ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจออกมายกใหญ่ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เธอคิดไม่ถึง เธอคิดมาตลอดว่าขอแค่มีเงินอยู่ในกำมือ ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีเงินที่จะซื้อหยกเกรดดีๆ
“ถึงแม้อัญมณีจะราคาแพงหูฉี่ แต่นั่นก็เป็นเพราะว่ามันเป็นสิ่งที่หายาก ยิ่งหาซื้อยากเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นสิ่งที่คุ้มค่าในการยอมจ่าย” จ่านป๋ายเผยยิ้มออกมา นี่เป็นความจริง ไม่ว่าจะเป็นหยก เพชร หรือจะเป็นเงินทองต่างก็ไร้ประโยชน์ คุณค่าของมันอยู่แค่ในจิตใจของคน
ในใจของซีเหมินจินเหลียนได้แต่ครุ่นคิด ใช่แล้ว เพราะอัญมณีมีน้อยถึงเป็นของที่มีค่า ต่อไปนี้ถ้าหากมีหยกเนื้องามอยู่ในมือเธอ เธอก็จะไม่รีบร้อนขายออกไปอีก เก็บสินค้าไว้ก่อน พอได้ราคาดีก็ค่อยขายทอดสู่ตลาด ถ้าหากแห่ขายออกไปหมดที่เดียว อาจส่งผลทำให้ตลาดอิ่มตัวได้ อีกทั้งความต้องการของสินค้าคงจะน้อยลงตามไปด้วย สุดท้ายแล้วสินค้าก็ย่อมไม่มีค่าแก่การซื้อ จนส่งผลทำให้หยกราคาตก
“ที่คุณพูดมาก็มีเหตุผล!” ซีเหมินจินเหลียนเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูด
“จินเหลียน ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะไม่ขายหยกให้บ้านตระกูลหลินเด็ดขาด!”
“หืม? ทำไมเหรอ” ซีเหมินจินเหลียนยังคงไม่เข้าใจ
“เพื่อที่เราจะได้ซื้อหลินซื่อจิวเวอรี่อย่างไงล่ะครับ?”
ซีเหมินจินเหลียนยิ้มอย่างขมขื่น การซื้อบริษัทหลินซื่อจิวเวอรี่ แม้จะพูดง่าย แต่ก็ใช่ว่าจะทำได้ง่ายนัก ถึงบ้านตระกูลหลินใกล้จะล้มละลาย แต่ก็ยังมีรากฐานคอยค้ำจุน เพราะว่าบ้านตระกูลหลินทำธุรกิจมาหลายปีแล้ว หากจะพูดว่าล้มลงแล้วก็จะล้มลงไปตามที่พูดจริงๆ ก็คงจะไม่ใช่แน่? ยิ่งไปกว่านั้น ถึงบ้านตระกูลหลินจะล้มละลายไปจริงๆ แต่คนที่จ้องทำลายตระกูลหลินก็ไม่ได้มีแค่เธอคนเดียวแน่ๆ
เธอเป็นแค่ผู้หญิงบอบบาง อาศัยตัวอยู่คนเดียวที่เมืองเซี่ยงไฮ้ ไม่มีใครเป็นที่พึ่งพาและคอยสนับสนุน แล้วจะให้เอาอะไรไปแข่งกับคนอื่นได้ล่ะ?
“ฉันทำตามที่คุณว่าก็ได้” ซีเหมินจินเหลียนยังพูดต่ออีกว่า “เพียงแต่ว่าถ้าเงินเข้ามา ฉันก็ไม่สามารถปฏิเสธได้หรอกนะ” ระหว่างที่เธอพูดอยู่นั้น มือของเธอก็เล่นกระดาษห่อหนังสือพิมพ์เก่าๆ ที่ห่อหยกสีควันม่วงนั้นไว้อยู่
“เขาไม่มีเงินหรอก คุณวางใจได้เลย” จ่านป๋ายพูดด้วยความมั่นใจ
“ความจริงแล้วพี่หลินก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร” ซีเหมินจินเหลียนค่อยๆ ถอนหายใจออกมาเบาๆ แต่ก่อนหลินเสวียนหลานเป็นคนพาเธอไปที่ร้านเถ้าแก่โจว บอกเธอเกี่ยวกับเรื่องราวของการเดิมพันหินต่างๆ ถึงจะเป็นเพียงแค่ความรู้เล็กน้อยที่เธอแทบจะไม่ได้อะไรเลยก็ตาม
แต่ว่าในส่วนลึกของหัวใจ เธอก็ยังรู้สึกขอบคุณเขา ส่วนเรื่องหยกสีควันม่วงในวันนี้ ขอแค่เขาจ่ายเงินมา เธอก็เต็มใจที่จะขายให้
จ่านป๋ายได้ยินดังนั้นก็ทำได้แค่ยิ้ม ความจริงหลินเสวียนหลานก็ไม่ได้แย่อะไร เพียงแต่…ผู้เฒ่านั่นกับหลินเจิ้งก็ไม่ใช่คนที่ดีอะไร บางเรื่องแม้แต่หลินเสวียนหลานเองก็แทบที่จะไม่รู้
“ถ้าอย่างนั้นผมเอาหยกไปเก็บก่อนแล้วกันนะครับ คุณกลับห้องไปพักผ่อนก่อน สองสามวันมานี้คุณก็คงเหนื่อยแย่แล้ว” จ่านป๋ายพูด
“ก็ได้” ซีเหมินจินเหลียนลุกขึ้นยืน เห็นว่าหลินเสวียนหลานยังไม่เข้ามา อีกทั้งข้างนอกฝนก็ยังไม่หยุดตก อากาศแบบนี้คงออกไปไหนก็ไม่สะดวก ทำได้แค่กลับห้องไปนอนดูโทรทัศน์เท่านั้น
จ่านป๋ายห่อหินหยกสีควันม่วงด้วยความระมัดระวังแล้วจึงใส่กลับไปที่ตู้เซฟของโรงแรม คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญเจอกับประธานเฉินกับประธานหม่า เลยทักทายกันไปตามมารยาท
“คุณจ่านป๋าย คุณซีเหมิน มารับประทานข้าวเช้ากันเหรอครับ” ประธานเฉินถาม
“พวกเรากินเสร็จแล้วค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนรีบตอบกลับไป
“คุณจ่านป๋าย ในมือของคุณใช่หยกสีควันม่วงของเมื่อวานหรือเปล่าครับ” ประธานหม่าถามออกไป
“ใช่ครับ”
“พวกเราขอดูได้ไหมครับ?” ประธานเฉินถาม
“แน่นอนอยู่แล้วค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูดไป พลางบอกจ่านป๋ายเป็นนัยๆ ว่าให้หาโต๊ะว่างๆ สำหรับนั่ง จ่านป๋ายจึงนำหินหยกควันสีม่วงก้อนนั้นไปวางไว้บนโต๊ะ
ประธานเฉินสำรวจเป็นคนแรก เขาเปิดกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าที่ห่อเอาไว้ออกมา จากนั้นใช้มือสัมผัสลงไปที่เนื้อผิว ก่อนจะอุทานออกมาว่า “เป็นของดีอย่างที่คิดไว้จริงๆ!”
ประธานหม่ารับช่วงต่อจากเขา สำรวจอยู่ครู่หนึ่งจึงถามไปว่า “คุณซีเหมิน หยกสีควันม่วงของคุณก้อนนี้ จะเก็บไว้ทำเครื่องประดับใส่เองหรือคิดที่จะขายเหรอครับ”
“ฉันก็คิดที่จะขายค่ะ แต่ว่ามีคนจองไว้ก่อนแล้วนะคะ” ซีเหมินจินเหลียนรีบชิงพูดขึ้น ในเมื่อหลินเสวียนหลานยังไม่ได้บอกว่าเขาจะไม่ซื้อ เธอก็ไม่สามารถที่จะขายให้ใครก่อนได้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องมิตรภาพอะไร แต่เป็นเรื่องของความเป็นมนุษย์ที่ควรพูดคำไหนคำนั้น
“ใครกันครับที่เป็นคนโชคดีได้ไป” ประธานเฉินถามพลางส่ายหัวถอนหายใจออกมาไม่หยุด
“ประธานเฉินยังพอจะมีโอกาสนะครับ” จ่านป๋ายตอบ
ซีเหมินจินเหลียนรีบหันไปมองเขาครู่หนึ่ง แต่กลับเห็นรอยยิ้มสดใสโต้ตอบกลับมา ทำให้ซีเหมินจินเหลียนหมดคำพูด ทำได้แค่ส่ายหัวยิ้มออกไป คนคนนี้จะทำอย่างไรกับเขาดีนะ คอยแต่เป่าหูเธอไม่ให้ขายให้กับบ้านตระกูลหลินเพื่ออะไรกัน? ถึงแม้คิดจะเปิดบริษัทจิวเวอรี่จริงๆ แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องซื้อของตระกูลหลินนี่น่า
“อ้อ?” ประธานเฉินไม่เข้าใจ
“คือแบบนี้ครับ…” จ่านป๋ายเริ่มแจกแจง “เมื่อคุณหลินเห็นสินค้าจึงตั้งใจที่จะซื้อ เพียงแต่ว่า…” พูดไปเขาก็ตั้งใจถอนหายใจออกมา
“ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง!” ประธานเฉินยิ้มออกมา “งั้นก็ได้ครับ พวกเราจะรอ ถ้าหากว่าคุณหลินไม่ซื้อ พวกเราก็มาเจรจาราคากันเป็นอย่างไรครับ?”
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า กำลังพูดขึ้น แต่ประธานหม่ายิ้มแล้วชิงพูดออกไปก่อน “นั่นคุณหลินนี่ครับ?”
ข้างนอก หลินเสวียนหลานกำลังเดินเข้ามา สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่นัก เมื่อเห็นประธานเฉินและประธานหม่านั่งอยู่กับซีเหมินจินเหลียน เขาก็ขมวดคิ้วเข้าหากันทันที แต่ก็ยังเดินเข้าไปหา
“พี่หลิน เป็นอย่างไรคะ” ซีเหมินจินเหลียนถามต่อ “คุณปู่หลินว่าอย่างไรบ้าง”
“คือ…” หลินเสวียนหลานไม่รู้จะพูดอย่างไร แต่ก็ยังมีความกล้าพอที่จะพูดออกมา “จินเหลียน ผมสามารถติดเงินคุณไว้ก่อนได้ไหมครับ?”
“ได้อย่างไรกันครับ!” จ่านป๋ายไม่ได้หันไปมองซีเหมินจินเหลียน เขาชิงพูดออกไปก่อนว่า “หยกสีควันม่วงในราคายี่สิบล้านแบบนี้ ถึงคุณหลินกับคุณซีเหมินจะรู้จักคุ้นเคยกัน แต่ก็ไม่สามารถพูดจะติดเงินไว้ก่อนก็ติดกันได้แบบนี้นะครับ อีกอย่างหยกก้อนนี้ก็ยังเป็นที่ต้องการของคนอื่นอีกมากมาย สามารถขายออกไปได้ง่ายๆ แบบไม่ต้องกังวลใจอะไรเลย”
หลินเสวียนหลานได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาที่สุด เขาหันหน้าไปขอร้องความเมตตาจากซีเหมินจินเหลียน ส่วนซีเหมินจินเหลียนเกือบจะใจอ่อนตอบตกลง แต่ยังฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าถ้าครั้งนี้ช่วยเขาไว้ แล้วครั้งหน้า? ครั้งต่อๆ ไป และไหนจะอนาคตอีกล่ะ? คงจะไม่ต้องยกหยกให้แก่บ้านตระกูลหลินไปแบบไม่มีเงื่อนไขอย่างนั้นเหรอ?
เธอรับประกันได้เลยว่า ถ้าวันนี้เธอยกหยกก้อนนั้นให้กับหลินเสวียนหลานไป ก็เท่ากับว่าเธอก็ไม่อยากได้เงินอะไรแล้ว นอกจากนั้นถ้าเริ่มมีครั้งแรก ครั้งต่อไปถ้าหลินเสวียนหลานปริปากเอ่ยออกมา เธอก็ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไรดี
“พี่หลิน…” ซีเหมินจินเหลียนข่มใจพูดต่อไป “พี่ก็รู้ว่าฉันไม่ใช่คนที่มีฐานะอะไร การมาที่เจียหยางครั้งนี้ ก็ซื้อหยกมาพอสมควร ฉันอยากจะไปงานประมูลหยกต่อ แต่ว่าฉันก็ไม่มีเงินเหมือนกัน ฉันก็หวังที่จะได้เงินจากการขายหยกสีควันม่วงชิ้นนี้มาเป็นเงินต่อยอดต่อไปนะคะ”
“ก็ได้ครับ” หลินเสวียนหลานถอนหายใจเฮือกใหญ่ “รอผมมีเงินแลว ถ้าหากคุณมีหยกเนื้องามที่อยากจะขายอีก ก็อย่าลืมบอกผมด้วยนะครับ”
“ตกลงค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนรับปาก
“คุณซีเหมิน!” ประธานเฉินและประธานหม่าพูดออกมาพร้อมกัน “ในเมื่อคุณหลินไม่ซื้อแล้ว อย่างนั้นคุณจะขายหยกสีควันม่วงก้อนนี้ให้กับเราได้หรือเปล่าครับ”
“แน่นอนอยู่แล้วค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนตอบ “เมื่อสักครู่ฉันตกลงขายให้คุณหลินในราคายี่สิบล้าน ถ้าพวกคุณต้องการ ฉันก็จะขายให้ในราคานี้ค่ะ”
ประธานเฉินมองประธานหม่า ประธานหม่าจึงยิ้มกรุ้มกริ่มแล้วพูดว่า “ประธานเฉิน คุณก็ยอมสักครั้งไม่ได้หรือ?”
“ก็ได้ คุณและผมต่างเป็นพี่น้องกัน จะต้องเกรงใจอะไร!” ประธานเฉินกล่าว
ประธานหม่ามัวแต่ขอโทษอยู่นั่น จากนั้นจึงถามเลขบัญชีธนาคารของซีเหมินจินเหลียน โทรศัพท์ต่อสายไปหาธนาคารให้โอนเงินทันที ไม่นานซีเหมินจินเหลียนก็ได้รับข้อความแจ้งเตือนเข้ามาจากธนาคาร
ต่อมาโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น เป็นเบอร์ของธนาคารโทรมาหาเธอด้วยน้ำเสียงนิ่มนวลและเกรงใจ พร้อมรายงานว่าเงินของเธอได้เข้าบัญชีแล้ว ซีเหมินจินเหลียนจึงส่งหยกก้อนนั้นไปให้ประธานหม่า พร้อมหยิบกระดาษปากกามาเขียนเบอร์โทรศัพท์ของเธอให้แก่เขา
ประธานหม่าพึงพอใจเป็นอย่างมาก จึงรีบจดเบอร์ของเธออย่างว่องไว พร้อมกับแลกเบอร์โทรศัพท์ของเขาให้เธอเช่นกัน อาชีพการเดิมพันหยกนี้ วงการช่างใหญ่โตนัก นักธุรกิจค้าขายอัญมณีแม้จะไม่น้อย แต่ทุกคนกลับขาดวัตถุดิบจากหยก การมีเบอร์โทรศัพท์เอาไว้ก็ถือเป็นการเพิ่มหนทางให้กับตัวเอง
สายตาของหลินเสวียนหลานได้แต่มองหยกก้อนนั้นที่ตกไปอยู่ในมือของประธานหม่าอย่างเงียบๆ ในใจได้แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องถึงเป็นแบบนี้ไปได้? แต่นี่ก็โทษซีเหมินจินเหลียนไม่ได้ ที่จ่านป๋ายพูดก็ถูก ของราคายี่สิบล้าน ไม่ใช่จะพูดว่าติดเงินก็จะติดได้…
“จินเหลียน เที่ยงนี้คุณว่างไหมครับ” หลินเสวียนหลานถาม
“หืม? ทำไมเหรอคะ” ซีเหมินจินเหลียนไม่เข้าใจ
“ขอผมเลี้ยงข้าวคุณได้ไหม” หลินเสวียนหลานพูด การประมูลหยกครั้งนี้คงต้องฝากความหวังไว้ที่เธอ การคาดเดาของคุณปู่ถือว่าถูกต้อง เธออาจจะเป็นศิษย์ฝ่ายใต้ เพียงแต่ว่าแผนเดิมของเขามีการเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย
“พี่หลิน พี่เลี้ยงข้าวเช้าฉันไปแล้วนะคะ ยังจะเลี้ยงข้าวเที่ยงอีกเหรอ ไม่ใช่ว่าจะเลี้ยงมื้อเย็นอีกนะคะ หรือพี่คิดจะเลี้ยงฉันทั้งวันด้วยหรือเปล่าคะ” ซีเหมินจินเหลียนพูดจาล้อเขา “ถ้าอย่างนั้นฉันเลี้ยงข้าวเที่ยงพี่ดีไหมคะ พี่ดูสิข้างนอกฝนตกแบบนี้ คงไม่หยุดเร็วๆ นี้แน่ ถ้าอย่างนั้นก็กินที่นี้ก็แล้วกันนะคะ?”
หลินเสวียนหลานคิดดูแล้ว ก็เห็นด้วยกับเธอ ในส่วนของประธานหม่ากับประธานเฉินส่งสายตาสื่อกันพลางลุกขึ้นยืน “พรุ่งนี้เป็นงานประมูลแล้ว อากาศในวันนี้เกรงว่าไม่ได้ออกไปไหนแน่ๆ ช่างเถอะ พวกเราก็กลับห้องไปดูโทรทัศน์ดีกว่า”
จากนั้นทั้งคู่ก็ออกไป แต่จ่านป๋ายยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับไปไหน ซีเหมินจินเหลียนไม่อยากจะนั่งต่ออีกแล้วจึงลุกขึ้นไปบอกลาหลินเสวียนหลาน พวกเขานัดเวลาไว้สิบเอ็ดโมงครึ่งค่อยเจอกัน
เมื่อซีเหมินจินเหลียนและจ่านป๋ายเดินแยกออกไปแล้ว รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของหลินเสวียนหลานก็พลันหายไป ในขณะกำลังหันหลังจะกลับห้องตัวเอง สายตาก็เห็นลู่เฟยอวี๋เข้าอย่างจัง
“คิดจะเลี้ยงข้าวยัยดอกบัวทอง[1]หรือ?” ลู่เฟยอวี๋หน้านิ่งพูดจากระแทกแดกดัน
อารมณ์เบิกบานของหลินเสวียนหลานได้ถูกทำลายลงแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดของเธอเช่นนั้นจึงหันหลังเดินหนีไปขึ้นลิฟต์อย่างไม่สนใจ จนลู่เฟยอวี๋รีบเดินจ้วงๆ มาขวางทางเขาเอาไว้
“เฟยอวี๋ คุณจะทำอะไร” หลินเสวียนหลานได้แต่ระงับใจให้สงบลงมาเพื่อที่จะคุยกับเธอ
“คุณคิดว่าทำอะไรล่ะ?” ไม่ช้าเสียงของลู่เฟยอวี๋ก็สูงขึ้นมาหลายเดซิเบล “ฉันเป็นคู่หมั้นของคุณนะ แต่คุณกลับทิ้งฉันไปนัดกินข้าวกับผู้หญิงคนอื่น คุณคิดเห็นว่าฉันตายไปแล้วหรือยังไง?”
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมไม่เคยคิดว่าคุณเป็นคู่หมั้นของผม!” หลินเสวียนหลานใช้ความอดทนขั้นสูงสุดที่จะพูดกับเธอ พร้อมทิ้งคำพูดเย็นชาฟาดหน้าแล้วเดินจากไป
เพียงแต่ว่าเมื่อลิฟต์เปิดออกมา หลินเสวียนหลานก็แทบจะทำตัวไม่ถูก เมื่อเห็นจ่านป๋ายยืนพิงอยู่ในลิฟต์อย่างขี้เกียจ กวักมือเรียกเขาให้เข้ามา
ภายใต้ความงุนงงของหลินเสวียนหลาน เขาก็ยังก้าวเท้าข้างหนึ่งเดินเข้ามาในลิฟต์ ส่วนสีหน้าของลู่เฟยอวี๋ยังตกใจจนซีดเผือด แต่เมื่อเห็นหลินเสวียนหลานกำลังหนีจึงตามเข้าไปด้วย ไม่นึกเลยวันนี้ความเร็วของลิฟต์เหมือนจะปิดเร็วกว่าทุกทีถึงสิบเท่า ถ้าเธอไม่ถอยหลังออกไปก่อน ป่านนี้จมูกเธอคงจะโดนหนีบไปแล้ว…
[1] ดอกบัวสีทอง ชื่อของซีเหมินจินเหลียน