นิ้วมือเรียวยาวของซีเหมินจินเหลียนกำลังเล่นเส้นผมยาวสลวยที่อยู่ตรงหน้าอกของเธอ จะขายให้เขาดีไหมนะ? เงินที่ติดตัวมาก็มีไม่มากแล้ว หยกน้ำแข็งสีควันม่วงนี้ไม่ใช่สินค้าระดับเกรดดีอะไร แต่สำหรับนักธุรกิจหยกแล้วก็เป็นโอกาสยากที่จะได้หยกแบบนี้ไปครอบครอง เธอไม่ต้องออกตัวขายเองและไม่ต้องกลัดกลุ้มในเรื่องราคา
ขอแค่เธอปริปากพูดออกมา ประธานเฉินและชายร่างอ้วนแซ่เหอรวมถึงคนอื่นๆ คงจะต้องมาแย่งสินค้าเป็นแน่ จากเมื่อวานที่ผู้อาวุโสเจี่ยผ่าหยกน้ำแข็งสีเขียวอ่อนออกมาก็รู้เลยว่าหยกน้ำแข็งนั่นตราบใดที่สีค่อนข้างใสบริสุทธิ์ไม่มีสีปะปนอะไร ความอิ่มน้ำเพียงพอ ก็ไม่ต้องกังวลถึงผู้ซื้อ
“จินเหลียน…” หลินเสวียนหลานเรียกเธอเบาๆ
“อ้อ…” ซีเหมินจินเหลียนดึงสติกลับมาพูดว่า “ยี่สิบล้านค่ะ!”
หลินเสวียนหลานพยักหน้าตอบตกลง ราคายี่สิบล้านนี้ถือว่าสมเหตุสมผล ไม่มีอะไรจะต้องพูด แถมได้ยินมาว่าเช้าวันนี้หินในมือของผู้อาวุโสเจี่ยใหญ่กว่าของซีเหมินจินเหลียนอยู่ไม่มากเท่าไหร่ ถูกบริษัทอัญมณีทางเหนือซื้อไปครอบครองด้วยราคาสูงถึงสี่สิบล้าน
“จินเหลียน ผมขอดูก่อนได้ไหมครับ?” หลินเสวียนหลานถาม
“แน่นอนค่ะ ไม่ได้มีกฎที่ไม่ให้ผู้ซื้อดูสินค้านี่คะ” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าเบาๆ ขณะนั้นพนักงานเสิร์ฟก็นำอาหารเช้าเข้ามาพอดี จ่านป๋ายพูดขึ้นว่า “จินเหลียน คุณกินก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมไปที่ตู้นิรภัยหยิบหยกก้อนนั้นออกมาเอง”
ซีเหมินจินเหลียนกินข้าวเช้าไปได้แค่สองคำ จ่านป๋ายก็เดินกลับเข้ามาพร้อมกับหยกที่หยิบออกมา เขาใช้กระดาษหนังสือพิมพ์เก่าๆ ห่อเอาไว้ จ่านป๋ายยื่นหยกสีควันม่วงไปให้ซีเหมินจินเหลียน จากนั้นเธอก็รับไป ก่อนจะแกะกระดาษออกแล้วจึงนำหยกสีควันม่วงส่งไปให้หลินเสวียนหลาน
หลินเสวียนหลานเดินออกมาจากโต๊ะอาหาร แล้วหยิบขึ้นมาดูอย่างละเอียด ความอิ่มน้ำมีเพียงพอ ถึงแม้สีจะอ่อนไปหน่อย แต่ข้อดีอยู่ตรงที่เป็นหยกน้ำแข็ง มีความเหนียวเล็กน้อย สีม่วงอ่อนควันหมอกย่อมเป็นที่นิยมในหมู่สาววัยรุ่น เมื่อทำเป็นเครื่องประดับขายออกมา คงจะขายได้ราคาราวๆ สามสิบล้าน พอจะทำกำไรได้อยู่สักสิบล้าน
“เดี๋ยวผมโทรศัพท์ไปโอนเงินสักครู่นะครับ” หลินเสวียนหลานยิ้มเบาๆ แล้ววางหินหยกสีควันม่วงไว้ รีบยืนขึ้นเดินออกไปโทรศัพท์ข้างนอก
จ่านป๋ายรีบนำกระดาษหนังสือพิมพ์ห่อกลับเข้าไป ห้องอาหารคนเยอะซะด้วย อีกทั้งเจียหยางที่แห่งนี้ล้วนมีแต่คนรู้จักการเล่นหยก เลยต้องระวังเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น
ไม่นานหลินเสวียนหลานก็เดินกลับมา ยิ้มแหะๆ เข้ามานั่งตรงข้ามกับซีเหมินจินเหลียน จ่านป๋ายก็นั่งลงเช่นกัน เมื่อทั้งสามกินข้าวเช้าเสร็จแล้วก็นั่งพักกันต่อสักหน่อย ซีเหมินจินเหลียนอดไม่ได้ที่จะสงสัย ทำไมโอนเงินไปตั้งนานแล้ว เธอถึงยังไม่ได้รับข้อความแจ้งจากธนาคาร
เมื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูอยู่หลายครั้ง ก็ไม่มีข้อความเข้ามา เธอคิ้วย่นเข้าหากันอย่างไม่ได้ตั้งใจ นี่เป็นแค่การซื้อขายเพียงยี่สิบล้านแต่ไม่ได้รับเงิน ตามหลักแล้วเธอก็ไม่สามารถให้หยกนั่นแก่หลินเสวียนหลาน
ถึงแม้ว่าเธอเคยจะแถมกำไลหยกแก้วสีเขียวราคาถึงหลายสิบล้านออกไป แต่การแถมกับการขายก็เป็นคนละเรื่องกัน จะต้องทำการซื้อขายอย่างเสร็จสมบูรณ์
“จินเหลียน คุณเป็นอะไรไป?” จ่านป๋ายถาม
“พี่หลินคะ ฉัน…” ซีเหมินจินเหลียนไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดอย่างไรว่าถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่ได้รับข้อความแจ้งมาจากธนาคาร
หลินเสวียนหลานเป็นคนฉลาด เห็นดังนั้นเขาก็เข้าใจทันที แล้วพูดว่า “คุณลองโทรศัพท์ไปสอบถามเถอะครับ”
ซีเหมินจินเหลียนตอบรับ โทรศัพท์ต่อสายตรงไปหาธนาคาร ตอนนี้เธอเปิดบัญชีธนาคารซึ่งแตกต่างจากเดิม ธนาคารเลยเลือกปฏิบัติต่อผู้ใช้บริการที่มีเงินฝากออมทรัพย์ขนาดใหญ่อย่างดีเยี่ยม เรียกได้ว่าดูแลขั้นสูงสุดไปเลย
เพราะฉะนั้นเมื่อต่อสายไปยังธนาคารติดแล้ว ซีเหมินจินเหลียนจึงถามเรื่องเงินยี่สิบล้านที่ไม่ได้เข้าบัญชี พนักงานธนาคารให้ความช่วยเหลือและบริการเธอเป็นอย่างดี ทั้งยังบอกเธอว่าเงินไม่ได้เข้าบัญชีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แถมยังให้สัญญารับปากอีกว่าถ้าหากมีเงินเข้ามาเมื่อไหร่ จะรีบส่งข้อความแจ้งไปหาเธอทันที
“พี่หลินคะ…” ซีเหมินจินเหลียนไม่กล้าที่จะมองไปที่หลินเสวียนหลาน พูดไปก็แปลกเหมือนกัน การซื้อขายในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนซื้อมาหรือขายออกไป ก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์ผิดพลาดแบบนี้มาก่อน ปกติแล้วไม่ต้องรอนานอีกฝ่ายจะโอนเงินเข้ามาทันที ส่วนเธอก็จะรับข้อความแจ้งเตือนเข้ามา
การที่ทำธุรกิจค้าอัญมณีได้นั้นต้องเป็นผู้มีเงินมั่งคั่ง ธนาคารจึงแทบที่จะจุดธูปกราบไหว้บูชา สำหรับลูกค้าประเภทนี้แล้วย่อมมาก่อนเสมอ ดูแลอย่างดี นอกจากนี้ถ้าเงินก้อนใหญ่หากจะเข้าหรือออกจากบัญชี พนักงานธนาคารก็ไม่อาจจะปล่อยปละละเลยในการทำงานได้
หลินเสวียนหลานเห็นเช่นนั้นก็คิ้วขมวดเข้าหากัน แต่ยังคงมีรอยยิ้มที่อบอุ่นพูดขึ้นมาว่า “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมโทรไปเร่งอีกครั้ง ธนาคารคงจะยุ่งเลยยังไม่ได้โอนเงินให้”
ซีเหมินจินเหลียนได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก หลินเสวียนหลานจึงโทรไปหาธนาคารอีกครั้ง ครั้งนี้สีหน้าของเขาซีดเผือดดูไม่สู้ดีสักเท่าไหร่ แม้แต่นิ้วมือยังมีอาการสั่นระริก
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ / ครับ” ซีเหมินจินเหลียนและจ่านป๋ายถามขึ้นพร้อมกัน
“ที่ธนาคารไม่ได้โอนเงิน เป็นเพราะ…คุณปู่เคยสั่งไว้ ถ้ายอดเกินจำนวนที่กำหนดให้โอน ต้องผ่านการยืนยันจากคุณปู่ก่อน” หลินเสวียนหลานกระซิบบอก
“หา? งั้นก็หมายความว่า…คุณหลินจะขอระงับการซื้อหยกสีควันม่วงกับพวกเราใช่ไหมครับ” จ่านป๋ายตั้งใจถาม
หลินเสวียนหลานส่ายหน้า ก่อนจะรีบผงกหัวตอบรับทันที ซีเหมินจินเหลียนเห็นท่าทีของเขาเลยยิ้มปลอบใจว่า “พี่หลินอย่าโกรธเลยนะคะ คุณปู่หลินคงเพียงแค่อยากดูให้ดีๆ เท่านั้น ไม่อย่างนั้นพี่ลองโทรไปถามคุณปู่ดูสักหน่อยไหมคะ”
หลินเสวียนหลานลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องอาหารด้านนอก ซีเหมินจินเหลียนเล่นช้อนตักซุปอยู่ จ่านป๋ายเลยกระซิบถามเธอว่า “คุณรู้ไหมว่าทำไมเขาถึงโกรธขนาดนี้?”
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง” ซีเหมินจินเหลียนกลอกตาบน เห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้จึงกระซิบไปว่า “ฉันไม่ได้มีพลังอ่านใจคนนี่คะ”
จ่านป๋ายยิ้ม “การมาเจียหยางครั้งนี้ก็ไม่ใช่ความคิดของเขาหรอกครับ แต่เป็นไอ้หมอนั่นที่ถูกผมต่อยจนหน้าบวมเป็นหัวหมูต่างหาก ผมว่านะความคิดนี้คงไม่ใช่ของผู้เฒ่าหลินหรอก แต่เป็นของเจ้าหัวหมูนั่นแหละ”
“เป็นเขาเหรอคะ?” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“จะไม่ใช่ได้ยังไง!” จ่านป๋ายคิดไปคิดมา “คุณลองคิดดูสิว่าผู้เฒ่าหลินอายุขนาดนี้แล้ว เขาคงจะอยู่ได้อีกไม่นานหรอก ตามหลักการแล้วทรัพย์สมบัติย่อมตกเป็นของพ่อของหลินเสวียนหลาน ถูกไหมครับ?”
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า ไม่ว่าจะอดีตหรือปัจจุบัน ทรัพย์สมบัติย่อมมักจะยกให้ลูกก่อนเสมอ
“สำหรับหุ้นเล็กๆ น้อยๆ ในมือของผู้เฒ่าหลิน ไหนจะบริษัทนี้อีก คนโง่นั่นคงจะร้อนตัวบ้างเป็นธรรมดา” จ่านป๋ายยังพูดต่อว่า “เขาจะปล่อยโอกาสให้หลินเสวียนหลานพิสูจน์ความสามารถให้เห็นได้อย่างไรกัน?”
“อย่างเขาน่ะเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนแม้จะไม่ได้รู้จักสนิทสนมกับบ้านตระกูลหลิน แต่หลินเจิ้งกับหวังเซียงฉินสามีภรรยาคู่นั้นทำเรื่องไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไหร่ ผู้เฒ่าหลินก็รู้อยู่แก่ใจถึงไม่ยอมยกบริษัทให้อยู่ในกำมือของคนพวกนี้
“ผู้เฒ่าหลินมีลูกตอนแก่แล้ว เลยรักเขามาก!” จ่านป๋ายได้แต่ส่ายหน้า “ส่วนหลินเสวียนหลานก็ช่างเถอะ ถึงนิสัยจะดูอ่อนแอไปหน่อย ไม่สามารถขยายดินแดนได้ แต่ก็ยังถือว่าปกป้องได้ ส่วนหลินเจิ้งถ้าทรัพย์สมบัติของบ้านว่านกว้านตกอยู่ในมือของเขา เชื่อเถอะไม่ถึงสามปีรับรองล้มละลายแน่ จินเหลียนพวกเรามาพนันกันหน่อยไหมละครับ?”
“ผู้เฒ่าหลินยังไม่ตาย แต่ถึงจะตายไป ก็ไม่แน่ว่าจะยกทรัพย์สมบัติให้หลินเจิ้งหรอก” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“อันนี้ก็…” จ่านป๋ายมองไปรอบๆ เมื่อเห็นหลินเสวียนหลานยังไม่เดินเข้ามาถึงพูดขึ้นว่า “สุดท้ายบ้านตระกูลหลินจะให้ทรัพย์สมบัติแก่ใคร ก็ไม่แน่ว่าจะขึ้นอยู่กับผู้เฒ่าหลินหรอกนะครับ”
“แล้วอย่างนั้นจะขึ้นอยู่กับใครได้อีกล่ะคะ” ซีเหมินจินเหลียนสงสัย
“คุณไง!” จ่ายป๋ายแซว
“ไปให้พ้นหน้าฉันเลยนะ!” ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้มีความแปลกใจอะไร เธอกำลังตั้งใจฟังอยู่ คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายจ่านป๋ายจะแกล้งเธอเพื่อความสนุกของเขา “ที่คุณอยากโดนต่อยหรือไง?”
“ผมยินดีให้คุณใช้ความรุนแรงกับผมเลยครับ!” จ่านป๋ายพูดอย่างเจ้าเล่ห์
“นี่คุณ…” ซีเหมินจินเหลียนได้ยินก็รู้สึกทั้งโกรธทั้งอยากจะหัวเราะ เธอไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับเขาคนนี้ดี
“โอเคๆๆ ผมไม่เล่นแล้วๆ” จ่านป๋ายรีบพูด “พูดไปแล้วก็ตอนนี้บ้านตระกูลหลินมีปัญหาเรื่องเงินทอง ถ้าใครช่วยให้ตระกูลหลินข้ามผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้ คนนั้นล่ะครับก็จะเป็นผู้นำตระกูลหลินคนต่อไป ทีนี้เข้าใจแล้วหรือยังครับ?”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันกัน” ซีเมินจินเหลียนส่ายหัว เธอไม่เข้าใจเรื่องอะไรแบบนี้
“ตอนนี้สิ่งที่ตระกูลหลินกำลังขาดมากที่สุดก็ไม่ใช่เงินหรอกครับ!” จ่านป๋ายเตือนอีกครั้ง
“หยก?” ซีเหมินจินเหลียนได้สติกลับมาอีกครั้ง ถ้าหากบ้านตระกูลหลินขาดหยกจริง เธอก็มีสิทธิในการตัดสินใจ สำหรับเธอนั้น เธอขาดทุกสิ่ง แต่สิ่งที่ไม่ขาดก็คือหยก
“คุณดูไม่จริงจังกับหยกแก้วสีเขียวมรกต มันเป็นสิ่งที่มีค่าเชียวนะ!” จ่านป๋ายเห็นเธอกำลังเก็บสินค้าอยู่ที่โรงเก็บของใต้ดิน เขารู้ว่าเธอไม่มีอะไร แต่ยังมีหยกแก้วสีเขียวมรกตก้อนใหญ่เก็บไว้อยู่ในตู้นิรภัยของห้องใต้ดิน
นอกจากนี้สายตาในการเดิมพันของซีเหมินจินเหลียนช่างดีจริงๆ ครั้งนี้เธอรับซื้อหินหยกไว้หลายชิ้นด้วยกัน ถ้าพระเจ้ารู้คงจะไม่มาตัดหยกลักษณะดีที่นี้หรอกนะ?
“อย่างเช่นหยกสีควันม่วงก้อนนี้ คุณคงไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ แต่ว่าคนอื่นต้องการที่จะแย่งซื้อมัน” จ่านป๋ายหยิบหินก้อนนี้ไว้ในมือพลางพูดว่า “อัญมณีน่ะ เป็นสิ่งที่ทำเงินได้ดีอีกอาชีพเลยล่ะ”
ซีเหมินจินเหลียนฟังเขาอย่างเงียบๆ จ่านป๋ายเห็นเธอไม่พูดอะไรก็ส่ายหัวพูดต่อไปว่า “ถ้าคุณไม่ขายหยกก้อนนี้ให้กับหลินเสวียนหลาน เขาก็คงไม่มีหวังอะไรแล้ว ผู้เฒ่าหลินไม่ได้ชอบเขาสักเท่าไหร่”
“ในเมืองเจียหยางนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากหยก จะเดิมพันทั้งตัวหรือครึ่งหนึ่ง แม้กระทั่งก้อนหยกก็มี แล้วเขาจะกลัวอะไรอีก?” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหัว
“ไร้สาระหน่า!” จ่านป๋ายรีบตัดบทสนทนาของเธอ “การเดิมพันไม่ใช่ว่าทุกคนจะชนะได้นะ ผมกล้ารับรองว่าบ้านตระกูลหลิน พวกเขามีแต่อยากชนะไม่อยากแพ้ เพราะฉะนั้นนี่เป็นเหตุให้เจ้าหัวหมูนั่นตั้งใจมาถึงเมืองเจียหยาง เขาเพียงแค่อยากถือโอกาสการประมูลหยกครั้งนี้ ซื้อหยกในราคาที่ถูก แต่ถึงจะซื้อในราคาทุนที่สูง กำไรน้อยไปหน่อย แต่ก็ชนะมาอย่างปลอดภัย
ซีเหมินจินเหลียนเข้าใจในจุดนี้ ทั้งหลินเสวียนหลานและผู้อาวุโสจู้ สายตาของพวกเขาล้วนไม่ธรรมดา แต่การพนันหินคือพนันสิบแพ้เก้า ถึงจะชื่อว่าเทพเจ้าก็ยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าข้างในหินมีอะไรอยู่ ท้ายที่สุดมีหยกอยู่หรือไม่นั้น ต้องใช้ประสบการณ์จากสายตาที่สั่งสมมา บางครั้งอาจจะต้องใช้โชคลาภเข้ามาช่วยอีกต่างหาก ยกเว้นซะแต่เหมือนกับเธอที่สามารถมองทะลุหยกได้ ไม่เช่นนั้นโอกาสการแพ้เดิมพันก็มีสิทธิเกิดได้สูงมากทีเดียว
“ผู้ที่มาร่วมประมูลหยกที่เจียหยาง ส่วนมากล้วนเป็นนักธุรกิจค้าอัญมณีจากหลายท้องที่ เป้าหมายของพวกเขาคือหยก ถึงพวกเขาตัดหินและเดิมพันชนะในตอนนั้น แต่พวกเขาก็ไม่คิดที่จะขาย ดังนั้นหนทางของบ้านตระกูลหลินนอกจากจะซื้อหินหยกจากร้านขายหินแล้ว อาจจะซื้อจากผู้ที่เดิมพันหินเป็นงานอดิเรก” จ่านป๋ายพูดอีกครั้ง