด “เพราะอย่างนั้นคืนนี้ผมเลยไม่ให้จินเหลียนกลับไป!”
ซีเหมินจินเหลียนสับสน สติเลื่อนลอยอยู่ครู่หนึ่งถึงพูดขึ้น “เขา…ตายแล้ว?” ในขณะที่ปากพูดออกไปนั้น แต่ในใจไม่สามารถบอกได้เลยว่าเธอรู้สึกอย่างไร เขาตายแล้ว ตายทั้งอย่างนี้เนี่ยนะ?
“ใช่ หวังหมิงเหยาตายแล้ว ตายที่คลับหยก เขาถูกคนยิง!” จ่านมู่ฮวาพูดด้วยเสียงราบเรียบ
“ใครเป็นคนฆ่า?” จ่านป๋ายถามขึ้นอย่างไม่อ้อมค้อม “ฝีมือแบบนี้ ก็เหมือนกับนายมาก?”
“ถ้าเป็นฉันจริง แล้วมำไมฉันต้องมาบอกแกให้ยุ่งยากด้วย?” จ่านมู่ฮวาพูด “ถ้าฉันจะฆ่า มีความจำเป็นอะไรที่ต้องฆ่าในคลับหยก? ฉันจะมาทำให้ที่ของฉันสกปรกไปทำไมกัน?”
ซีเหมินจินเหลียนยิ้มออกมาอย่างขมขื่น นี่กำลังพูดอะไรกัน? เธอเป็นแฟนเก่าของเขา แต่ทำไมพอรู้ว่าเขาตาย เธอถึงไม่ได้รู้สึกเสียใจมากขนาดนั้น? บางที วันที่เลิกกันวันนั้นเธอก็คงตัดใจได้แล้ว?
“แล้วใครฆ่า” ฉินเฮ่าถามต่อ “นี่มีคนตายในที่ของคุณเชียวนะ แล้วคุณยังไม่รู้อีกเหรอว่าฆาตกรเป็นใคร”
“ปัญหาก็คือ ผมไม่รู้!” จ่านมู่ฮวาพูดอย่างดุดัน
ซีเหมินจินเหลียนคิดพลางขมวดคิ้วพูดขึ้น “ห้องนิทรรศการในคลับหยกก็มีกล้องวงจรปิดอยู่ไม่ใช่เหรอ ถ้าเอาภาพจากกล้องวงจรปิดมาดูก็น่าจะรู้แล้วไม่ใช่หรือไง?”
“จินเหลียน ปัญหามันก็อยู่ที่ตรงนี้” จ่านมู่ฮวาพูด “ฆาตกรคนนั้นคุ้นเคยกับตำแหน่งการติดตั้งกล้องวงจรปิดของคลับหยกเป็นอย่างมาก มุมนั้นไม่มีกล้องวงจรปิด นั่นก็ช่างเถอะ แต่เพราะว่าตอนนั้นคุณขอให้ดับไฟหนึ่งนาที เวลานั้นไฟก็ดับพอดี!”